บทที่ 369.5 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ มิอาจเอื้อนเอ่ย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “ใช่แล้ว ข้าประหลาดใจอย่างมาก เหตุใดเจ้าถึงยึดมั่นอยู่กับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผล?”

“ปมด้อย”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ขาดอะไรก็ต้องการสิ่งนั้น”

“หืม?”

“ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็พากันจากไป ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเพียงลำพัง จะถูกด่าก็ยาก ถูกชมเชยก็ยาก จึงหวังว่าจะทำทุกเรื่องให้ถูกต้อง ไม่ให้พวกเพื่อนบ้านลอบตำหนิลับหลัง ด่าข้าเสร็จแล้วยังลามไปด่าพ่อแม่ข้าด้วย นอกจากนี้ก็คือยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันในกระเป๋า ยากจนจนกลัว ดังนั้นจึงชอบฟังคนอื่นพูดด้วยเหตุผล แล้วก็ชอบเงิน ข้าไม่ชอบติดเงินคนอื่น แล้วก็ไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินข้า”

หลูป๋ายเซี่ยงเงียบไปนาน กว่าจะพูดว่า “ช่างเป็นคนที่…ซื่อสัตย์จริงๆ”

ระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกัน จูเหลี่ยนก็ย้ายม้านั่งไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ชายคา ในฐานะอดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัว สายตาแค่นี้ยังพอจะมีอยู่บ้าง

ส่วนสุยโย่วเปียนยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตู

พอได้ยินเฉินผิงอันพูดเกี่ยวกับ ‘ติดเงิน’

สุยโย่วเปียนก็แค่นเสียงเย็นแล้วเดินกลับห้องของตัวเอง

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ แล้วอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยลาจากไป พอลุกขึ้นยืนก็กุมหมัดกล่าวว่า “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว”

จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ไม่อย่างนั้นรักษาม้าตายดั่งม้าเป็นดีกว่ากระมัง? พรุ่งนี้ลองสอนปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้เผยเฉียนดู?

แต่เฉินผิงอันก็รู้สึกลังเลขึ้นมาอีก

ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าไว้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ

ในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กไม่ทราบชื่อแห่งนั้น หลังจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่บอกว่าตัวเองคือยอดฝีมือนอกโลกอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอย่างสำรวมอยู่หน้าโต๊ะ

หยิบเอาม้วนภาพวาดกองโตออกมา มีมากถึงยี่สิบสามม้วน

และยังมีถ้วยใบใหญ่ใบเล็กที่มีน้ำมากน้ำน้อยไม่เท่ากัน

นอกจากนี้ยังมีของระเกะระกะอีกกองใหญ่

ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในวิชาอภินิหาร ‘บุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้ำ’ ของสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขา

หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่านี่เหมือนในค่ำคืนที่หิมะตกหนักปีนั้นที่เด็กชายชุดเขียวหยิบน้ำถ้วยนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วรินน้ำเพื่อลอบดูมาดแห่งเทพเซียนของเทพธิดาซูเจี้ยที่ขี่กระบี่

คิดดูแล้วหากเด็กชายชุดเขียวมาเจอกับผู้เฒ่าคนนี้คงต้องร่ำร้องตะโกนเรียกเขาด้วยความเคารพนับถือว่าท่านบรรพบุรุษเป็นแน่

ในความเป็นจริงแล้วฉายาที่เด็กชายชุดเขียวตั้งให้ตัวเองว่า หนุ่มน้อยแห่งแม่น้ำอวี้เจียงนั้น เป็นเพราะได้รับแรงบันดาลใจมากจากผู้อาวุโสบางท่าน ฉายาของผู้อาวุโสท่านนั้นคือ ‘หนุ่มน้อยหน้าหยก’ เขากับคนใจป้ำไม่ทราบชื่อบนภูเขาที่เรียกตัวเองว่า ‘ทวนหนึ่งฉื่อ’  คือสองอันดับแรกใน ‘ภูเขาลูกนี้’ ของพวกเขา คือผู้อาวุโสประเภทที่เป็นลูกพี่ใหญ่ คุณธรรมและบารมีสูงส่ง! ผู้เฒ่าสองท่านนี้มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เสียดแทงสู่ชั้นเมฆ ครั้งแรกที่ประมือกันก็เพราะเถียงกันว่าระหว่างซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เผยโฉมน้อยครั้งผู้นั้น ใครกันแน่ถึงจะเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป หนุ่มน้อยหน้าหยกบอกว่าเป็นซูเจี้ย ทั้งกลิ่นอายแห่งเซียนและความนิยมล้วนเพียงพอ เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นงดงามก็จริง แต่กลับขาดกลิ่นอายของมนุษย์ นั่นทำให้นางไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ทวนหนึ่งฉื่อโต้กลับอย่างเดือดดาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทุ่มเงินร้อนน้อยใส่ลงไปใน ‘น้ำในถ้วยขาว’ ก็เพื่อได้เอ่ยหนึ่งประโยคเถียงกลับอีกฝ่าย

