ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 30 สะดุดตา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 30 สะดุดตา โดย Ink Stone_Fantasy

“จอมมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มาจากจักรวาลเดียวกับท่านกระมัง เจ้าหนุ่มคนนี้ร้ายกาจใช้ได้ทีเดียว มายังวังทวีสูญได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เข้าสู่สิบอันดับแรกของศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญแล้ว”

“จอมกระบี่ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นยอดสุด จอมมารอย่างท่านก็บรรลุถึงขั้นอลวนตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าในภายหน้าเจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับพวกท่านนี้จะบรรลุถึงระดับขั้นใดกัน”

บรรดาประมุขวังทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันชมเชย

แม้ในสายตาของจอมมารจะฉายแววชื่นชมและพึงพอใจ ทว่าปากกลับพูดว่า “เขาเป็นเพียงผู้ปกครองเทพแท้เท่านั้น ยังเร็วไปมากทีเดียว ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้หรือไม่”

“ผู้อาวุโสตำหนักในหรือ”

ประมุขวังคนอื่นๆ แย้มยิ้มโดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก

ล้อเล่นแล้ว!

ผู้อาวุโสตำหนักในนั้นยากเย็นเพียงใดกัน

การแบ่งสถานะภายในวังทวีสูญได้แก่ ประมุขวัง ประมุขตำหนัก รองลงมาก็คือผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว! ถัดไปอีกก็คือผู้อาวุโสตำหนักนอก

ต่อให้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองบรรลุแล้วสำเร็จเป็นเทพอากาศ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสตำหนักนอก คิดจะสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในนั้นก็ยากเกินไปแล้ว ‘ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ’ นั้น หากอยู่ภายนอกก็เพียงพอจะทำให้ฟากฝั่งหนึ่งสะท้านสะเทือนได้แล้ว! แม้แต่แกนนำขั้นอลวนก็ยังต้องให้ความสำคัญ

……

แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จะชื่นชมเป็นอันมาก แต่ในใจกลับสงบนิ่งนัก เพราะถึงระดับอย่างพวกเขาแล้ว สิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาสะทกสะท้านได้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

การประลองยกแล้วยกเล่าดำเนินไปอย่างไม่ขาดสายกลางลานโลกสันติ

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงได้เป็นอันดับเจ็ดแล้ว ก็กลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาศิลา พลางชมการประลองยกแล้วยกเล่าอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงชมการประลองแต่ละยกด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง แตกต่างจากศิษย์เทพแท้คนอื่นๆ เขาถึงขั้นวิเคราะห์ความเร้นลับชนิดต่างๆ ที่อีกฝ่ายใช้ในการต่อสู้ แม้จะมีศิษย์น้องชายหญิงบางคนที่พลังอ่อนแอกว่าเขาอยู่บ้าง แต่การใช้งานความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกายได้

ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เขาก็เข้าใจ กระบี่ที่สองของ ‘สิบสามกระบี่ผลาญโลกา’ ได้แจ่มแจ้งขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

สำหรับศิษย์คนอื่นๆ แล้ว…การประลองจัดอันดับนั้นเป็นการกำหนดสถานะของพวกเขา!

แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิง กลับเป็นสถานที่สำหรับการซึมซับประสบการณ์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นการต่อสู้ด้วยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่แท้จริงมาน้อยเกินไปแล้ว! หากเป็นการต่อสู้ระหว่างแกนนำขั้นอลวน เขาก็มองไม่ทันเอาเสียเลย การประลองจัดอันดับนี้ต่างหากที่เหมาะสำหรับให้เขาชมดูเป็นที่สุด

……

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ศิษย์เจ็ดร้อยกว่าคนประลองกันยกแล้วยกเล่า บ้างก็แทบจะตัดสินเป็นตายกัน บ้างก็มีฝ่ายหนึ่งยอมแพ้เสียเอง หากการต่อสู้มิอาจตัดสินแพ้ชนะได้ ‘วิญญาณค่ายกลลานโลกสันติ’ ก็จะยื่นมือเข้าไปตัดสินแพ้ชนะให้! เช่นฝ่ายหนึ่งมีความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดอันแข็งแกร่ง แล้วหนีไปตลอด อีกฝ่ายก็ไล่สังหารไปตลอด เช่นนั้นวิญญาณค่ายกลก็จะตัดสินว่าฝ่ายที่เอาแต่หนีนั้นเป็นผู้แพ้!

