ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 28 การต่อสู้ตัวต่อตัว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 28 การต่อสู้ตัวต่อตัว โดย Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งพูดจบ ชายหนุ่มผิวดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างดูมีความสุขเสียจริง รับกระบวนท่าด้วย!” เขาเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ผิวกายก็มีอสรพิษสายฟ้าสีเขียวสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาในทันใด อสนีบาตเหล่านี้คล้ายกับอสรพิษขนาดใหญ่ที่มีชีวิต  เคลื่อนผ่านท้องฟ้าอย่างกำแหง นำมาซึ่งพลังทำลายล้างอันน่าหวั่นเกรงโอบล้อมโจมตีเข้ามา

เพียงชั่วครู่ก็มีอสนีอสรพิษกว่าร้อยสายโอบล้อมโจมตี

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู๋ที่เดิม มือขวากุมหอกยาวสีม่วงเข้มเล่มหนึ่งเอาไว้ รอบตัวเขามีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างเคลื่อนผ่านไปมาโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางแล้วก่อตัวเป็นเขตพลังทรงกลมขนาดมหึมา ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งผ่านและบิดเกลียวอยู่ภายในนั้นไม่หยุดหย่อน ท้องฟ้าผืนนี้ขยับเป็นระลอกและบิดเกลียวอยู่ตลอดเวลาราวกับโลกที่อยู่กลางสระน้ำ

อสนีอสรพิษที่โจมตีเข้ามาเหล่านั้น แต่ละตัวต่างถูกกระหวัดรัดเกี่ยวอย่างรุนแรงราวกับติดอยู่ในกับดัก พลังคุกคามเสื่อมถอยลงอย่างฉับพลัน อสนีอสรพิษเหล่านี้ยังไปไม่ถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูญสลายไปเสียแล้วในที่สุด

“ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา!”

“เขตพลังเคล็ดวิชาอันร้ายกาจของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ สามารถสำแดงตาข่ายสวรรค์ไร้เงาได้ถึงขั้นนี้ ทำลายอสนีอสรพิษได้”

เหล่าศิษย์ที่ชมการประลองอยู่แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจ

พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับศาสตร์ลับจำนวนหนึ่งของวังทวีสูญดีเหลือเกินอยู่แล้ว ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา เป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน ศิษย์อาภรณ์ม่วงต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ นับผู้บำเพ็ญในประวัติศาสตร์รวมกันก็มีมากมายเหลือเกิน! แม้กระทั่งผู้ปกครองเทพแท้ในยุคปัจจุบันนี้ก็มีผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาตาข่ายสวรรค์ไร้เงาอยู่เป็นจำนวนมากพอดู พวกเขาต่างก็ยอมรับความสำเร็จรอบรู้ในวิชาตาข่ายสวรรค์ไร้เงาของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้พวกเขานับถืออยู่บ้าง

“ถึงแม้ว่าเก้ากระบี่อสนีอสรพิษจะเป็นศาสตร์ลับขั้นจักรวาลระดับสุดยอด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเคล็ดกระบี่ที่นำมาใช้ในการโจมตี อสนีอสรพิษที่รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่เข้าโจมตี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังคุกคามก็อ่อนแอกว่า! ส่วนตาข่ายสวรรค์ไร้เงานั้นแม้จะเป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน แต่ก็เป็นศาสตร์ลับประเภทเขตพลังที่มีความบริสุทธิ์ ทางด้านเขตพลังก็เพียงพอที่จะต้านทานอสนีอสรพิษเหล่านั้นได้”

“พลังยุทธ์ของเป้าเซียวยังมิได้สำแดงออกมาอย่างแท้จริง! ถ้าหากเขาระเบิดออกมาหมด เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพ่ายแพ้”

“อืม ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือสิ่งที่สั่งสมมา ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างโชคร้ายเหลือเกิน!”

