บทที่ 1035 ขึ้นไปตามใจเถอะ / บทที่ 1036 ฉันต่างหากที่ล่วงเกินถึงจะถูก

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1035 ขึ้นไปตามใจเถอะ

ฉินรั่วซีมองเยี่ยหวันหวั่น เอ่ยอธิบาย “ตอนแรกกำหนดให้ตัวแทนไม่ต้องลงสนาม ต่อมาเหมือนจะปรับเปลี่ยนกฎชั่วคราว แต่แค่แลกเปลี่ยนพอเป็นพิธีเท่านั้น อีกอย่างด้วยพลังต่อสู้ของคุณหนูเยี่ย น่าจะไม่มีความยาก คุณหนูเยี่ยวางใจได้”

เยี่ยหวันหวั่นได้ยินก็มุมปากกระตุก ในที่สุดเธอก็ดูออกแล้วว่าตั้งแต่เริ่มงาน ฉินรั่วซีก็คอยช่วยพูดแทนเธอตลอด ยกยอเธอต่างนานา

นี่ฉินรั่วซี…ตั้งใจยกยอเพื่อทำร้ายเธอ?

ตอนแรกก็ชมเธอต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็รอดูเธอขึ้นแท่นแล้วลงไม่ได้…

ปราดเปรื่องซะไม่มี!

ไม่นาน สังเวียนที่ด้านล่างก็จัดเตรียมเสร็จสิ้น

สังเวียนใช้สังเวียนแข่งขันที่เปี่ยมความเป็นมืออาชีพ ร่วมกับทีมตัดสินผู้เชี่ยวชาญ รับประกันความยุติธรรมของงานชุมนุมประลองฝีมือครั้งนี้

ส่วนความยุติธรรมของการแข่งขันครั้งนี้ ทุกคนก็เห็นในสายตา และไม่มีข้อคัดค้านใดๆ

ทีมตัดสินผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปที่ตระกูลซุนคัดเลือกมา เห็นได้ชัดว่าตระกูลซุนให้ความสำคัญกับงานชุมนุมประลองฝีมือครั้งนี้

ผู้ตัดสินวัยกลางคนคนหนึ่งหยิบกระบอกไม้ไผ่ในมือเดินมาถึงห้องชมการแข่งขันอย่างรวดเร็ว

เพื่อรับประกันความยุติธรรม ป้องกันการโกงใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น งานชุมนุมประลองฝีมือจึงใช้วิธีจับไม้ แซ่ของสามตระกูลใหญ่ต่างถูกใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ทุกตาแข่งขัน ชื่อคู่แข่งขัน จะถูกเขียนไว้บนแท่งไม้ไผ่

“คุณหนูฉิน คุณเดาก่อน”

ซุนเสวี่ยเจินมองฉินรั่วซี

ได้ยินดังนั้น ฉินรั่วซีก็ไม่เกรงใจ พลิกข้อมือ สอดนิ้วเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ ดึงเอาแท่งไม้ไผ่ออกมาหนึ่งแท่ง

ฉินรั่วซีมองบนแท่งไม้ไผ่ ตาที่สอง ฉินรั่วซีเจอตระกูลซุน

รอจนฉินรั่วซีจับไม้เสร็จ ซุนเสวี่ยเจินก็จับแท่งไม้ไผ่จากในกระบอกไม้ไผ่บ้าง ตาที่หนึ่ง ตระกูลซุนเจอตระกูลซือ

“งานชุมนุมประลองฝีมือครั้งนี้มีทั้งหมดแค่สามตระกูล เพราะงั้นเธอไม่ต้องจับแล้ว” หลังส่งแท่งไม้ไผ่ให้ผู้ตัดสิน ซุนเสวี่ยเจินก็หันมองเยี่ยหวันหวั่น

ได้ยินแบบนั้น เยี่ยหวันหวั่นกลับไม่ได้ตอบโต้อะไร เป็นอย่างที่ซุนเสวี่ยเจินพูด งานชุมนุมประลองฝีมือมีทั้งหมดแค่สามตระกูล ฉินรั่วซีกับซุนเสวี่ยเจินจับไม้ไผ่ไปแล้ว เธอจับอีกก็ไม่มีความหมายอะไร

เวลานี้ บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ซุนลี่จ้งกำลังพูดคุยกับท่านมู่และราชาหมาป่าเซนนี เมื่อได้ยินเสียงตีกลองมโหระทึก งานชุมนุมประลองฝีมือที่จัดโดยสามตระกูลใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น

ตาแรก ตระกูลซือเจอกับตระกูลซุน

ห้าคนของตระกูลซือตื่นเกร็งเล็กน้อย ตระกูลซุนเป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ คนธรรมดาเทียบเคียงไม่ได้ ยอดฝีมือในตระกูลมากมายราวกับก้อนเมฆ ยอดฝีมือที่ตระกูลซุนส่งมา ต้องเป็นหนึ่งในสุดยอดแน่นอน