ฝ่ายที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตแข็งแกร่งและตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง แต่กลับอาศัยความสามารถในการรักษาชีวิตฝืนต้านทานไปโดยตลอด มิอาจโจมตีกลับได้ ท้ายที่สุดก็จะถูกตัดสินว่าแพ้

การต่อสู้ดุเดือดนัก

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ท้าทายเลย เขาชมการต่อสู้อย่างตั้งใจ และก็มีหลายครั้งที่ศิษย์คนอื่นๆ เข้ามาเชิญให้เขาร่วมการต่อสู้ แต่ผลก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงชนะ พลังของเขาก็ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป

“การประลองจัดอันดับครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องกันมานานถึงแปดปีแล้ว อืม ควรจะต่อสู้ได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมา “ข้ามีโอกาสพ่ายแพ้ในการต่อสู้ได้สามครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องคว้าโอกาสเหล่านี้เอาไว้ให้ดี”

การประลองจัดอันดับ

ข้อแรกคือเพื่อเข้าสู่สิบอันดับแรกแล้วได้สมบัติล้ำค่ามา เป้าหมายนี้เป็นจริงแล้วในตอนนี้! ถูกจัดอยู่ในอันดับเจ็ดก็ยังนับว่าปลอดภัยมาก เพราะถึงอย่างไรหากอันดับก่อนหน้ามีใครพ่ายแพ้ เขาก็แค่ขยับลงมาเพียงอันดับเดียวเท่านั้น

ข้อที่สองก็คือเพื่อซึมซับประสบการณ์  ทำให้ตนเติบโตและยกระดับขึ้นได้!

คิดจะช่วยจิ้งชิวผู้เป็นภรรยาและอวี้เอ๋อร์ ตนก็ต้องเติบโตแข็งแกร่งขึ้น! ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี พลังแข็งแกร่งแล้ว จึงจะได้วัตถุล้ำค่าที่ช่วยเสริมมาได้อย่างง่ายดาย

การชมดูการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนนั้นมีส่วนช่วย!

แต่การต่อสู้จริงๆ นั้นมีส่วนช่วยมากยิ่งกว่า!

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกไปทันควัน

“เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง”

“เขาออกมาอีกแล้ว”

บรรดาศิษย์ทั้งหลายสะท้านไปถึงวิญญาณ การต่อสู้ระดับศิษย์อาภรณ์ทองจึงจะดึงดูดพวกเขาได้มากกว่า

“ศิษย์น้องมังกรเหิน เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเอาไว้ในมือพลางมองดูศิษย์อาภรณ์ทองคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งนั่นก็คือศิษย์อาภรณ์ทองผู้จัดอยู่ในอันดับแปดนั่นเอง

“ท้าทายข้ารึ” ศิษย์น้องมังกรเหินคือผู้แกร่งกล้าซึ่งมีศีรษะเป็นเกราะ เดิมทีเขาเป็นสัตว์ประหลาด แม้จะแปรเป็นรูปร่างคน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าลักษณะศีรษะของร่างจริงของตนนั้นงดงามที่สุด แม้จะมีศีรษะเป็นเกราะตลอดเวลา “ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ท่านจัดอยู่ในอันดับเจ็ด แต่กลับท้ายทายข้าซึ่งอยู่ในอันดับแปดน่ะรึ หากชนะแล้วก็ยังคงเป็นที่เจ็ดอยู่ แต่หากแพ้แล้วท่านก็จะต้องร่วงลงไปเป็นอันดับแปด การต่อสู้ครั้งนี้ท่านมิได้ประโยชน์เลยสักนิด หรือจะวางเดิมพันกัน ข้าไม่มีทางพนันกับท่านแน่!”

