ดูท่าช่วงเวลาที่พระชายารองดูแลเรือนจะยักยอกเงินส่วนกลางไปไม่น้อย ตอนนี้พระชายาเอกจะริบคืนสิทธิ์การดูแล นางกลัวเรื่องจะแดง จึงคิดจะขายร้านค้าสินเดิมก่อนแต่งมาอุดรูรั่วนี้

 

 

คิดได้ดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูดกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง พวกเราเจอโอกาสดีเข้าแล้ว คนที่ขายร้านค้าเป็นสาวใช้คนสนิทของพระชายารอง ก่อนหน้านี้พระชายาเอกร่างกายไม่แข็งแรง พระชายารองจึงเป็นคนดูแลจวนอ๋องฉี นางคงใช้ช่วงเวลานั้นยักย้ายถ่ายเงินไปไม่น้อย ตอนนี้พระชายาเอกจะริบคืนอำนาจการดูแลเรือน นางหาเงินไม่ทัน ถึงคิดจะขายร้านค้าพวกนี้ นำเงินมาอุดรูรั่ว ท่านลงไปแสร้งทำเป็นพ่อค้ามาเจรจาซื้อขาย ท่านจงซื้อร้านค้าที่พระชายารองต้องการขายทั้งหมดมาให้ได้จะเป็นการดีที่สุด”

 

 

ในเมืองหลวงที่ดินเป็นเงินเป็นทอง โดยเฉพาะร้านค้าในแหล่งชุมชน หากมีเงินไม่ถึงหลักแสนไม่มีทางซื้อไว้ได้ หนำซ้ำยังมีหลายร้าน เมิ่งฉีเริ่มเป็นกังวลว่าตั๋วเงินในมือเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เพียงพอ พูดว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ พกตั๋วเงินมาเพียงแสนกว่าตำลึง รวมกับเงินในมือเจ้า ไม่รู้ว่าจะเพียงพอหรือไม่”

 

 

“ตั๋วเงินข้าล้นเหลือ พี่รองวางใจไปซื้อได้เลย จะต้องกดราคาให้ต่ำที่สุด เอาให้นางกระอักเลือดได้ยิ่งดี”

 

 

เมิ่งฉีถึงวางใจ ลงจากรถม้า เดินมาหน้าร้านค้า ถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าร้านค้านี้เป็นของใคร จะปล่อยขายหรือ”

 

 

ติดป้ายประกาศขายไว้หลายวันแล้ว กลับไม่มีคนเข้ามาถามราคา เวลาที่จะต้องมอบคืนอำนาจก็ใกล้เข้ามาทุกที สาวใช้ของพระชายารองร้อนรนไม่เป็นสุข วันนี้อุตส่าห์มีเข้ามาคนหนึ่ง กลับเป็นเพียงนายหน้า กดราคาจนต่ำ สาวใช้พระชายารองไม่ยินดีขาย แต่หากไม่ขายก็จะรวบรวมเงินไม่ครบ กำลังต่อรองราคากับนายหน้าคนนี้อย่างกระวนกระวายใจ หวังให้เขาเพิ่มราคาให้

 

 

ชายนายหน้าย่อมไม่ยินยอม

 

 

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ครั้นได้ยินคำถามเมิ่งฉี สาวใช้ก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบร้อนตอบกลับ “ร้านค้าเป็นของคุณหนูของพวกเราเจ้าค่ะ เกิดปัญหาขึ้นในบ้าน ต้องรีบใช้เงิน คุณชายต้องการจะซื้อหรือเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งฉีวางมาดเป็นพ่อค้า ยืดหลังอกแอ่น พินิจมองเล็กน้อย แล้วมองประเมินร้านค้าอย่างถี่ถ้วน ถึงตอบว่า “ข้าเป็นคนต่างถิ่น ปีนี้คิดจะเข้ามาทำการค้าในเมืองหลวง กำลังอยากได้ร้านค้า เห็นติดป้ายขายที่หน้าประตู จึงเข้ามาซักถาม ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะให้ข้าเข้าไปดู ว่าจะเหมาะสมกับการค้าของข้าได้หรือไม่”