“ทั้งยังเป็นการเดิมพันการประลองอีกด้วย! อาวุธเทพอากาศชั้นสูงชิ้นหนึ่งเชียวนะ”

บรรดาศิษย์เหล่านี้ต่างก็ลอบวิพากษ์วิจารณ์กัน

ถึงแม้ว่ายามที่ออกกระบวนท่า ตงป๋อเสวี่ยอิงจะค่อนข้างโดดเด่น แต่ทุกคนก็ยังมอง ‘เป้าเซียว’ ในแง่ดีอยู่ เพราะเดิมทีตัวเป้าเซียวก็ไม่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาทางด้านเขตพลังอยู่แล้ว

……

เป้าเซียวเห็นอสนีอสรพิษที่ตนปล่อยออกมาถูกกำจัดจนสิ้นก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้ “พลังยุทธ์ของศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างล้ำเลิศยิ่งนัก” เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีม่วงอันตระการตาในทันใด สายฟ้าสีม่วงนี้พลันเคลื่อนผ่านฟากฟ้า โจมตีตรงมาด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด ความรวดเร็วนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี

รวดเร็วยิ่งนัก!

ตลอดครึ่่งปีมานี้เขาก็เห็นการต่อสู้มามากมาย การต่อสู้ของศิษย์อาภรณ์ทองก็หลายครั้ง ทว่าความเร็วของเป้าเซียวผู้นี้ก็ยังคงรวดเร็วที่สุดที่เขาเคยเห็นมา! ต่อให้ตนอาศัยพลังยุทธ์ของผู้ท่องอากาศก็ยังเกรงว่าความเร็วในการเหินทะยานจะอ่อนแอกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง

“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยหลังในทันใด เขาไม่เร่งร้อนที่จะต่อสู้ ถึงอย่างไรก็เดิมพันเอาไว้มหาศาล!

เขาจะต้องดูพื้นฐานของฝ่ายตรงข้ามให้ละเอียดเสียก่อน

พวกเขาล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาในโลกทิพย์ได้ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบความเร็ว ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะเทียบฝ่ายตรงข้ามมิได้ แต่ก็สามารถจัดเป็นสิบอันดับแรกในบรรดาศิษย์เทพแท้ทั้งหมดได้ และเป็นความรวดเร็วอย่างที่สุดอีกด้วย และระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีแผ่กระจายออกไปก็พลันเปลี่ยนแปร ภายในอาณาบริเวณของระลอกคลื่นทรงกลมขนาดมหึมาเริ่มมีเส้นไหมสีแดงโลหิตเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้น

เส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนยึดโยงอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในอาณาบริเวณของทรงกลม

วันเวลาภายในวังทวีสูญเหล่านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยกระดับ ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ ไปยังระดับขั้นใหม่เรียบร้อยแล้ว

“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างรวดเร็วเสียจริง! ข้าบำเพ็ญศาสตร์ลับที่จอมกระบี่สรรสร้างขึ้น เก้ากระบี่อสนีอสรพิษที่เชี่ยวชาญความเร็วที่สุดจึงจะรวดเร็วเช่นนี้ได้ เหตุใดเขาจึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ เชื่องช้ากว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง” เป้าเซียวยังคงตกตะลึงกับความรวดเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ในขณะเดียวกันนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว เพราะกลางเขตพลังที่ล้อมรอบอยู่นั้นมีเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

เส้นไหมสีแดงโลหิตเหล่านี้ราวกับเป็นบริบทของเขตพลังระลอกคลื่น ทำให้พลังการเกี่ยวพันและการกำจัดของทั้งเขตพลังระลอกคลื่นพุ่งทะยานขึ้นในทันใด นอกจากนั้นเส้นไหมสีแดงโลหิตเหล่านี้ยังมีพลังการทำลายล้างราวกับใบมีดที่ชวนให้คนตื่นตะลึงอีกด้วย

ภายใต้เขตแดนค่ายสังหาร

เป้าเซียวคล้ายกับบินอยู่ท่ามกลางตาข่ายเชื่อมโยงฟ้าดินที่กระหวัดรัดแน่นจนความเร็วชะลอลง

“สมควรตาย คิดจะขวางข้าหรือ”

“ตายไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”

เดิมทีเป้าเซียวยังคงอมยิ้ม ในยามนี้รู้สึกได้ถึงหายนะ สีหน้าก็อดที่จะเริ่มอำมหิตขึ้นมามิได้ นัยน์ตาก็มีความดุร้าย มีแววสังหารราวกับใบมีด “ข้าจะต้องเอาชนะการประลองยกนี้ให้จงได้!”