เงินเกล็ดหิมะที่ผ่านการหล่อหลอมระดับเล็กก็สามารถโยนใส่ลงไปในอุปกรณ์บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชนิดต่างๆ ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณไม่มากพอ จึงไม่สามารถถ่ายทอดคำพูดได้

จากนั้นพวกมันก็จะกลายไปเป็นปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาบริเวณโดยรอบภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักที่เหล่าเทพธิดาอยู่อาศัย แต่อย่าได้ดูแคลนเงินเกล็ดหิมะพวกนี้เด็ดขาด จากน้อยสะสมเป็นมาก ภูเขาเล็กๆ บางแห่งที่เนื่องจากเทพธิดามีรูปโฉมงดงาม บวกกับเชี่ยวชาญการเอาใจพวกคนใจป้ำก็สามารถทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำเพิ่มขึ้นพรวดพราดได้จริงๆ

ส่วนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ยิ่งมากพอจะประคับประคองให้คนที่ทุ่มเงินพูดได้นานถึงสองประโยค

การทะเลาะกันครั้งนั้นของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก ต่างคนต่างทุ่มเงินร้อนน้อยไปคนละเจ็ดสิบแปดสิบเหรียญ! นั่นเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเชียวนะ!

ศึกเดียวสร้างชื่อ

ไม่รู้ว่ามีเทพธิดาของสำนักเล็กๆ มากน้อยเท่าไหร่ที่หวังให้เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านนี้ ‘มาเยือนกระท่อมซอมซ่อของตัวเอง’ เพื่อทุ่มเงินให้แก่พวกนาง

เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วทวนหนึ่งฉื่อจะพูดไม่มาก เขาแค่โยนเงินลงไปเงียบๆ เท่านั้น ส่วนหนุ่มน้อยหน้าหยกกลับเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ชอบตะเบ็งเสียงดังหลังจากทุ่มเงินไปแล้วมากที่สุด ชอบโอ้อวดว่าเหล่าเทพธิดาเอ่ยประจบเอาใจเขาอย่างกระตือรือร้นเช่นไร

ผู้เฒ่ามองผิวโต๊ะอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกม้วนภาพหนึ่งในนั้นขึ้นมา พอเปิดออก รออยู่ชั่วครู่ก็มีไอน้ำลอยกรุ่นแล้วแผ่กำจายออกไป เพียงไม่นานก็มีกระท่อมที่ประดับประดาเรียบง่ายแต่หรูหราหลังหนึ่งปรากฏขึ้น เทพธิดาสาวคนหนึ่งที่กอดผีผาอยู่ในอ้อมอกเดินนวยนาดออกมา ด้านหลังมีสาวใช้หน้าตาเคร่งขรึมเดินตาม สุดท้ายไปยืนอยู่ในมุมอย่างว่าง่าย

หลังจากเทพธิดาดีดเพลงจบไปหนึ่งบทก็ยังไม่มีเสียงคนดังขึ้นมาในกระท่อม

นี่หมายความว่ายังคงไม่มีคนใจป้ำคนใดทุ่มเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ หรืออาจจะทุ่มไปแล้ว แต่ไม่ได้พูด ทว่าความเป็นไปได้ในข้อหลังมีน้อยมาก

เทพธิดาฝืนคลี่ยิ้มชื่นบาน เอ่ยประโยคที่ค่อนข้างแห้งแล้งอยู่สองสามคำ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่สตรีของหอโคมเขียวในหมู่มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา อีกทั้งเพิ่งจะถูกทางสำนักขอร้องให้ทำเรื่องเช่นนี้จึงยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง

และเวลานี้เองก็พลันมีคนถามกลั้วหัวเราะขึ้นมา “หนุ่มน้อย อยู่หรือไม่?”

