ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 29 ปากอ้าตาค้าง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 29 ปากอ้าตาค้าง โดย Ink Stone_Fantasy

“ปัง…” อาวุธกระทบกัน เป้าเซียวตกใจจนบินถอยออกไปทางด้านหลัง ร่างกายก็สั่นสะท้าน โลหิตสดๆ เต็มปากพ่นออกมาจากปากคำหนึ่งอย่างควบคุมไม่อยู่ พ่นกระจายไปทั่วเวหา พร้อมกันนั้นก็ถูกเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายล้างอย่างง่ายดาย

“อะไรกัน!”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน”

“เขาถึงกับเหนือกว่าด้วย”

บรรดาผู้ชมจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้ยังค่อนข้างสงบนิ่งต่างก็พากันตกอกตกใจในทันใด เป้าเซียวผนวกรวมวิธีการของศาสตร์โบราณกับ ‘เก้ากระบี่อสนีอสรพิษ’ พลังยุทธ์ก็แผ่ขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ต่างหากจึงจะเป็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของเป้าเซียว! พวกเขารู้สึกว่าเพียงพอที่จะกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงได้แล้ว แต่ว่าผลของการปะทะกันนั้นกลับกลายเป็นว่าเป้าเซียวที่พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นถูกกดดันโดยสิ้นเชิงแทน!

“ศิษย์น้องเป้าเซียว เจ้าก็เตรียมรับกระบวนท่าสักหลายกระบวนเถิด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกว้าง มือกุมหอกเล่มหนึ่งแล้วพุ่งสังหารไปโดยตรงด้วยความเร็วสูง

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ไม่ ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ” เป้าเซียวสำแดงเคล็ดกระบี่ต้านทานโดยฉับพลันอย่างแตกตื่นอยู่บ้าง แต่ทุกๆ หอกของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นนอกจากจะลึกลับยากคาดเดาแล้ว พลานุภาพก็ยังมหาศาลจนน่าหวาดหวั่น ราวกับคลื่นอันปั่นป่วนระลอกแล้วระลอกเล่าโจมตีเข้ามา เขาก็ย่อมต้านทานไม่ไหวอยู่แล้ว ทุกครั้งที่รับกระบวนท่าล้วนถูกกระหน่ำโจมตีจนตัวลอยตีลังกาครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ่งทวีความเดือดดาล เขตแดนค่ายสังหารกระหวัดรัดเกี่ยวศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน หอกยาวก็ไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง!

เช่นเดียวกันกับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา

ถ้าหากร่างกายอ่อนแอ แม้จะสำแดงวิชาผู้ท่องอากาศไปอย่างสุดกำลัง พลังคุกคามก็มีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน วิชาลับผู้ท่องขั้นที่ยี่สิบ… ใช้เพียงร่างกายอันบริสุทธิ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงพอที่จะทำให้ไปถึงธรณีประตูของขั้นเทพอากาศแล้ว ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งด้านพลังของเขาถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นอีกฝ่ายสำแดงวิชาเก้ากระบี่อสนีอสรพิษ เขาสำแดงวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกา อีกฝ่ายจะสามารถต่อกรมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน

ร่างกายที่มาถึงธรณีประตูของขั้นเทพอากาศ มาส่งเสริมวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา ยังน่าหวาดกลัวกว่าดวงตาสายฟ้าสีทองส่งเสริมเก้ากระบี่อสนีอสรพิษของฝ่ายตรงข้ามเสียอีก

“ปังๆๆ…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ละเว้นผู้ใด เขาไล่สังหารและบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง

“สวบ…” ในที่สุดหอกเล่มหนึ่งก็แหวกกระบี่เทพในมือของเป้าเซียว จ่อบนร่างกายของเขา อาภรณ์สีม่วงที่ปกคลุมร่างทนทานเป็นอย่างยิ่ง แต่พลานุภาพในการทำลายล้างที่รวมอยู่ในหอกยาวยังคงส่งผ่านออกไป ร่างของเป้าเซียวเริ่มที่จะแตกกระจายสูญสลาย

ทันใดนั้น!

พละกำลังอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งห่อหุ้มเป้าเซียวเอาไว้ในทันใด ถึงแม้ว่าส่วนลำตัวของร่างแยกของเป้าเซียวจะเริ่มถูกผลาญทำลาย แต่กะโหลกศีรษะของเขากลับถูกรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

รู้สึกได้ถึงการปะทุออกมาของพลังขุมนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่งในทันใด

ชนะแล้ว!

