พวกเหวินเปียวยังต้องพักฟื้นร่างกาย อย่างไรก็ปิดไม่มิด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องที่คนทั้งหมดลอบบุกเข้าไปสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน แล้วถูกจับเข้าคุก แต่เล่าข้ามเรื่องที่ตนเองถูกผู้คุมใส่ยากำหนัด ยิ้มพูดว่า “ข้าเองก็ถูกจับเข้าไป แต่เพราะข้าเป็นผู้หญิง ไม่ต้องถูกทรมานร่างกาย แต่พวกเขาไม่รอด ถูกตีจนได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่อี้เซวียนช่วยพวกเราออกมาได้ทันเวลา จึงไม่เป็นอะไรมาก”
เมิ่งฉีฟังแล้ว พินิจมองนางอย่างละเอียดอีกครั้ง เห็นนางไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บ จึงวางใจพูดว่า “เหวินเป้าและเหวินซงไม่ยอมกลับไปเสียที ท่านพ่อท่านแม่เดาว่าจะต้องเกิดเรื่องกับพวกเขา เป็นจริงดังว่า พวกเขาคาดไว้ไม่ผิดจริงๆ”
ด้วยกลัวเมิ่งฉีจะเป็นห่วง เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มหวาน พูดอย่างใจเย็น “ไม่มีใครเป็นอะไรหนัก พวกเขาล้วนเป็นชายชาตรี กำยำบึกบึน โดนลงทัณฑ์เล็กน้อยหาเป็นอะไรไม่”
เมิ่งฉีพูดด้วยน้ำเสียงเจือตำหนิ “เจ้าพูดง่ายดายนัก หากไม่เพราะอี้เซวียนช่วยพวกเจ้าออกมาได้ทัน แม้แต่เจ้าก็คงเอาตัวไม่รอด ครั้งนี้เจ้าคงได้รับบทเรียนแล้วสินะ ดูสิว่าต่อไปยังจะกล้าทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีกหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แสร้งทำหน้าเป็นพูดว่า “พี่รอง ทำไมตั้งแต่ท่านแต่งงาน ก็ขี้บ่นเหมือนท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้เล่า ท่านน่ะโตกว่าข้าแค่สองปีเท่านั้นนะ”
เมิ่งฉีถูกแหย่เย้า “นั่นก็เป็นเพราะเจ้าชอบสร้างปัญหาอย่างไร หากเจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียนเร็ววัน มีเขาคอยควบคุมดูแล ข้าจะได้ไม่ต้องห่วงกังวลเช่นนี้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา “พวกเขาพักฟื้นอยู่ในห้องบ่าว ข้าจะพาท่านไปหาพวกเขาเอง”
คนเหล่านี้ติดตามครอบครัวตนเองมาหลายปี เสมือนคนในครอบครัวแล้ว เมิ่งฉีย่อมต้องเป็นห่วงอาการของพวกเขา พยักหน้าลุกขึ้น
สองพี่น้องเดินมาถึงห้องบ่าว
ใกล้เที่ยงแล้ว อากาศอบอุ่น เหล่าคนบาดจับกำลังเดินช้าๆ ไปมาในลานเรือน เพื่อให้อาการบาดเจ็บหายเร็วขึ้น
ทั้งสองเดินเข้ามา พวกเหวินเปียวที่พอเห็นว่าเป็นเมิ่งฉี ก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ “คุณชายรอง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งฉีพยักหน้า ซักถามพวกเขา “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง”
กัวเฟยตอบกลับ “เคลื่อนไหวได้คล่องตัว เกือบจะหายดีแล้วขอรับ เพียงแต่แม่นางกลัวจะเกิดโรคภายหลัง จึงให้พวกเราพักผ่อนอีกสักระยะก่อน”
เมิ่งฉีเห็นพวกเขายังเดินได้เชื่องช้า รู้ว่าพวกเขาเพียงพูดปลอบใจตนเอง “เส้นเอ็นกระดูกพักฟื้นร้อยวัน ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ พักฟื้นเถอะ”
เหวินเป้าให้ละอายใจยิ่งนัก “คุณชายรอง ครั้งนี้ข้าทำให้แม่นางต้องลำบากไปด้วย ทำให้แม่นาง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระแอมสองครั้ง ยิ้มพูดว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หาใช่เรื่องลำบากอะไรไม่”