คนที่ตระกูลซุนส่งมาเป็นพี่น้องห้าคน ตามการจัดอันดับพลังศิลปะการต่อสู้ พี่ใหญ่ซุนไปจนถึงพี่ใหญ่ห้าซุน พี่ห้าซุนพลังต่อสู้อ่อนแอที่สุด ส่วนพี่ใหญ่ซุนพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด

“ปิ่งซิ่น พี่ขึ้นไปก่อน”

ซุนเสวี่ยเจินมองพี่ห้าซุนแล้วเอ่ยปาก

ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็พยักหน้าน้อยๆ ให้ซุนเสวี่ยเจิน แล้วก้าวไปยังสังเวียน

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ พี่ห้าซุนก็ยืนอยู่บนสังเวียนแล้ว

“พวกนาย…”

เวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นมองประเมินห้าคนของตระกูลซือ

เห็นแบบนั้น ห้าคนของตระกูลซือก็พากันส่ายหน้า ผู้หญิงคนนี้จะเข้าใจอะไร หรือว่ายังคิดจะสั่งพวกเขาใครขึ้นก่อนใครขึ้นหลัง!

ถึงแม้ว่าพ่อบ้านสวี่พูดแล้ว ว่าให้พวกเขาห้าคนเชื่อฟังคำสั่งจัดคนของเยี่ยหวันหวั่น แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เข้าใจศิลปะการต่อสู้สักนิด การออกคำสั่งมั่วๆ มีแต่จะทำลายจังหวะพวกเขา

เยี่ยหวันหวั่นจ้องทั้งห้าคนครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ขึ้นไปตามใจเถอะ”

เยี่ยหวันหวั่นไม่รู้อะไรเลยกับบอดี้การ์ดใหม่ห้าคนนี้ของตระกูลซือ และไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าพลังต่อสู้ของคนพวกนี้เป็นยังไง งั้นก็ไม่สู้ให้พวกเขาแสดงความสามารถอย่างอิสระดีกว่า

แต่ทว่า ประโยคนี้ของเยี่ยหวันหวั่น กลับน่าขันอยู่บ้างสำหรับคนอื่นๆ

ในฐานะตัวแทนตระกูล กลับไม่มีความสามารถในการวางแผน ถึงกับให้ห้าคนแสดงความสามารถตามใจ ช่างน่าขันสิ้นดี!

————————————————————————————-

บทที่ 1036 ฉันต่างหากที่ล่วงเกินถึงจะถูก

“รั่วซี ตระกูลซือคงไม่ได้อคติกับตระกูลซุนของพวกเราหรอกนะ” ซุนเสวี่ยเจินมองฉินรั่วซี่ เอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ

ได้ยินแบบนั้น ฉินรั่วซีเอ่ย “เปล่านี่ เสวี่ยเจิน ทำไมเธอพูดแบบนั้นล่ะ”

“เปล่า?” ซุนเสวี่ยเจินแค่นหัวเราะเย็น “ในเมื่อไม่ได้มีอคติ แล้วทำไมต้องให้คนอย่างนี้มาทำตระกูลซือพวกเราอับอายขายหน้า

ทั้งที่ตระกูลซือรู้ว่างานชุมนุมประลองฝีมือครั้งนี้สำคัญกับตระกูลซุน อีกอย่างตระกูลซุนยังเป็นเจ้าภาพ ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ด้วยซ้ำ กระทั่งแผนการสักนิดยังไม่มี นี่ไม่ได้ตั้งใจทำพวกเราตระกูลซุนอับอาย แล้วยังจะหมายความว่าไงได้อีก!”

ซุนเสวี่ยเจินเดิมทีคิดจะอดทน แต่สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

ความจริง เยี่ยหวันหวั่นกับซือเยี่ยหานเกี่ยวข้องอะไรกัน และตระกูลซืออยู่ตำแหน่งไหน สำหรับตระกูลซุนแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด

แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลซุนก็นับถือผู้แข็งแกร่ง ถ้าเยี่ยหวันหวั่นคนนี้มีระดับฝีมือหรือความรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ที่แน่นอน งั้นตระกูลซุนก็จะไม่พูดอะไรมาก ย่อมต้องใช้มารยาทต้อนรับแขก

แต่ ตระกูลซุนดูแล้วว่า เยี่ยหวันหวั่นก็แค่อาศัยหนังหน้าตาดีมาเอาชนะใจผู้ชาย ส่วนศิลปะการต่อสู้ จะเข้าใจได้สักเสี้ยวเชียวเหรอ

เมื่อเป็นแบบนี้ การปรากฏตัวในงานประลองยุทธที่ตระกูลซุนถือเป็นเจ้าภาพ สำหรับตระกูลซือแล้ว พูดจากในอีกความหมายหนึ่ง ก็เป็นการทำให้อับอายจริงๆ