 

 

สาวใช้พยักหน้าหงึกๆ “ได้ๆๆ เชิญคุณชายด้านในเลยเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งฉียกเท้าหมายจะเดินเข้าไป นายหน้าปรี่เข้ามาขวางหน้าเขา พูดวางอำนาจทันที “ไม่รู้หรือว่าทำการค้าต้องคำนึงถึงมารยาทก่อนหลัง ข้าเห็นร้านนี้ก่อน เจ้ามีสิทธิ์อะไรตัดหน้าข้า”

 

 

เมิ่งฉีช้อนนัยน์ตามองเขา ใบหน้าไม่หวาดหวั่น “พี่ชายท่านนี้ เมื่อร้านติดป้ายขายไว้ ใครก็ย่อมมีสิทธิ์ซื้อ มิใช่ท่านผู้เดียวเสียเมื่อไหร่”

 

 

ชายนายหน้าสะอึกกึก พูดอย่างขุ่นเคือง “ดูท่าเจ้าคงเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ยังไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้าลองไปสืบถามดู ช่วงที่ผ่านมา ร้านที่ข้าหมายตามีใครหน้าไหนกล้ามาแย่งบ้าง”

 

 

ร้านค้าเป็นเครื่องแต่งงานของพระชายารอง ตามหลักแล้วไม่มีใครกล้าก่อกวนเช่นนี้ แต่พระชายารองกลัวหากป่าวประกาศออกไปอ๋องฉีจะทราบเรื่อง ถึงตอนนั้นเรื่องที่นางยักยอกเงินส่วนกลางก็จะถูกเปิดโปง จึงกำชับสาวใช้ ห้ามบอกสถานะตนเอง ให้บอกว่าเป็นของคุณหนูก็พอ นายหน้าไม่รู้สถานะนาง ถึงกล้ากดราคาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้

 

 

สาวใช้พระชายารองถูกเขากดราคาจนไม่พอใจแล้ว ได้ยินเขาข่มขู่เมิ่งฉี ชักสีหน้าขุ่นมัว “คุณหนูของพวกเราเป็นคนมีอำนาจในเมืองหลวง หากท่านยังกล้าก่อเรื่องอาละวาดหน้าร้านพวกเราอีก ข้าจะกลับไปรายงานคุณหนู จับท่านเข้าซังเต”

 

 

“ไม่ต้องมาขู่ข้า” ชายนายหน้าไม่แยแส “หากคุณหนูของเจ้ามีอำนาจมากเช่นนั้นจริง จะขายทอดร้านค้าทิ้งทำไม”

 

 

สาวใช้เห็นเขาก่อกวนรังควาน หมายจะทำลายการค้าในครั้งนี้ของตนเองให้ได้ จึงร้องตะโกนเข้าไปในร้านทันที “พวกเจ้าออกมาสิ”

 

 

หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเดินออกมา

 

 

สาวใช้ชี้ชายนายหน้า แล้วสั่งพวกเขา “เขามาก่อกวนปลุกปั่นไม่เลิก ตีเขาไล่ออกไปที่อื่น”

 

 

หลงจู๊ทราบสถานะของพระชายารอง ขานรับคำ ส่งสายตาให้เสี่ยวเอ้อร์ลงมือ

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ได้รับสัญญาณ เดินขึ้นหน้าโดยไม่ลังเล

 

 

ชายนายหน้าเห็นพวกเขากล้าลงมือ ตกใจถอยกรูด ร้องพูดข่มขวัญ “ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปเรียกคนมา” ว่าแล้ว ก็หันหลังแผ่นแนบออกไป

 

 

สาวใช้หันไปพูดกับเมิ่งฉีอย่างสุภาพ “คุณชาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งฉียกเท้าเดินเข้ามาในร้าน