ปัง!

กระบี่เทพสีดำในมือของเป้าเซียวพลันสาดประกายกล้า

“แคว่ก” เป้าเซียวใช้ทั้งร่างกุมกระบี่เทพ อาศัยขอบคมอันน่าหวาดหวั่นฉีกทึ้งเปิดเขตแดนค่ายสังหารแล้วบุกไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“มาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปทักทายในทันใด ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดเวลาในการไปบำเพ็ญที่ตำหนักกาลเวลา หรือว่าเพื่อการได้มาซึ่งวัตถุล้ำค่าที่จะช่วยในการบำเพ็ญ ต่างก็ต้องการสมบัติล้ำค่าอย่างศิลาปฐมโลกา! ดังนั้นตนจะต้องเอาชนะการประลองยกนี้ให้ได้

หอกสีม่วงเข้มหมุนควงออกไป ปลายหอกชี้ตรงไปยังเป้าเซียวที่บุกเข้ามา

“กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา!” เป้าเซียวสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เขาถึงกับสำเร็จวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาแล้ว ยุ่งยากเสียแล้วสิ”

……

จอมกระบี่ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดและบรรพชนเทียนอวี๋ต่างก็ก้มลงชมดูการต่อสู้ที่เบื้องล่างยกนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “จอมกระบี่ สิ่งที่เจ้ากับเจ้าเด็กร่วมบ้านเกิดบำเพ็ญก็คือวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกาของข้า แต่คู่ต่อสู้ของเขากลับใช้วิชาเก้ากระบี่อสนีอสรพิษของเจ้า”

“ท่านบรรพชน” จอมกระบี่ผู้มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะชมดูการประลองเบื้องล่างพลางเอ่ยปากอย่างสบายๆ “ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลสามศาสตร์ที่ท่านทิ้งเอาไว้ในจักรวาลแรกเริ่มล้วนเป็นสิ่งที่ท่านสรรสร้างขึ้นเองทั้งนั้น ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลที่ข้าสรรสร้างขี้น…มิได้อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดเลยแม้แต่ศาสตร์เดียว ต่อให้เจ้าเด็กตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้คิดอยากจะเรียน ยามที่เลือกอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาก็มิอาจเลือกได้อยู่แล้ว”

“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เรียนก็คือศาสตร์ลับของข้า” บรรพชนเทียนอวี๋ลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

จอมกระบี่สรรสร้างศาสตร์ลับขั้นจักรวาลออกมาสี่ศาสตร์เต็มๆ

สามศาสตร์ในนั้นล้วนเป็นเคล็ดกระบี่!

“ใช่แล้ว เจ้าปลีกวิเวกมาโดยตลอด ตอนนี้มีความมั่นใจแล้วหรือ” ทันใดนั้นบรรพชนเทียนอวี๋ก็มองไปทางจอมกระบี่ นัยน์ตามีแววคาดหวังสายหนึ่ง

“มีความมั่นใจเพียงห้าส่วนเท่านั้น” สีหน้าของจอมกระบี่ก็มีความเคร่งขรึมอยู่บ้างเล็กน้อย “เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันใหญ๋หลวงนัก ถ้าหากไม่ระวังแล้วก็อาจกลายเป็นมหาสงครามได้ เกรงว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็อาจถูกผลาญทำลายไปด้วย ดังนั้นมีเพียงตอนที่มีความมั่นใจสิบส่วนแล้วเท่านั้น… ถึงเวลานั้นก็ยังต้องเตรียมตัวให้ดี”

บรรพชนเทียนอวี๋ก็พยักหน้าช้าๆ “ข้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว แต่ก็ไม่รีบร้อน ไม่มีความมั่นใจสิบส่วนก็รอคอยค่อไป ข้าก็ไม่มีความหวังแล้ว บำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้วก็ไม่มีความก้าวหน้าอีก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน มีความหวังกว่าข้ามากมายนัก”

นัยน์ตาของจอมกระบี่มีแววคาดหวังสายหนึ่ง ทันใดนั้นก็มองลงไปยังเบื้องล่างแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ชมการประลองก่อนดีกว่า”