มีเสียงเย็นๆ ตอบกลับมาแทบจะทันที “ไม่อยู่”

เทพธิดาทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ รีบลุกขึ้นยืน หันไปยอบตัวคารวะทางทิศหน้าตรง “คารวะผู้อาวุโสเทพเซียนเสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) และอู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) ทั้งสองท่าน”

นี่ก็คือฉายาอีกอย่างหนึ่งของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก…

เทพธิดาพยายามระงับคลื่นอารมณ์ที่โลดแรงเพราะความตื่นเต้น กลับไปนั่งที่เดิมเตรียมตั้งใจดีดบทเพลงจากผีผาอีกหนึ่งบท สร้างความสุนทรีให้แก่เจ้าของเงินรายใหญ่ทั้งสองที่ทุ่มเงินเมื่อไหร่ก็สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้ผู้คนเมื่อนั้น

หางตาของนางเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่ยืนทื่อราวกับท่อนไม้ สายตาก็เย็นชาเล็กน้อย แต่กลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สือชิว ยังไม่รีบขอบคุณเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านอีกรึ?”

สาวใช้ผู้นั้นจึงยอบกายคารวะ

รอจนเทพธิดาบรรเลงเพลงบทหนึ่งจบลงแล้ว ผู้เฒ่าที่อยู่โรงเตี๊ยมถึงได้โยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเข้าไป ถามว่า “หนุ่มน้อย ข้ามาถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว เดี๋ยวจะไปหาเจ้าแล้วกัน พวกเราสองสหายจะได้ดื่มเหล้าร่วมกัน”

คำตอบของหนุ่มน้อยค่อนข้างจะกระชับและเรียบง่าย “ไสหัวไป”

ผู้เฒ่าโยนเงินร้อนน้อยไปอีกหนึ่งเหรียญ “ทำไมเจ้าเป็นคนแบบนี้กันนะ? ข้าไปเยือนถึงบ้าน เจ้าไม่ต้องย้ายรังไปไหน ใช่ว่าจะทำให้เจ้าเสียเวลามากมายสักหน่อย”

หนุ่มน้อยตอบ “ไม่ว่าง”

ผู้เฒ่าร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ไม่นะ ถึงอย่างไรก็น่าจะมีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อกระมัง?” หนุ่มน้อยตอบ “ไม่”

ผู้เฒ่าที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อู่สือจิ้ง! เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบจริงๆ หรือ?”

หนุ่มน้อยกล่าว “เจ้าเองก็ชื่อว่าเสี่ยวเฟยเซิงเหมือนกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปขี้ไปเยี่ยวบนท้องฟ้าซะล่ะ? หากเจ้ามีความสามารถนี้ ข้าที่อยู่บนภูเขาก็จะอ้าปากรอรับ”

ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุรุษที่มีความองอาจผึ่งผายขนาดนี้ เจ้าจะทนเห็นข้าที่เดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้มาเสียเที่ยวได้หรือไร?”

หนุ่มน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่ารอคอยคำตอบอย่างตื่นเต้น สุดท้ายหนุ่มน้อยก็ตอบเรียบๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวมาเถอะ”

ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวเองต้องขายหน้าต่อหน้าเทพธิดา รีบตอบอย่างยินดีว่า “ขอบคุณๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ พอไปถึงนอกภูเขาที่ตั้งสำนักของเจ้าแล้ว ข้าจะส่งสัญญาณลับให้เจ้าแล้วกันนะ”

หนุ่มน้อย “หุบปาก”

ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างมาก “รับทราบ! แล้วไว้เจอกัน พวกเราสองสหายจะได้มีเวลามาคุยกันดีๆ”

หากลูกศิษย์ของสำนักกุยหยกซึ่งเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับที่สองของใบถงทวีปมาอยู่ตรงนี้ แล้วเห็นว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าของตนประจบเอาใจผู้อื่นอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ เกรงว่าลูกตาคงแทบถลนออกมาจากเบ้า คิดจะเก็บหน้าตาที่เสียไปกลับมาก็คงเก็บไม่ได้แล้ว

……

ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว

คืนนี้หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อย เผยเฉียนช่วยจูเหลี่ยนเก็บโต๊ะ คัดตัวอักษรเสร็จก็ไปหาเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้า