 

 

นี่เป็นร้านผ้าแพรพรรณ ภายในโอ่อ่าใหญ่โต ตกแต่งสวยงาม ชั้นจัดวางพับผ้าก็ดูดีมีรสนิยมกว่าร้านอื่น

 

 

เมิ่งฉีเดินวนดูภายในร้านรอบหนึ่ง พยักหน้าพึงพอใจ “ร้านนี้เหมาะสมตามความต้องการการทำธุรกิจของข้า ไม่ทราบว่าราคา…”

 

 

สาวใช้ร้อนรนพูดว่า “คุณชาย นี่เป็นย่านที่ดีที่สุดของเมืองหลวง จะบอกว่าทุกคืบทุกศอกเป็นเงินเป็นทองก็ไม่เกินไป หากไม่เพราะคุณหนูของข้ารีบร้อนใช้เงิน ต่อให้เจ้ามีเงินก็ซื้อไม่ได้”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้าเห็นพ้อง “แม่นางพูดถูกต้อง ข้ามาเมืองหลวงหลายวันแล้ว ไปดูมาหลายที่ ร้านของเจ้าอยู่ในทำเลที่ดีมากจริงๆ แม่นางพูดราคามาเถอะ หากเหมาะสมข้าก็จะซื้อ”

 

 

สาวใช้เห็นเขาพออกพอใจ ดีใจเป็นอย่างมาก “ร้านค้านี้ราคาขั้นต่ำห้าแสนตำลึง แต่ตอนนี้พวกเรารีบร้อนใช้เงิน จึงขายเพียงสามแสนตำลึง”

 

 

เมิ่งฉีขมวดิคิ้ว ทำหน้าลำบากใจพูดว่า “สูงกว่าที่ข้าคาดคิดไว้”

 

 

สาวใช้เริ่มร้อนใจ “ไม่สูงเจ้าค่ะ ไม่สูงแล้วจริงๆ ท่านลองไปถามร้านในละแวกนี้ได้ว่า มีใครยินดีจะขายในราคาสามแสนตำลึงหรือไม่”

 

 

เมิ่งฉีปัดมือ “ข้าไม่ได้บอกว่าร้านค้าของเจ้าราคาสูง ข้าบอกว่าสูงกว่าเงินที่ข้าคำนวณไว้ เดิมข้าคิดจะซื้อหลายร้าน หากร้านเดียวก็ราคาสูงเช่นนี้ ข้าคงไม่มีปัญญาซื้อร้านอื่นแล้ว”

 

 

สาวใช้ดีใจออกหน้าออกตา “คุณชายหมายความว่ายังต้องการซื้อร้านอื่นด้วยหรือเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “ใช่สิ ข้ามีธุรกิจหลายอย่างที่บ้านเกิด ข้าคิดจะย้ายพวกเขาทั้งหมดมาอยู่ที่นี่”

 

 

“คุณหนูของพวกเรายังมีอีกหลายร้านที่ติดป้ายขาย คุณชายยินดีจะตามข้าไปดูหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้หยั่งเชิงถามด้วยความดีใจ

 

 

เมิ่งฉีได้ฟังก็ยิ้มยินดี “เช่นนั้นก็ดีเลย หากว่าเหมาะสม จะได้เบาแรงข้าไปไม่น้อย เชิญแม่นางนำทางพาข้าไปดูหน่อยเถิด”

 

 

สาวใช้ยิ้มรับคำ หมุนตัวเดินออกมาจากร้าน มุ่งหน้าไปยังถนนอีกสาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งฉีเดินตามสาวใช้เข้าไป แล้วเดินตามนางออกไป รู้ว่าเขาจะไปดูอีกร้านหนึ่ง สั่งการชิงหลวน “เจ้าตามไปคุ้มครองพี่รองข้า ระวังอย่าให้คนอื่นเห็นเข้า”

 

 