“อืม ชมการประลองดีกว่า” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ก้มหน้าลงมอง

……

เคร้งๆๆ

อาวุธของทั้งสองฝ่ายปะทะกันราวกับสายฟ้า ศิษย์น้องเป้าเซียวผู้มีผิวหนังสีดำแปลงร่างกลายเป็นอสนีบาตไปโดยสมบูรณ์แล้วในขณะนี้ โจมตีกระบี่แล้วกระบี่เล่าอย่างบ้าคลั่งโดยอาศัยความเร็วสูง ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็รวม ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ เข้ากับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของตน สามารถต้านทานเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์แบบ

“ฮึ่ม…” ศิษย์น้องเป้าเซียวบ้าคลั่งไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว เขาคำรามอย่างโกรธเคือง บริเวณกลางหว่างคิ้วปริออกเป็นนัยน์ตาสีทองข้างหนึ่ง กลางนัยน์ตาสีทองก็มีสายฟ้าอันน่าหวั่นเกรงอยู่เช่นกัน กระบี่เทพในมือของเขาเหนี่ยวนำเอาอสนีบาตสีทองมา พลังคุกคามพุ่งทะยานสูงขึ้น นี่จึงจะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง

“ศาสตร์โบราณหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว เหล่าศิษย์ระดับสูงของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์โดยทั่วไปต่างก็สามารถบำเพ็ญระบบอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันด้วยได้  โดยทั่วไปต่างก็ใช้กลบเกลื่อนข้อด้อยบางอย่างของตนได้เป็นอย่างดี โดยปกติก็จะสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้ตนเองสำแดงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้! ศิษย์น้องเป้าเซียวผู้นี้เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน ก็เป็นเพราะเขาเป็นผู้ที่โจมตีได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด และช่ำชองในการควบคุมอสนีบาตในระบบศาสตร์โบราณ

ศาสตร์โบราณ มีทั้งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและผู้ที่อ่อนแอที่สุด และมีผู้ที่มีวิธีการลงมืออันลึกลับมิอาจคาดเดา นี่คือระบบการบำเพ็ญโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ยามที่เป็นวิญญาณเทพนั้นก็เหมือนกับระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ คือต้องเปิด ‘ทะเลเทพ’ ภายในกายก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยรวบรวมร่างจริงจิตเทพ

แต่ระบบศาสตร์โบราณกลับต้องบ่มเพาะ ‘แก่นกำเนิด’ ออกมาก่อน จิตวิญญาณก็จะแทรกซึมอยู่ในนั้น แก่นกำเนิดนี้โดยทั่วไปแล้วก็จะเป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย

อย่างเช่นดวงตา ใบหู หัวใจ ผิวหนัง หรือสมอง เป็นต้น

แก่นกำเนิดที่ไม่เหมือนกันก็จะทำให้ศักยภาพของพวกเขาแตกต่างกันด้วย ระดับวิญญาณเทพ พวกเขาก็สามารถเผยวิธีการอันน่าอัศจรรย์นานาชนิดออกมาได้แล้ว ส่วนผู้ที่ไปถึงระดับผู้ปกครองเทพแท้อย่างศิษย์น้องเป้าเซียวที่หว่างคิ้วมีดวงตาสายฟ้าสีทอง ถึงแม้จะเป็นการสำแดงที่โง่งมที่สุด ก็นับได้ว่าเป็นลำดับสุดยอดในบรรดาผู้ปกครอง เหล่าผู้ปกครองที่อ่อนแอหน่อยต่างก็ถูกสังหาร! ไม่ต้องพูดถึงศิษย์น้องเป้าเซียวที่นำพลานุภาพที่ซึมซับเข้าสู่เก้ากระบี่อสนีอสรพิษมาสำแดง นี่ก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแล้ว

“หึ” เผชิญหน้ากับเป้าเซียวที่เดือดดาล พละกำลังที่ปั่นป่วนอยู่ภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเทเข้าสู่กลางหอกของเขาในทันใด พละกำลังของผู้ท่องอากาศขั้นที่ยี่สิบปะทุออกมาจนหมดสิ้น!

…………………………………..