‘ลานโลกสันติ’ เองก็เป็นค่ายกลที่ลึกลับเป็นที่สุดอยู่แล้ว พลานุภาพของลานโลกสันติแผ่กระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อศิษย์ที่ทำการประลองอยู่ในวิกฤติที่อันตรายถึงชีวิต พลานุภาพของลานโลกสันติก็สามารถปกป้องพวกเขาเอาไว้ได้ในทันที! ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่การประลองในขั้น ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ การปกป้องศิษย์เทพแท้ช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินสำหรับลานโลกสันติที่บรรพชนเทียนอวี๋จัดการด้วยตนเอง

ในระยะเวลาอันเนิ่นนานมานี้ เหล่าศิษย์เทพแท้ห้ำหั่นกันบนลานโลกสันติ แต่ไหนแต่ไรก็ยังไม่เคยมีผู้ใดสิ้นชีพไปจริงๆเลย!

“พรึ่บ…” ร่างกายของเป้าเซียวฟื้นคืน เพียงแต่สีหน้าของเขากลับซีดขาวอยู่บ้าง แววตาก็มีความสูญเสียอยู่บ้าง แพ้แล้ว เขาพ่ายแพ้แล้วหรือ

“ศิษย์น้องเป้าเซียว จำการเดิมพันได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ

เป้าเซียวมองไปทางชายหนุ่มผู้กุมหอกยาวเอาไว้ในมือตรงหน้า พ่ายแพ้ได้อย่างน่าอนาถ ศิษย์อาภรณ์ทองผู้มาจากจักรวาลคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับเหล่าผู้ปกครองที่ร้ายกาจน้อยนิดยิ่งนัก เขายังคิดว่าเป็นโอกาสกอบโกยด้วยซ้ำไป!

การประลองเดิมพัน พ่ายแพ้แล้วก็ต้องรับผิดชอบ!

วันนี้ผู้ที่เข้าชมการประลอง แม้กระทั่ง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ และ ‘จอมกระบี่’ ต่างก็อยู่ด้วย ทั้งยังมีประมุขวังคนอื่นๆ อีกมากมายอยู่ด้วยเช่นกัน เป้าเซียวย่อมมิกล้าทำสิ่งน่าละอาย ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่คิดว่าต้องชนะเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิกล้าทำสิ่งน่าละอายอย่างแน่นอน ตอนนี้ใครจะไปคิดว่าตัวเขาจะเผชิญกับสภาวะวิกฤติเข้าเสียเอง

“ได้สิ” เป้าเซียวพลิกมือ ในมือก็มีแหวนวงหนึ่งปรากฏขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเกร็งกระตุกคราหนึ่งแต่ก็ยังโยนมันมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเอาแหวนมาหลอมรวมแล้วเริ่มตรวจสอบในทันใด

อีกทั้งป้ายคำสั่งส่งสารของเขายังได้รับข้อความ…จุดความดีความชอบเพิ่มขึ้นสามหมื่นจุด!

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูวัตถุที่อยู่ภายในแหวนคราหนึ่ง ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เปล่งประกายจับตาที่สุดก็คือศิลาหลายก้อน บนศิลามีสีสันอันแปลกประหลาดเคลื่อนหมุนวน งดงามจับตา ชวนให้คนใจเต้นโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็ยังถูกดึงดูดจนสั่นสะท้าน เช่นเดียวกันกับคนที่ท้องหิวโหยอย่างที่สุดอยากกินอาหาร ดวงวิญญาณก็มี ‘ความหิวโหย’ อยากกินศิลาปฐมโลกานี้เช่นเดียวกัน

หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูศิลาปฐมโลกาและวัตถุอื่นๆ แล้ว ฉับพลันนั้นก็มิได้ดูป้ายคำสั่งส่งสารอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกหิวโหยในดวงวิญญาณจึงได้เลือนหายไป

“เฮ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจคราหนึ่ง “ศิลาปฐมโลกามีพลังดึงดูดมากเกินไปแล้วจริงๆ ว่ากันว่าแม้กระทั่งขั้นอลวน หรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลต่างก็ให้ความสนใจกับศิลาปฐมโลกากันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้ปกครองเทพแท้อย่างข้าคนหนึ่งดูดซับศิลาปฐมโลกาลงไปเลยก็สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”

ความน่าอัศจรรย์ของศิลาปฐมโลกา

ต่างก็มีประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งหมด รวมถึงเทพจักรวาลด้วย

ทว่ามีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่ง หากพลังยุทธ์ยิ่งแกร่งกล้า ผลลัพธ์ก็ยิ่งอ่อนแอ อย่างเช่น ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งต่อเหล่าผู้ปกครอง แต่สำหรับเทพจักรวาลนั้นหรือ กินไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย!