ชิงหลวนรับคำ “นายท่านวางใจเถอะ ตอนอยู่จวนอ๋องฉีพวกเราไม่เคยเปิดเผยใบหน้า ต่อให้สาวใช้เห็นก็ไม่รู้จักข้า ข้าตามไปอย่างเปิดเผยก็พอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

ชิงหลวนเร่งฝีเท้า เดินอาดๆ ตามหลังพวกเขาสองคนไป

 

 

ร้านค้าอีกสองสามร้านอยู่ไม่ไกลจากร้านนี้ ไม่นานสาวใช้ก็พาเมิ่งฉีมาถึง คงเพราะตัดสินใจขายกะทันหัน ภายในร้านยังค้าขายตามปกติ

 

 

เมิ่งฉีเดินชมโดยรอบร้านทั้งสองสามร้านนั้น แสดงว่าพึงพอใจมาก พูดว่า “แม่นาง ข้าพึงใจร้านทั้งหมดนี้ เจ้าบอกราคาด้วยความจริงใจมาเถอะ ดูว่าข้าจะซื้อไหวหรือไม่”

 

 

หลายวันมานี้ไม่มีคนเข้ามาซักถามเลย อยู่ๆ ก็มีคนจะซื้อร้านทั้งหมดในคราเดียว สาวใช้ดีใจตัวสั่น พูดขึ้นพลัน “ร้านทั้งหมดรวมแล้วมีราคาสามล้านตำลึง เมื่อคุณชายจะซื้อทั้งหมด ข้าจะกัดฟันขายให้ท่านในราคาพิเศษ คิดเพียงสองล้านแปดแสนตำลึงก็พอ”

 

 

เมิ่งฉีออกอาการตกตะลึงอย่างชัดแจ้ง “แพงเช่นนี้เลยรึ”

 

 

สาวใช้เห็นปฏิกิริยาของเขา หัวใจกระตุกวูบ ลุกลนพูดว่า “คุณชาย ไม่แพงแล้วเจ้าค่ะ ปกติต้องจ่ายมากกว่าห้าล้านตำลึงนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งฉียิ่งให้แสดงอาการลำบากใจ ให้สาวใช้รู้สึกว่าเขาอยากซื้อ แต่ไม่มีเงินมากเช่นนั้น จะไม่ซื้อก็เสียดายร้านค้าที่ดีเช่นนี้

 

 

สาวใช้กัดฟังพูดว่า “ลดราคาให้นายท่านอีกหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ สองล้านเจ็ดแสนตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว ตอนที่นายท่านของพวกเราซื้อให้คุณหนูจ่ายเงินไปมากกว่านี้ ทั้งยังเป็นอดีตที่ผ่านมาหลายปีด้วยนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งฉีพูดว่า “ข้ารู้ว่าแม่นางให้ราคาไม่สูง แต่นอกจากซื้อร้านค้าทั้งหมดนี้แล้ว ข้ายังต้องย้ายการค้าทั้งหมดของครอบครัวมาที่นี่ หากจ่ายเงินที่มีไปกับร้านค้าทั้งหมดนี้ เงินที่เหลือของข้าก็คงขาดสภาพคล่อง”

 

 

สาวใช้กัดฟันส่งเสียงลอดไรฟันออกมา “เช่นนั้นคุณชายคิดจะให้เท่าใด”

 

 

เมิ่งฉีพูดทันควัน “สองล้านตำลึง หากให้สองล้านตำลึงข้าจะซื้อไว้ทั้งหมด”

 

 

“เท่าใดนะ” สาวใช้หวีดเสียงสูงถาม

 

 

เมิ่งฉีตกใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

 

 

สาวใช้เค้นเสียงลอดผ่านไรฟัน “คุณชายไม่ได้ล้อข้าเล่นดอกนะ ร้านค้าชั้นดีทั้งหมดนี้ท่านให้ราคาสองล้านตำลึง”

 

 