เมิ่งฉีชำเลืองมองนางอย่างเคลือบแคลงแวบหนึ่ง รู้สึกว่านางมีอะไรปิดบังตนเองอยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบจมูกร้อนตัว
เห็นปฏิกิริยาของเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเป้ารู้ทันทีว่าตนเองพูดพล่อย ตกใจไม่กล้าปริปากอีก
เหวินเปียวรีบเบี่ยงเบนเรื่องพูด “คุณชายรอง ที่บ้านเรียบร้อยดีนะขอรับ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกคนยังอยู่กันเหมือนเดิม ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แต่เพราะเหวินเป้าและเหวินซงไม่ได้กลับบ้านเสียที คนในครอบครัวจึงเป็นห่วงมาก”
“พวกเราไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก พวกเราจะกลับไปพร้อมคุณชายรองก็ได้ขอรับ” เหวินเป้ารีบพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ด้วยสภาพของพวกเจ้า หากกลับบ้านไปตอนนี้เท่ากับไปบอกคนที่บ้านว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเจ้า คุณชายรองจะอยู่ที่นี่ช่วยข้าเปิดโรงงานสักระยะหนึ่ง พวกเจ้าทำตัวดีๆ อยู่ที่นี่ไปก่อน หายดีเมื่อไหร่ ถึงจะกลับบ้านได้”
คนทั้งหมดย่อมไม่กล้ามีความเห็นต่าง
เมิ่งฉีกำชับพวกเขาอีกครั้ง จึงเดินกลับเรื่อนมาพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้อง สั่งสาวใช้เตรียมห้องหับให้เมิ่งฉี เตรียมตัวเข้าครัว “พี่รอง ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปทำอาหารจานถนัดมาต้อนรับท่าน”
เมิ่งฉีห้ามนาง “ข้าหาใช่คนอื่นใด ต้อนรับอะไรกัน เจ้าให้สาวใช้ทำมาให้ก็พอ เจ้าเข้ามาให้ข้าถามความก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาจะถามอะไร หลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด พูดว่า “ไม่ใช่เพียงต้อนรับท่านเท่านั้น ประเดี๋ยวอี้เซวียนก็จะเข้ามากินอาหารเที่ยงด้วยเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีขมวดคิ้ว “อี้เซวียนเข้ามาทุกวันหรือ”
“อือ หากไม่มีเรื่องอะไร ทุกเที่ยงจะเข้ามากินข้าว ก่อนอาหารค่ำถึงกลับจวนอ๋องไปเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ถามว่า “พวกเจ้ากำหนดงานแต่งงานแล้วหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเหมือนเด็ดผัก แล้วกลับสู่สภาวะปกติ ยิ้มพูดว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ เขายังไม่ได้ถอนหมั้นกับธิดาราชเลขา การแต่งงานของเราไม่อาจกำหนดได้ในเร็ววันนี้”
เมิ่งฉีชักสีหน้าขรึมทันที “เขากลับมาสี่ปีแล้ว ยังไม่ได้ถอนหมั้น หรือเขาคิดจะเสพสุขหลายภรรยา ข้าจะบอกให้นะ แม้เราจะเป็นคนบ้านนอก ก็ห้ามเป็นอนุใครเด็ดขาด”
“พี่รองคิดไปถึงไหนแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “น้องสาวท่านจะยอมเป็นอนุของใครหรือเจ้าคะ ท่านวางใจเถอะ ขอเวลาอีกไม่นานเขาจะต้องถอนการหมั้นหมายนั้นได้”
“เช่นนั้นก็ดี ไม่เช่นนั้นพี่รองจะพาเจ้ากลับบ้าน” เมิ่งฉีพูด
หวงฝู่อี้เซวียนพ้นประตูเข้ามาได้ยินวาจาของเมิ่งฉีพอดี เม้มริมฝีปาก ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “พี่รอง!”