ดังนั้นศิลาปฐมโลกาจึงยิ่งเหมาะสมให้เหล่าผู้แกร่งกล้าใช้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่อ่อนแอแล้วใช้ในการแลกเปลี่ยนกับสิ่งล้ำค่ากลับคุ้มค่ามากกว่า

“มีเพียงแค่ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดไปยังเป้าเซียว บนใบหน้าของเป้าเซียวมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อน วัตถุอื่นๆ ยังมีจุดความดีความชอบที่พอถูไถ สามารถนับเป็นศิลาปฐมโลกาสิบสามก้อนได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง

ศิลาปฐมโลกาสามก้อนสามารถแลกเปลี่ยนเป็นจุดความดีความชอบสามหมื่นจุดได้! แต่จุดความดีความชอบสามหมื่นจุดนั้นไม่มีผู้ใดเต็มใจจะเอาศิลาปฐมโลกามาแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว

“ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อนนี้ ข้าเก็บรวบรวมมาหลายปีแล้ว” เป้าเซียวถ่ายเสียงพูด

“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ “ถ้าหากศิษย์น้องเป้าเซียวต้องการจะเดิมพันการประลองอีกเมื่อใด ข้าก็พร้อมเสมอ”

ใช่แล้ว เขาพร้อมเสมอ

เพราะหลังจากที่การประลองของศิษย์เทพแท้สิ้นสุดลงแล้ว เขาก็จะบรรลุไปถึงระดับขั้นเทพอากาศ…

การประลองในครั้งนี้ทำให้บรรดาศิษย์มากมายปากอ้าตาค้างอย่างแท้จริง ‘เป้าเซียว’ ผู้เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองถึงกับพ่ายแพ้ในการเดิมพันการประลองให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง!

“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มีฝีมืออยู่พอสมควรจริงๆ”

“ร่างกายของเขาดูเหมือนจะแกร่งกล้าเป็นพิเศษด้วย”

เหล่าประมุขวังจำนวนหนึ่งที่ชมการประลองอยู่ต่างก็ประหลาดใจ

ในที่สุดใบหน้าเยียบเย็นดุจน้ำแข็งของจอมมารก็เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ในวังทวีสูญพูดถึงตงป๋อเสวี่ยอิง ต่างก็สามารถพูดได้ว่ามาจากจักรวาลเดียวกันกับจอมมารและจอมกระบี่! ดังนั้นการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำตัวน่าตื่นตาตื่นใจได้สักหน่อยก็ทำให้จอมมารรู้สึกได้หน้าอยู่บ้าง จอมมารกับจอมกระบี่นั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกันแล้วจอมกระบี่จะมีความสันโดษมากกว่า แต่จอมมารยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับหน้าตาอยู่

“ชนะเสียแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋มองลงไปยังเบื้องล่างอย่างประหลาดใจ “ร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว เกรงว่าร่างกายของเขาคงจะนับได้ว่าเป็นอันดับที่สองในบรรดาศิษย์เทพแท้กระมัง ร่างกายโน้มเอียงไปทางห้วงอากาศ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ประสบโอกาสอันใดบ้าง”

ร่างกายกล้าแกร่ง มีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน

ศาสตร์โบราณก็มีมากมายหลายชนิด ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดก็มีผู้สืบทอดที่น่าหวาดเกรงมากมาย ถึงแม้ว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็มีศาสตร์ลับที่บำเพ็ญฝึกฝนร่างกายอยู่มากมาย เช่นในบรรดาศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญ มีอยู่คนหนึ่งที่อยู่ใน ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ มีความร้ายกาจอยู่ที่ขั้นกลาง ความแข็งแกร่งของร่างกายก็สูงกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ท่องอากาศขั้นที่ยี่สิบผู้นี้อยู่เล็กน้อย

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดง ‘เกราะพล’ มีสาเหตุมากมายที่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากสำแดงเกราะพลออกไปแล้ว เกรงว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนและประมุขวังสองท่านจะสามารถแยกแยะได้ในทันที

ตนเองเป็นความลับของผู้ท่องอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ล่วงรู้ก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากเปิดเผยออกไปที่งานรวมตัวของผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้! เพราะดูเหมือนว่า ‘กู่ฉี’ ท่านอาจารย์ของตนจะไปล่วงเกินศัตรูที่น่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าวังทวีสูญจะสามารถปกป้องตนได้ แต่ถ้ายุ่งยากให้น้อยหน่อยได้ ก็ยุ่งยากให้น้อยหน่อยดีกว่า!

ตนเองไม่ใช้เกราะพลก็สามารถเข้าไปอยู่ในสิบลำดับแรกได้!

“ศิษย์พี่ฉีอวิ๋น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้บินกลับไปยังเสาหิน แต่ยืนอยู่กลางเวหาแล้วมองไปทางศิษย์อาภรณ์ทองผู้จัดอยู่ในลำดับที่เจ็ด “เชิญ!”

บุรุษนัยน์ตาสีทองที่ผอมบางอยู่บ้างผู้นั้นสะดุ้งเล็กน้อยคราหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมาแล้วเหินบินตรงออกมา

ทว่าในขณะนี้ บริเวณโดยรอบกลับเงียบกริบ!