เมิ่งฉีทำหน้าละอาย “ข้ารู้ว่าให้เจ้าน้อยไปหน่อย แต่ข้าจ่ายมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะไปลองถามที่อื่นดู แม่นางให้คนอื่นมาดูต่อเถอะ” ว่าแล้วก็หันหลังจะเดินจากไป

 

 

“ช้าก่อน!” สาวใช้ร้องห้ามเขา

 

 

เมิ่งฉีหยุดฝีเท้าหันกลับมา

 

 

“อย่างต่ำที่สุดสองล้านหกแสนตำลึง น้อยกว่านี้แม้อีแปะเดียวก็ไม่ได้แล้ว” สาวใช้ขบฟันพูด

 

 

เมิ่งฉีโบกมือ “แม่นางให้คนอื่นมาดูเถอะ ข้าซื้อไม่ไหวจริงๆ”

 

 

ว่าแล้ว ก็เดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ

 

 

สาวใช้ผลุนผลันยกชายกระโปรงวิ่งออกไปขวางหน้าเขา “ท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่ ซื้อของก็ต้องต่อรองราคากัน ท่านจะยื่นคำขาดให้ราคาเดียวได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งฉีประสานมือ พูดอย่างมีมารยาท “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ทำให้แม่นางเสียเวลาแล้ว แต่ข้าให้ได้เพียงสองล้านตำลึงเท่านั้น มากกว่านั้นอีแปะเดียวข้าก็ให้ไม่ได้แล้ว”

 

 

สาวใช้สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ถึงฝืนสงบสติอารมณ์ลงได้ “ราคาที่ท่านให้น้อยเกินไป ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าขอกลับไปรายงานคุณหนู ให้นางเป็นคนตัดสินใจ ท่านพักโรงเตี๊ยมใด เมื่อคุณหนูของเราตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะให้คนไปแจ้งข่าวท่าน”

 

 

“ข้าอาศัยอยู่บ้านญาติในเมืองหลวง ไม่สะดวกจะบอกที่อยู่ของพวกเขา เอาอย่างนี้เถอะ วันพรุ่งโมงยามนี้ ข้าจะนำตั๋วเงินมาหาแม่นาง หากคุณหนูของพวกเจ้าตกลง ก็นำโฉนดที่ดินมาด้วย จะได้ไปดำเนินการที่ศาลาว่าการ ข้าก็จะได้มอบตั๋วเงินให้เจ้า พวกเราต่างจะได้มีความสุขทั้งสองฝ่าย หากคุณหนูของแม่นางไม่ยินยอม ก็เป็นข้าเองที่ไร้วาสนาต่อร้านค้าเหล่านี้ วันหน้าเมื่อมีเงินพอค่อยว่ากันอีกที” เมิ่งฉีพูด

 

 

สาวใช้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ข้าขอบอกท่านก่อน ท่านจะต้องพูดจริงทำจริง วันพรุ่งจะต้องเข้ามา หากท่านกล้าหลอกข้า ภายหน้าข้าจะทำให้ท่านหากินในเมืองหลวงไม่ได้”

 

 

เมิ่งฉีลนลานพูด “แม่นางพูดไปไหนแล้ว ข้าเป็นพ่อค้าซื่อสัตย์สุจริต การซื้อร้านค้าในราคาถูกเช่นนี้ได้ มีแต่จะดีใจจนสะดุ้งตื่นมานั่งหัวเราะกลางดึกเสียไม่ว่า จะผิดคำพูดได้อย่างไร”

 

 

สาวใช้เชื่อคำพูดเขา นัดเวลากับเขาเสร็จ ก็หันหลังขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ข้างทาง กลับไปรายงานพระชายารองที่จวนอ๋องฉี

 

 

เห็นนางจากไปไกล เมิ่งฉีหันไปผงกศีรษะให้ชิงหลวน จากนั้นกลับมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่รออยู่บนรถม้า

 

 