เมิ่งฉีหันหลังไป เห็นเขาสูงศักดิ์องอาจ รูปงามสะโอดสะอง สีหน้าอ่อนน้อม ความขุ่นมัวที่มีต่อเขาเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น พยักหน้ายิ้มพูด “อี้เซวียน ไม่เจอกันนานนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนตื้นตันใจ เดินขึ้นหน้าไปหยุดเบื้องหน้าเขา “พี่รอง ไม่เจอกันนาน ทางบ้านสบายดีนะขอรับ”
เมิ่งฉีถึงได้พบว่าเขาสูงกว่าตนเองเสียอีก ยื่นมือออกไปแตะบ่าเขา “ทางบ้านเรียบร้อยดี ท่านพ่อท่านแม่สุขสบายใจ ท่านปู่ท่านย่าสุขภาพแข็งแรงดี เอาไว้เจ้ามีเวลาว่าง ก็กลับไปเยี่ยมได้ พวกเขาต่างก็คิดถึงเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่บ้านเมิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคิดถึง พยักหน้าร้อง “อือ”
“พอดีเลย เจ้าอยู่คุยกับพี่รองก่อน ข้าจะไปทำอาหารสองสามอย่างมาต้อนรับพี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“พี่รองไม่ใช่คนอื่น ข้าไปช่วยเจ้าติดไฟดีกว่า กินข้าวเสร็จข้าค่อยมานั่งคุยกับพี่รองก็ได้”
ได้ยินว่าเขาจะไปช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวติดไฟ เมิ่งฉีก็ให้ดีอกดีใจ “ข้ายังอยู่ที่นี่อีกนาน มีเวลาให้พูดคุยอีกมาก ให้อี้เซวียนไปช่วยเจ้าเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งฉีเป็นห่วงตนเอง พูดว่า “ก็ได้ ประเดี๋ยวพอทำอาหารเสร็จ ข้าจะให้สาวใช้เตรียมสุราดีไว้ให้พวกท่าน ให้พวกท่านกินไปดื่มไปให้สบายอุรา”
ทั้งสองรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง เปลี่ยนชุดที่ปกติจะเอาไว้ใช้ใส่ทำงาน แล้วเดินออกมา เริ่มลงมือติดไฟเตรียมกระทะตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก
เมิ่งฉียืนหน้าประตูมองดูภาพผัวร้องเมียตาม ด้วยความพึงพอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอาหารสี่ซุปหนึ่ง พวกเขายกอาหารเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกชิงหลวนไปนำสุรามา
ชิงหลวนทำงานไว พวกเขาเพิ่งจะจัดชามตะเกียบเสร็จ นางก็นำเข้ามาแล้ว หลังจากวางไหสุราไว้ในห้อง ก็ถอยออกไป
เมิ่งฉีเห็นนางเดินไม่มีเสียง เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “พวกเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่มีคนไว้ใช้สอยข้างกาย พระชายาเอกจึงประทานองครักษ์เงาหญิงสองนางมาให้ข้า พวกนางมีวรยุทธ์สูงกว่ากัวเฟยอีกนะเจ้าคะ”
เมิ่งฉีไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องเช่นนี้อีก หันมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง หยั่งเชิงถาม “พระชายาเอกดีกับเจ้าหรือไม่”
“ดีกว่าที่ปฏิบัติต่อข้าอีกเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนพูด “สองสามวันก่อนให้สาวใช้ไปซื้อผ้าแพรชั้นเลิศ บอกว่าจะตัดชุดให้นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องนี้ ตกตะลึงเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “หลายวันก่อนพระมารดาสลบไม่ได้สติ หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงหลายคนต่างไร้ทางเยียวยา หลังจากโยวเอ๋อร์เข้าไป ไม่นานก็ช่วยพระมารดาให้ฟื้นได้ ทั้งเขียนใบสั่งยาฟื้นฟูร่างกายให้พระมารดา ตอนนี้สุขภาพของพระมารดาดีวันดีคืน ดังนั้นตอนนี้จึงเอ็นดูนางยิ่งกว่าใครแล้ว แทบอยากจะให้พวกเราได้ครองคู่กันโดยไวทีเดียว ข้าไม่ปิดบังพี่รอง ตอนนี้พระมารดากำลังเฟ้นหาผ้าสำหรับทำชุดแต่งงานอีกด้วย”