เยี่ยหวันหวั่นไม่ตอบสนองใดๆ ต่อท่าทีของซุนเสวี่ยเจินกับตระกูลซุน

เธอรับปากซือเยี่ยหานแล้วว่าจะไม่สร้างปัญหา อีกอย่าง การมาครั้งนี้ เธอก็แค่อยากมาหาประสบการณ์ เพียงแค่นั้น เธอจึงไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นสังเวียนไปแข่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์เองตั้นแต่ต้น

แต่ เยี่ยหวันหวั่นให้ห้าคนตระกูลซือแสดงความสามารถอย่างอิสระ สำหรับบอดี้การ์ดใหม่ห้าคนนี้แล้ว กลับเป็นเรื่องดีอย่างใหญ่หลวง

พวกเขาปรึกษากันหนึ่งรอบ ตัดสินใจให้ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่งไปลองตรวจสอบระดับของตระกูลซุนก่อน

ผู้ชายที่ตระกูลซุนส่งมา ค่อนข้างเรียกได้ว่าพละกำลังอ่อนสุดในบรรดาทั้งห้าคน งั้นพวกเขาก็ส่งคนที่อ่อนแอที่สุดไปรับมือก่อน

บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือขึ้นสังเวียนอย่างรวดเร็ว เขามองชายหนุ่มตระกูลซุน แล้วเอ่ยปาก “บอดี้การ์ดตระกูลซือ หลิวเฉิน!”

“ปิ่งซิ่น” ชายหนุ่มตระกูลซุนเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับไม่มองบอดี้การ์ดตระกูลซือในสายตาแม้แต่น้อย

“หึๆ…ยโสโอหังไม่เลว” บอดี้การ์ดตระกูลซือแค่นหัวเราะเย็น เขากำหมัดในทันที “ล่วงเกินแล้ว!”

พูดจบ บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือก็มาถึงตรงหน้าปิ่งซิ่น วิชาหมัดอันช่ำชองถูกใช้ออกไปในพริบตา

แต่ ชายหนุ่มตระกูลซุนกลับยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ราวกับไม่คิดจะหลบแม้แต่น้อย

‘คนตระกูลซุนอ่อนขนาดนี้เชียว?’

ขณะที่บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือระเบิดหมัดออกไป เมื่อเห็นปิ่งซิ่นไม่ขยับเขยื้อน ในใจก็อดสงสัยไม่ได้

แต่ทว่า ช่วงเวลาทีที่บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือออกหมัด ระยะห่างจากชายหนุ่มตระกูลซุนไม่ถึงสามนิ้วนั้นเอง เสียงแหวกอากาศหนึ่งก็ดังขึ้น

บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่องท้องเขาก็กลับถูกขาฟาดเข้าอย่างจัง

บอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือร้องเจ็บปวดในทันที ทั้งร่างราวกับว่าวที่เชือกขาด ปลิวออกจากสังเวียน แล้วตกลงในฝูงชนอย่างหนักชั่วพริบตา

“ฉันต่างหากที่ล่วงเกินถึงจะถูก” ปิ่งซิ่นชำเลืองมองบอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือที่ร่วงตกสังเวียนอย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา

“ตระกูลซุน ปิ่งซิ่นชนะ หลังจากนี้อีกยี่สิบนาที ฝ่ายชนะรับคำท้าจากฝ่ายแพ้ต่อ!”

ผู้ตัดสินวัยกลางคนประกาศทันที

“แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว!?”

สี่คนของตระกูลซือที่เหลือพยุงบอดี้การ์ดหนุ่มขึ้น อบสบตากันไม่ได้ ลูกแตะนั่น ความเรงและความเร็วแทบจะสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะจังหวะที่เหมาะเหม็ง ปิ่งซิ่นของตระกูลซือนั่น เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเตะ!

ถึงขั้นที่ว่าบอดี้การ์ดหนุ่มตระกูลซือ ยังไม่ทันเห็นว่าปิ่งซิ่นตระกูลซุนนั่นออกลูกเตะยังไง ตัวเองก็ถูกโจมตีปลิวจากสังเวียน เสียสิทธิ์แข่งขันแล้ว…

“ผู้ตัดสิน ไม่ต้องเสียเวลา ต่อตอนนี้ได้เลย” ปิ่งซินตระกูลซุนมองทีมผู้ตัดสิน เอ่ยเสียงเรียบ

ได้ยินแบบนั้น ผู้ตัดสินก็ปรึกษากันชั่วครู่ สุดท้ายจึงตอบรับคำขอของปิ่งซิ่นตระกูลซุน

ผู้แข่งขันแข่งหนึ่งตา การพักเป็นสิทธิประโยชน์ของพวกเขา ถ้าไม่อยากพัก ใครก็ยุ่งไม่ได้

………………………..