“ไม่พนันหรอก เพียงแต่น้องมังกรเหินก็ฝึกฝนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงรู้สึกคันไม้คันมือน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ได้ สุขใจนัก” ศิษย์น้องมังกรเหินหัวเราะเสียงดัง

เขาชมชอบการต่อสู้เช่นนี้

แพ้แล้วก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่ออันดับ ตงป๋อเสวี่ยอิงและเขาประลองกันก็เพื่อประลองสิบสามกระบี่ผลาญโลกาล้วนๆ

“สวบ”

มังกรเหินพลันวาดข้ามท้องฟ้าไป มีดโค้งเล่มหนึ่งในมือวาดเป็นพระจันทร์เสี้ยวอันแปลกพิสดาร จันทร์เสี้ยวเหลือบสีม่วง ริบหรี่แต่งดงาม ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

เขาเหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง ที่แม้จะฝึกฝนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแต่กลับแปลงเข้าไปในวิถีมีดที่ตนเชี่ยวชาญ การศึกษาศาสตร์ลับนั้น เป็นการศึกษาการใช้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ในนั้นเป็นหลัก

“ตู้มๆๆ…”

อากาศรอบด้านสะท้านสะเทือนแล้วระเบิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงและมังกรเหินประมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ภายหลังมังกรเหินยังแปรเป็นร่างจริงและตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปะทุพละกำลังของร่างกายผู้ท่องอากาศออกมา เมื่อต่อสู้กันจนถึงตอนสุดท้าย มังกรเหินที่บาดเจ็บสาหัสก็ยังตะโกนออกมาอย่างสุขใจว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่สู้แล้วๆ ข้ายอมแพ้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับมามองศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งเป็นอันดับที่หก “ศิษย์พี่หญิงเชียนเชวีย เชิญ!”

“ยังจะสู้อีกรึ”

ศิษย์หลายคนที่ชมการต่อสู้อยู่ต่างพากันตกตะลึงเป็นอันมาก

ศิษย์พี่หญิงเชียนเชวียผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองอร่ามอันหรูหรางดงาม ผมยาวสีทองเคลียบ่า นัยน์ตาทั้งคู่ทอดมองตงป๋อเสวี่ยอิง ใบหน้าของนางยังคงเยียบเย็น เพียงแต่ว่าในมือกลับมีพิณโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้น

……

อาศัยบริเวณการเข่นฆ่าทำให้การกดดันด้วยบริเวณของอีกฝ่ายอ่อนกำลังลง จากนั้นก็อาศัยวิถีโลกเทียมเพิ่มความสามารถในการรักษาชีวิต ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเอาชนะศิษย์พี่หญิงเชียนเชวียซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่หกได้อย่างยากลำบากนัก

……

จากนั้นเขาก็ท้าทายศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งอยู่ในอันดับห้าอีก! บริเวณการเข่นฆ่าและเคล็ดร่างแปรล้วนนำออกมาใช้ทั้งหมด ภายใต้การห้ำหั่นอย่างบ้าคลั่งก็คว้าชัยได้อย่างพอถูไถ

……

แล้วเขาก็ท้าทายศิษย์ที่จัดอยู่ในอันดับสี่อีก

“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่ง เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยเสียงกังวาน ดังก้องไปทั่วทั้งลานโลกสันติ

ยามนี้การต่อสู้อื่นๆ ในลานโลกสันติล้วนหยุดลงชั่วคราว สายตาของศิษย์เทพแท้ทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิง แม้แต่ผู้อาวุโสตำหนักนอก ผู้อาวุโสตำหนักในและประมุขวังไปจนถึง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ และ ‘จอมกระบี่’ ทั้งสองท่านก็มิได้พูดคุยสัพเพเหระกันอีกต่อไป หากแต่เริ่มชมการต่อสู้ด้วยความสนอกสนใจนัก เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงท้าทายแต่ละคนโดยต่อเนื่องกัน ผู้ที่ถูกท้าทายล้วนแต่เป็นศิษย์อาภรณ์ทองทั้งสิ้น!

“เริ่มท้าทายศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งซึ่งเป็นอันดับที่สี่เสียแล้ว”

“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งมีพลังไม่ธรรมดา จะเอาชนะเขานั้นไม่ง่ายหรอก”

แม้จะกล่าวว่าศิษย์อาภรณ์ทองแตกต่างกันค่อนข้างน้อย แต่จัดเป็นอันดับสี่ ก็ได้เปรียบอันดับแปดอันดับเก้าอย่างค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

“ตู้มมม…”

การต่อสู้กำลังดำเนินไป

เจ๋อชวี่หย่งกลับคืนร่างเดิม ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งนัก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายดักแด้ ศีรษะของมันเมื่อเทียบกับทั้งตัวแล้วก็ถือว่าค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีกรงเล็บแน่นขนัดจำนวนนับไม่ถ้วน เขาบินไปกลางฟากฟ้าด้วยความเร็วสูง แล้วรุกไล่สังหารตงป๋อเสวี่ยอิง! แม้รอบด้านจะมี ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ รัดรึงและพันธนาการเอาไว้ แต่ขณะที่ร่างกายของเขาโบยบิน กรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผิวกายก็ฉีกทึ้งบริเวณการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลา ความเร็วแทบจะไม่ลดลงแต่อย่างใดเลย

ทันใดนั้นมันก็ก้มหัวลงแล้วพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด! กลางท้องฟ้าก็มีปลายหอกปรากฏขึ้น แล้วปะทะเข้ากับศีรษะมันอย่างรุนแรง

“ตู้มมม…”

การปะทะนี้แฝงไว้ด้วยความเร้นลับของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลอย่างศาสตร์ลับพิทักษ์โลก

“ฟึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ โลหิตสดๆ คำหนึ่งพุ่งออกจากปาก

“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งช่างร้ายกาจมากจริงๆ รับหอกข้าอีกสักหอกหนึ่งเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสู้มามากพอแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่หาพบได้ยากตนนี้บวกกับอานุภาพของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลแล้ว หอกยาวในมือขยับขึ้นมา

หอกยาวพลิกหมุนแล้วแทงออกไป ด้ามหอกพลิกหมุนราวกับน้ำวนที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดชั่วนิรันดร์ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดรอบบริเวณการเข่นฆ่า ยามนี้ระลอกคลื่นทั่วทั้งบริเวณการเข่นฆ่าล้วนแต่ถูกด้ามหอกนี้เหนี่ยวนำและดึงดูดทั้งสิ้น ก่อนจะพลิกหมุนแล้วพุ่งไปทางหอกยาว อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นถูกสั่งสมเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้วพันพาดบนหอกยาวจนสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าหอกยาวในมือหนักอึ้งขึ้นทุกทีๆ อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

ตอนที่เขาเก็บตัวบำเพ็ญใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ เป็นครั้งแรกนั้น ก็ได้นำกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาและวิถีระลอกคลื่นผสานรวมกันได้สำเร็จแล้ว! ทว่าในวันคืนหลังจากนั้น ตอนที่รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกา เมื่อระดับขั้นยกระดับขึ้น เขาก็ปรับปรุงให้การผสานกันของกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาและวิถีระลอกคลื่นสมบูรณ์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบพออยู่ดี!

ถึงอย่างไรความสำเร็จด้านวิถีระลอกคลื่นของตนเอง ก็แตกต่างกับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกามากเกินไปแล้ว ทำได้เพียงทำให้สมบูรณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น

“เอ๊ะ”

บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่รวมทั้งประมุขวังทั้งกลุ่มซึ่งชมการต่อสู้อยู่กลางอากาศพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา พลางมองดูหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมานี้โดยละเอียด

………………………