ฟังเขาพูดจบ แม้เมิ่งฉีจะดีใจมาก แต่ก็ยังขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าได้ยินน้องสาวบอกว่า เจ้ายังมิได้ถอนหมั้น พระมารดาเจ้าเฟ้นหาผ้าทำชุดแต่งงานเร็วเช่นนี้หมายความว่าอะไร หรือจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งเข้าไปเป็นอนุ”
“พี่รอง” หวงฝู่อี้เซวียนวางตะเกียบในมือลง พูดอย่างขึงขัง “ชีวิตนี้ข้าจะแต่งโยวเอ๋อร์เป็นภรรยาเท่านั้น สำหรับการหมั้นหมายกับธิดาราชเลขานั้น อีกไม่นานจะต้องถูกยกเลิกไป”
หลายปีมานี้เมิ่งฉีออกไปทำการค้าขยายสาขาให้ครอบครัว เดินทางไปในหลายพื้นที่ ได้ยินเรื่องราวมากมาย พอจะเคยได้ยินเรื่องความเกี่ยวดองของเหล่าขุนนางสูงศักดิ์ รู้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้การแต่งงานประคับประคองซึ่งกันและกัน การถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ จึงวางตะเกียบลง หันไปพูดกับอี้เซวียนด้วยสีหน้าจริงจัง “อี้เซวียน พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าเจ้าประสบเรื่องใหญ่แค่ไหน ขอเพียงเจ้าส่งคนมาบอกพวกเรา ท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่และพี่รองจะต้องช่วยเจ้าอย่างไม่ลังเล ต่อให้ต้องใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวพวกเราก็ไม่ปวดใจ แต่ว่า การแต่งงานของเจ้ากับโยวเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน พี่รองขอพูดตรงนี้ หากเจ้าจะแต่งกับโยวเอ๋อร์ ก็ต้องตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณี สามหนังสือหกพิธีการห้ามขาดแม้แต่ข้อเดียว พวกเราไม่ละโมบทรัพย์สมบัติของเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ขอเพียงเจ้าปฏิบัติตามระเบียบทั่วไปก็พอ แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ถอนหมั้นในเมืองหลวงนี้ไม่ได้ ไม่อาจให้สถานะอย่างสมศักดิ์ศรีกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้ อย่าว่าแต่ขอน้องสาวข้าแต่งงาน ชีวิตนี้ต่อให้เจ้าอยากพบนางสักครั้ง พี่รองก็ไม่มีวันยินยอม”
คำพูดของเมิ่งฉีกระตุ้นเร้าหัวใจเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความรู้สึกประหลาดทะลักเอ่อ ดวงตาร้อนผ่าวจนต้องรีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นกินข้าว พยายามสกัดกั้นความรู้สึกที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนรับประกันหนักแน่น “พี่รองวางใจเถิด เรื่องที่พวกท่านเป็นห่วงจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด ข้าจะต้องให้โยวเอ๋อร์ได้สวมมงกุฎหงส์แต่งกับข้าอย่างสมเกียรติ”
เมิ่งฉีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พี่รองรู้ว่าเจ้าเป็นคนกลางลำบากใจที่สุด จะไม่เร่งเร้าเจ้า แต่เจ้าก็อย่าได้ปล่อยให้นานเกินไป น้องสาวอายุสิบแปดปีแล้ว รอต่อไปไม่ได้อีก”
“ข้าทราบแล้ว ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อถอนหมั้นครั้งนี้ ถึงตอนนั้นข้าจะให้พระมารดาไปสู่ขอกับท่านพ่อท่านแม่ด้วยตัวเอง”
เมิ่งฉีรับคำ “ดี ก่อนหน้านั้นข้าจะเขียนจดหมายบอกท่านพ่อท่านแม่แต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาได้เตรียมตัว” ว่าแล้วก็พูดต่อว่า “ยังมีอีกเรื่อง เรื่องการแพทย์ของน้องสาวห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด เลี่ยงไม่ให้นำพาความยุ่งยากเข้ามา”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว พระบิดาสั่งกำชับไว้แล้ว จะไม่มีใครกล้าปริปาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวปรับอารมณ์กลับมาได้แล้ว เงยหน้าขึ้น กลืนอาหารในปาก ยิ้มพูดว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจเรื่องงานแต่งเลย ไม่ช้าจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาได้ สิ่งสำคัญตอนนี้คือหาสถานที่เหมาะสม เปิดโรงงานในเร็ววัน ยังมีเรื่องซื้อที่ดิน เจ้าสอบถามไปถึงไหนแล้ว”
“ยังอยู่ในระหว่างสอบถาม อย่างไรก็ต้องรอหลังปีใหม่ถึงจะปลูกมันฝรั่งได้ ไม่ต้องรีบ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งฉีก็พูดว่า “ครั้งนี้ข้าบรรทุกเส้นแป้งมันฝรั่งจำนวนหนึ่งมาด้วย พอให้พวกเจ้าใช้ไประยะหนึ่ง อย่างไรก็ต้องเปิดโรงงาน แต่ก็ไม่ต้องร้อนรนเกินไป วันพรุ่งเจ้าพาข้าไปดูสถานที่ตั้งโรงงาน พวกเราเลือกสถานที่ก่อนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนหยิบตะเกียบขึ้นอีกครั้ง คนทั้งหมดกินไปพลางพูดคุยไปพลาง
หลังกินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งฉีไปพักผ่อนในห้องที่สาวใช้เตรียมไว้ให้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในห้องของนาง
เมิ่งฉีขมวดคิ้วพูดว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้ตบแต่ง ระวังการวางตัวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงฝาด
หวงฝู่อี้เซวียนเบะปากหัวเราะร่า
“พี่รอง ท่านคิดไปถึงไหนแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิถาม “พวกเราเพียงจะหารือกันเรื่องซื้อที่ดินปลูกมันฝรั่งก็เท่านั้น”
“เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็พอ หากการแต่งงานยังไม่ถูกกำหนด พวกเจ้าห้ามล้ำเส้นแม้เพียงก้าวเดียว” เมิ่งฉีชักสีหน้า พูดอย่างขึงขังกับพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหน้าแดงฝาด ลุกลนพูด “ข้าทราบแล้ว พี่รอง ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ”
เมิ่งฉีถึงเดินตามสาวใช้ไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ตนเอง
ตกค่ำเมิ่งอี้กลับมา เห็นเมิ่งฉีเข้ามา ย่อมดีอกดีใจใหญ่ เฝ้าถามแต่เรื่องทางบ้าน เมิ่งฉีตอบเขาทุกข้อซักถาม แล้วถามว่า “พี่สะใภ้และลูกๆ เล่า เหตุใดถึงไม่อยู่บ้าน”
“อ่อ” เมิ่งอี้ตอบ “พวกเขาไปอยู่บ้านแม่ ข้าอยู่ที่ร้าน เวลาเข้างานเลิกงานของทุกวันไม่สะดวก จึงไม่ไปอาศัยอยู่ด้วย จะไปพักบ้างชั่วครั้งชั่วคราวสักคืนหนึ่ง”
เมิ่งฉีพยักหน้า ถามต่อ “พี่เมิ่งอี้ ท่านบอกข้ามาตามตรง หลายวันก่อนที่โยวเอ๋อร์ถูกจับเข้าคุก เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกแก่เมิ่งอี้ เมิ่งอี้ย่อมไม่รู้เรื่องที่นางเกือบพลั้งพลาดในคุก ตอบกลับไปตามตรงว่า “ไม่มีนะ มีแต่พวกเหวินเปียวที่ถูกลงทัณฑ์ ตอนนี้ยังพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน”
เมิ่งฉีเห็นท่าทีเขาไม่เหมือนคนโกหก ขมวดคิ้วครุ่นคิด หรือตนเองจะคิดมากไปเอง หาได้เกิดเรื่องอันใดกับน้องสาวจริงๆ ทว่าคำพูดของเหวินเป้าส่อว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ดูท่าตนเองจะต้องหาโอกาสซักถามเขาอีกครั้ง