เฉินผิงอันเอาเหล้าในกาเหล้าใบที่ฟ่านจวิ้นเม่าเอามาเป็น ‘ของเดิมพัน’ ใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งดื่มได้มากสุดแค่สองสามคำ มากกว่านั้นไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำร้ายร่างกายสร้างบาดแผลให้กับจิตวิญญาณ

เรื่องราวในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี ถนอมวาสนาและละโมบในโชคลาภห่างกันแค่หนึ่งความคิดกางกั้นเท่านั้น

เฉินผิงอันเพิ่งดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กไปหนึ่งคำ ใบหน้าก็แดงก่ำน้อยๆ เผยเฉียนที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินเขย่งปลายเท้าเบิกตากว้างจ้องมองเฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา

เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ถามชวนคุยว่า “คิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวไหม?”

เผยเฉียนส่ายหน้า

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดถึงพ่อแม่หรือ?”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้า

นางถามว่า “ท่านโกรธหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ถามว่า “ทำไมถึงไม่คิดถึงล่ะ?”

สีหน้าของเผยเฉียนนิ่งสงบ เบ้ปากพูดว่า “ก็แค่ไม่อยากจะคิดถึง”

เห็นว่าเฉินผิงอันเหมือนจะไม่โกรธ

เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน หยิบยันต์มาแปะลงบนหน้าผากของตัวเอง เงียบไปนานกว่าจะพูดเนิบช้าว่า “บ้านเกิดเจอกับหายนะ ช่วงเวลาตอนที่หนีภัยมา แม่ของข้าหิวตายไประหว่างทาง เป็นพ่อที่พาข้ามาถึงนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ตลอดทางแม่ข้าถูกพ่อข้าบังคับให้ไปหาชายอื่นเพื่อแลกอาหารไม่กี่คำมากิน ตอนแรกแม่ข้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพ่อข้ากระชากผมทุบตีอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้ารู้จักแต่จะร้องไห้ อยากจะห้าม แต่ก็ถูกพ่อข้าตีจนล้มกองอยู่บนพื้น เขาเป็นผู้ชาย มีเรี่ยวแรงมาก ภายหลังแม่ข้าก็ไปแลกเอาของกินมา พ่อข้ากินมากที่สุด แม่ข้ากินน้อยหน่อย ส่วนข้ากินน้อยที่สุด มีครั้งหนึ่งข้าตื่นขึ้นมากลางดึกเห็นว่าแม่ข้าแอบหนีออกไป นั่งหันหลังให้ข้า กินหมั่นโถวดำๆ อยู่คนเดียว ข้าก็เลยกลับไปนอนต่อ ตอนหลังดูเหมือนว่าแม่ข้าจะป่วย พ่อไม่สนใจ ตอนแรกยังแบกนางเดิน แต่จากนั้นมีอยู่วันหนึ่งพ่อข้าบอกกับข้าว่าแม่หิวตายไปแล้ว หลังจากนั้นมาพ่อข้าก็เจอกับคนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ขายข้าออกไป แค่บอกให้ข้าไปขโมยของของคนอื่น ข้าโดนคนอื่นตีตั้งหลายที เขาก็ด่าว่าข้าโง่ แล้วก็เดินทางกันไปแบบนี้ เดินไปเดินมาก็มาถึงด้านนอกของเมืองหลวง พ่อข้าโชคดีไม่น้อย ที่นอกเมืองมีคนมีเงินมาตั้งโรงทานแจกโจ๊ก แล้วก็มีหมั่นโถวขาวๆ ลูกใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะพ่อข้ากินเร็วหรือเพราะอะไร ดูเหมือนหมั่นโถวจะติดคอจึงสำลักตาย ข้ามองดูอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีแค่ความคิดเดียวว่า ไม่รู้ว่าพอไปอยู่ในปรโลก พ่อจะตามแม่ไปทันหรือไม่ จะได้ไปเป็นคู่กันอีกไหม”

เฉินผิงอันโน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือมาลูบศีรษะๆ ของเด็กหญิง “รีบไปพักผ่อนเถอะ”

เผยเฉียนคลี่ยิ้ม ร้องตอบรับหนึ่งทีแล้วก็เดินกระโดดโลดเต้นไปนอน ระหว่างทางยังโหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้ามียันต์ ภูตผีปีศาจรีบๆ ถอยไป!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

หลังจากวันนั้นมา เฉินผิงอันยิ่งเข้มงวดกับเผยเฉียนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมานั่งดูนางคัดตัวอักษรอยู่ข้างกายทุกวัน

—–