เขาเพิ่งจะขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว “พี่รอง เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ร้านค้าห้าร้าน นอกจากร้านค่อนข้างเล็กที่เจ้าเห็นนี้ ร้านที่เหลือใหญ่โตโอ่อ่านัก ทั้งหมดราคาสองล้านตำลึง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจออกนอกหน้า “พี่รอง นี่ยิ่งกว่าเก็บเงินตกพื้นได้อีกนะ หากเป็นในอดีต ทั้งห้าร้านนี้ต่อให้มีเงินห้าล้านก็ไม่แน่ว่าจะซื้อได้”

 

 

“เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไป นางบอกเพียงต้องกลับไปรายงาน ให้คุณหนูของพวกนางตัดสินใจก่อน จะขายหรือไม่ก็ยังไม่แน่เล่า” เมิ่งฉีพูดปั่นทอนนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือไม่ใส่ใจ “วางใจเถอะพี่รอง นางจะต้องขาย พวกนางรอเงินไปอุดรูรั่ว ต่อให้ท่านกดราคาลงต่ำกว่านี้ พวกนางก็ต้องขาย ต้องรู้ว่าการจะเจอคนที่ซื้อร้านค้าทั้งหมดนั้นไม่ง่าย ไม่เช่นนั้นร้านค้าเหล่านี้คงไม่ติดป้ายขายมาหลายวันก็ยังไม่มีคนมาถามไถ่เช่นนี้ดอก”

 

 

เมิ่งฉีเห็นนางดีอกดีใจ ราวกับได้ร้านค้ามาครองแล้ว ยกยิ้มส่ายหน้า

 

 

เพิ่งจะออกมาก็ได้ของราคาถูกเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยินดีปรีดายิ่ง สั่งคนรถให้มุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือต่อ จากนั้นพูดว่า “ร้านค้าห้าร้าน พี่ใหญ่หนึ่งร้าน ท่านหนึ่งร้าน ข้าหนึ่งร้าน เมิ่งเจี๋ยหนึ่งร้าน และให้ชิงเอ๋อร์อีกร้านพอดีเลย”

 

 

เมิ่งฉีถลึงตาใส่นาง พูดว่า “เจ้าจะซื้อร้านค้าให้พวกเราทำไม เก็บไว้เป็นเครื่องแต่งงานของเจ้าเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระเถิบเข้าหาเขา พูดเสียงเบา “วันแรกที่ข้ามาถึงเมืองหลวง อี้เซวียนก็ให้เงินที่เขาเก็บสะสมมาหลายปีนี้ให้ข้าแล้ว มีมากมายหลายสิบล้าน ข้าใช้ไปทั้งชีวิตก็ไม่หมด ข้ายังจะต้องการร้านพวกนั้นไปอีกทำไม”

 

 

“นั่นเป็นเงินของเขา ไม่เกี่ยวกับสกุลเรา ตอนเจ้าจากไปข้าหารือกับพี่ใหญ่แล้ว พอเจ้าแต่งงาน จะซื้อร้านค้าสักสองสามแห่งในเมืองหลวงไว้เป็นเครื่องแต่งงานให้เจ้า ครั้งนี้ได้โอกาสพอดี เจ้าจงสำรองจ่ายเงินซื้อร้านไปก่อน ข้าจะเขียนจดหมายบอกพี่ใหญ่ ให้เขาส่งตั๋วเงินมา ร้านค้าทั้งห้าแห่งนี้ถือว่าเป็นเครื่องแต่งงานที่ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่และข้ามอบให้เจ้า” เมิ่งฉีพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าพวกเขาจะมีความคิดเช่นนี้ ยิ้มพูดว่า “เงินของข้ามีมากโข แค่เงินขายฉั่งฉิกก็ใช้ไม่หมดแล้ว นี่ยังไม่พูดถึงยารักษาแผลเป็นที่ขายให้ร้านยาเต๋อเหริน แต่ละปีก็ได้อีกหลายแสนตำลึง ข้ายังจะเอาร้านค้าไปทำอะไรเล่า แบ่งให้พวกท่านดีแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งฉีกล่าวคำไม่ให้นางโต้แย้งได้อีก “หากเจ้าแต่งงานกับอี้เซวียน เจ้าก็จะเป็นพระชายาซื่อจื่อ หากในมือไม่มีทรัพย์สมบัติจะถูกคนหัวเราะเยาะได้ เชื่อพี่รอง เรื่องนี้ตกลงตามนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีเด็ดเดี่ยวของเขา จำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อน