เมิ่งอี้เห็นเขาขมวดคิ้ว เคลือบแคลงใจถาม “เป็นอะไร หรือว่าน้องโยวเอ๋อร์ประสบเรื่องไม่ดีในคุก แล้วไม่บอกพวกเรา”
เมิ่งฉีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”
“เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มีอะไร ข้าเห็นนางมาตลอด หากเกิดเรื่องกับนางข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไร” เมิ่งอี้พูด
เมิ่งฉีก็คิดเช่นนี้ จึงไม่พูดเรื่องนี้อีก
วันถัดมา พอกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ให้เงินจำนวนหนึ่งกับพวกอู๋ต้า กำชับคนให้พาพวกเขาไปเดินเล่นให้ทั่วเมืองหลวง จึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าพร้อมเมิ่งฉี พาชิงหลวนและจูหลีมุ่งหน้าสู่เมืองฝั่งเหนือด้วยกัน
เพียงแค่ไปตรวจดูสถานที่ ไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนรถให้ไปช้าๆ จะได้ไม่ชนผู้คนที่เดินตามท้องถนน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังเปิดม่านรถให้เมิ่งฉีดูบ้านเมืองของเมืองหลวง
เมิ่งฉีแม้จะไปมาหลายที่แล้ว แต่ยังไม่เคยมาเมืองหลวง มองดูบ้านเมืองเจริญผู้คนคับคั่งตรงหน้า ทอดถอนใจพูดว่า “เมืองหลวงไม่เหมือนกับที่อื่นจริงๆ สภาพบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกแห่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นั่นเป็นเพราะท่านอยู่ในย่านคนรวยของเมืองหลวง ประเดี๋ยวท่านไปถึงเมืองฝั่งเหนือ เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่น ท่านก็จะไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
อย่างไรก็เป็นเขตเมืองหลวง จะแย่ไปกว่ากันสักเท่าใดเชียว เมิ่งฉีมิได้ใส่ใจคำพูดของนาง
แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมากกว่า ทว่าก็ไม่เคยหย่อนใจชมเมืองหลวงเช่นนี้มาก่อน มองดูสิ่งต่างๆ ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ เห็นร้านค้าข้างทางร้านหนึ่งติดป้ายขาย และมีสาวใช้นางหนึ่งของพระชายารองอ๋องฉีกำลังเสวนากับชายคนหนึ่งหน้าร้านค้านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวหูไว ได้ยินบทสนทนาของพวกเขารางๆ
“ราคานี้เหมาะสมมากแล้ว หากไม่เพราะคุณหนูของพวกเรารีบใช้เงิน ร้านค้าดีเช่นนี้ ต่อให้ท่านจุดตะเกียงส่องก็หาไม่ได้”
“ราคาไม่สูงก็จริง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากเช่นนั้น ลดอีกสักสองหมื่นตำลึง ข้าจะซื้อทันที”
สาวใช้เริ่มมีน้ำโห “ท่านจะฉวยโอกาสกดราคานะสิ อย่าคิดว่านอกจากท่านเราจะหาคนซื้อคนอื่นไม่ได้”
“เจ้าติดป้ายขายมาหลายวันแล้ว ไม่มีใครเข้ามาถามสักคน มีแต่ข้าที่พอจะมีเงินสดมาซื้อได้ คาดว่าคนอื่นแค่ครึ่งราคาก็ไม่มีจ่าย”
“ชิงหลวน” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียก
ชิงหลวนขานรับคำเดินเข้ามา
“เจ้าเข้าไปสอบถามว่าร้านนี้เป็นของใคร เหตุใดถึงปล่อยขาย”
ชิงหลวนรับคำ เข้าไปสอบถามจากร้านใกล้เคียง ไม่นานก็เดินกลับมา “นายท่าน ข้อสอบถามได้ความว่า ร้านนี้จะเป็นร้านสินเดิมของพระชายารอง เห็นว่านางรีบใช้เงิน จึงนำมาขายในราคาถูก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายร้านในละแวกใกล้เคียงนี้ที่กำลังปล่อยขาย”