จะท้าประลองอีกหรือ

ก่อนหน้านี้ครึ่งปี ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็มิได้ลงมือมาโดยตลอด ตอนนี้เพิ่งเอาชนะเป้าเซียวก็ถึงกับท้าประลอง ‘ฉีอวิ๋น’ ผู้จัดอยู่ในลำดับที่เจ็ดในทันที

“ศิษย์น้องตงป๋อเสวี่ยอิงช่างเผยคมดีเหลือเกิน เพิ่งเดิมพันการประลองไปยกหนึ่งก็มาเชิญข้าไปต่อสู้อีกแล้ว” บุรุษนัยน์ตาสีทองพูดยิ้มๆ “ยกนี้จะวางเดิมพันอีกหรือไม่เล่า”

“ศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนหรือสมบัติล้ำค่าที่มีค่าเทียบเท่ากัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ก็เหมือนกับคราวก่อน ถ้าหากศิษย์พี่ฉีอวิ๋นปรารถนาจะเดิมพันการประลอง ข้าก็ย่อมพึงใจนัก”

บุรุษนัยน์ตาสีทองสะดุ้งเล็กน้อย

รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา

“ฮ่าฮ่า ข้าเอาไว้ก่อนดีกว่า ข้ายังมิอาจหยิบเอาสมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนี้ออกมาได้ในคราวเดียวหรอก” บุรุษนัยน์ตาสีทองเอ่ยปฏิเสธพลางหัวเราะเสียงดัง ทว่าในใจของเขากลับขมวดแน่นอยู่บ้าง ในยามที่ยังไม่มีหลักประกัน เขาก็ไม่กล้าหยิบเอาสมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้นไปเดิมพันหรอก! ต่อให้เป็นศิษย์อาภรณ์ทอง การสะสมสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย

“ศิษย์พี่ฉีอวิ๋น ระวังด้วย” เสียงพูดของตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยออกไป รอบด้านก็มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้นมาในทันที พร้อมกันนั้นเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่กระจายออกไป

ด้านหลังของบุรุษนัยน์ตาสีทองกลับมีปีกสีทองคู่หนึ่งกางออกมาในทันใด ร่างกายของเขาวูบไหวคราหนึ่งก็มีร่างแปรสามร่างปรากฏขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงฉีกยิ้ม แต่รอบด้านกลับมีร่างแปรสามร่างปรากฏขึ้น รวมกับร่างจริงก็เป็นทั้งหมดสี่ร่างแล้ว

“แย่แล้ว” ฉีอวิ๋น บุรุษนัยน์ตาสีทองหนาวเหน็บในใจ

……

เขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสกัดกั้นการยึดโยงหลอมรวมของร่างแปร ทั้งยังยับยั้งเคล็ดวิชาร่างแปรของศิษย์พี่ฉีอวิ๋นเอาไว้อีกด้วย พอไม่มีข้อได้เปรียบของร่างแปร พลังยุทธ์ของฉีอวิ๋นก็ยังอ่อนแอยิ่งกว่าเป้าเซียวอยู่เล็กน้อยด้วย!

การต่อสู้ยกนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คว้าชัยชนะเช่นเดิม! แล้วแทนที่อีกฝ่าย กลายเป็นลำดับที่เจ็ดในบรรดาศิษย์อาภรณ์ทอง ถูกจัดชื่อเข้าอยู่ในสิบลำดับแรกอย่างเป็นทางการ!

“พ่ายแพ้เสียแล้ว”

ฉีอวิ๋นก็มิได้รู้สึกว่ายากเกินทนรับแต่อย่างใด ถึงอย่างไรได้เห็นเคล็ดวิชาร่างแปรของฝ่ายตรงข้ามว่าร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว และเขายังยินดีเป็นอย่างยิ่ง “โชคดี โชคดีที่เมื่อครู่ข้ามิได้เดิมพันการประลอง” แพ้แล้วก็แพ้ไป ก็แค่ตกจากลำดับเจ็ดเป็นลำดับแปดเท่านั้นเอง

แต่บรรดาศิษย์เทพแท้ในที่นั้นและบุคคลระดับสูงของวังทวีสูญที่อยู่ด้านบนต่างก็ค่อนข้างประหลาดใจ

ศิษย์อาภรณ์ทองหน้าใหม่ที่โผล่มาจากจักรวาลคนหนึ่งก็เข้ามาเป็นสิบลำดับแรกเช่นนี้ได้แล้วหรือ นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญ! นอกจากนี้ ดูจากกลิ่นอายของดวงวิญญาณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเป็นผู้ที่เยาว์วัยที่สุดในบรรดาศิษย์อาภรณ์ทองที่จัดอยู่ในสิบลำดับแรกอีกด้วย!

…………………………………….