 

 

เดินทางมาได้ครึ่งชั่วยามกว่า รถม้าก็มาถึงเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถไปยังสถานที่ที่เคยมาดูไว้แล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเปิดม่านรถออก ให้เมิ่งฉีได้ชมบ้านเมืองภายนอก

 

 

เมิ่งฉียื่นศีรษะออกมาดู ความรู้สึกก็คือเมืองฝั่งเหนือนั้นรกร้างเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนใจกลางเมือง เสียงตะโกนร้องค้าขายก็น้อย อีกทั้งสองฝั่งถนน ก็เต็มไปด้วยชายนั่งหน้าอมทุกข์รองานทำ ด้วยใบหน้าอิดโรยร่างกายซูบผอม ไร้ชีวิตชีวา

 

 

รถม้าเคลื่อนไปได้อีกระยะหนึ่ง สองข้างทางก็มีเด็กจำนวนหนึ่งเสียบดอกหญ้าบนศีรษะ เป็นแหล่งค้าเด็ก คนที่นี่ค่อนข้างหนาตา ส่วนใหญ่แต่งกายร่ำรวย มาเพื่อซื้อหาสาวใช้บริวาร

 

 

เห็นสภาพเช่นนี้ เมิ่งฉีเกิดความรู้สึกอัดแน่นพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ตอนแรกที่มาเมืองฝั่งเหนือเพียงหาซื้อที่ ข้าเห็นสภาพเช่นนี้ก็เจ็บปวดใจ ลงรถเข้าไปซักถามคนที่นำเด็กมาขาย เหตุใดถึงทำใจขายเด็กที่เลี้ยงมาเองกับมือได้ลงคอ”

 

 

พวกเขาต่างทอดถอนใจ คำตอบยิ่งทำให้ข้ายิ่งเจ็บปวดใจ พวกเขาบอกว่า “ที่บ้านยากจน เลี้ยงเด็กมากเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว เก็บพวกเขาไว้ก็มีแต่จะต้องอดตาย สู้ขายไปอยู่กับครอบครัวดีๆ ยังพอจะมีทางรอดบ้าง”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุด แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น พี่รอง พวกเขาทำเช่นนี้จึงไม่ใช่ความผิด”

 

 

เมิ่งฉีนิ่งเงียบ

 

 

คนรถวิ่งวนรถมากับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายครั้ง รู้สถานที่ที่นางหมายตาไว้ บังคับรถม้ามาถึงยังสถานที่แรกก่อน

 

 

ทั้งสองลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เรือนที่ปลูกเป็นแนวตรงหน้าพูดว่า “ว่ากันว่าที่นี่เคยเป็นโรงงานของขุนนางชั้นสูงในอดีต ในตอนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาขุนนางท่านนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องโทษ โรงงานจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ ข้าเข้าไปดูมาแล้ว ใหญ่กว่าโรงงานของพวกเรามาก บรรจุผู้ใหญ่หลายร้อนคนได้สบาย สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือ โฉนดที่ดินนี้อยู่ในมือทางการ ข้ากลัวพอพวกเขาเห็นพวกเราเป็นคนต่างถิ่น จะเรียกร้องมูมมามตะกละตะกลาม”

 

 

สิ้นเสียงนาง มีคนเดินผ่านนางไป พลันเดินถอยหลังกลับมาหยุดยืนเบื้องหน้านาง หยั่งเชิงถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง”