บทที่ 370.1 พบเจอและแยกย้าย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในขณะที่กระบี่บินชูอีและสืออู่ใกล้จะกินแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวชิ้นนั้นจนหมด กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่บินส่งเสียงดังสวบๆ ก็มาถึงวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสองแล้ว

เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสามคนซื้อของที่ใช้ในวันตรุษจีนที่ร้านยาฮุยเฉินกลับมาเต็มไม้เต็มมือ วิ่งไปกลับอยู่ห้าหกรอบ การที่เผยเฉียนร้องขอร้องสุยโย่วเปียนอย่างยากลำบากให้เดินทางไปเป็นเพื่อนนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะขอแค่สุยโย่วเปียนยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับร้านต่างๆ  ไม่จำเป็นต้องให้เว่ยเซี่ยนและเผยเฉียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้าน ราคาก็จะลดดิ่งฮวบลงได้เอง

ทุกครั้งจะออกไปแต่เช้า กลับมาเย็นย่ำ ผู้เฒ่าคนนั้นก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไหวโบราณของหัวเลี้ยวตรอก ตอนแรกยังมีท่าทางระมัดระวังอยู่บ้าง ภายหลังคุ้นเคยกันแล้วจึงพูดทักทายพวกเขา สองครั้งสุดท้าย เว่ยเซี่ยนที่มีหน้าที่แบกของหนักไม่ได้ตามไปด้วย วันนี้ตอนที่สุยโย่วเปียนซึ่งสะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวของเฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินกลับเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าก็เอ่ยทักทายขึ้นอีกครั้ง เผยเฉียนตอบรับอย่างอ่อนหวาน สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร พอเดินเข้ามาในตรอกเล็ก เผยเฉียนก็หัวเราะร่าพูดว่าผู้เฒ่าที่ลักษณะท่าทางเหมือนซิ่วไฉเหมือนจวี่เหรินท่านนี้ช่างทำตัวสมกับคำว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ก็แค่อายุมากไปสักหน่อย สุยโย่วเปียนดึงหูเผยเฉียน ยิ้มตาหยีถามว่าผู้เฒ่าได้ตกปากรับคำว่าจะมอบเงินยาสุ้ยถุงสีแดงหนาหนักให้เจ้าใบหนึ่งใช่หรือไม่? เผยเฉียนได้แต่แสร้งโง่ร้องโอดโอยว่าเจ็บ

เดินข้ามธรณีประตูร้านยาเข้ามา เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน รอจนสุยโย่วเปียนปล่อยมือที่ดึงหูเผยเฉียนแล้ว เผยเฉียนก็เริ่มร่ายเสียงดังว่าพวกนางสองคนไปที่ไหนเวลาไหน ซื้อของอะไรที่ราคาเดิมเท่าไหร่ แต่ซื้อมาด้วยราคาเท่าไหร่ที่ร้านใด เฉินผิงอันดีดลูกคิด เมื่อเสียงของเผยเฉียนเงียบลง เสียงดีดลูกคิดใสกังวานดังเสนาะหูก็หยุดลงทันควันเช่นกัน เฉินผิงอันชูนิ้วโป้งให้สุยโย่วเปียน “ลำพังแค่พวกอุปกรณ์ตกแต่งบนโต๊ะหนังสือก็ได้ลดไปประมาณร้อยตำลึงเงินแล้ว”

เผยเฉียนช่วยสุยโย่วเปียนเลิกผ้าม่านไม้ไผ่ สุยโย่วเปียนเดินไปด้านหลังของร้านยาแล้วปลดข้าวของที่ซื้อมาสำหรับใช้ในวันตรุษจีนลงจากบ่า

เผยเฉียนเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะคิดเงิน เขย่งปลายเท้า เอาคางวางบนโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทวงรางวัล

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปทางม่านไม้ไผ่ แอบหยิบเงินเหรียญทองแดงออกมาเจ็ดแปดเหรียญ “นี่คือส่วนแบ่งของเจ้า รีบเก็บไปเร็วเข้า หากนางเห็นเข้า พวกเราสองคนต้องแย่แน่”

เผยเฉียนเก็บทรัพย์สินก้อนเล็กนี้มาอย่างระมัดระวังแล้ววิ่งปรู๊ดไปที่เรือนด้านหลัง รีบเอาไปเก็บไว้ในกล่องเก็บสมบัติของนาง

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไปช่วยนางเก็บของด้วย ต้องทำดีให้เสมอต้นเสมอปลาย แล้วจำไว้ว่าสุดท้ายต้องพูดกับนางหนึ่งคำว่าลำบากนางแล้ว”

“ได้เลย!” เผยเฉียนตอบรับเสียงดัง

มองม่านไม้ไผ่สีเขียวที่ยังแกว่งส่าย เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ

พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว วันสุดท้ายของปี บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (ปีใหม่ของจีนคือวันตรุษจีน จะอยู่ในช่วงเดือนสอง ไม่ใช่วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสองอย่างปีสากล)

ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมฉลองวันปีใหม่พร้อมกับคนมากมายในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าเช่นนี้

เมื่อไม่กี่วันก่อนไปซื้อของสำหรับตรุษจีนมาหลายรอบ สุยโย่วเปียนไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ภายหลังเว่ยเซี่ยนก็คร้านจะไป กลับกลายเป็นสุยโย่วเปียนที่ติดใจขึ้นมา ลากเอาเผยเฉียนบุกตะลุยไปทั่วสี่ทิศ สนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ช่วงแรกเริ่มสุดจูเหลี่ยนมาปรึกษากับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว บอกว่าขอแค่พาสุยโย่วเปียนออกไปข้างนอกด้วยกันได้ก็จะมอบสี่สมบัติให้ห้องหนังสือหนึ่งชุดและเงินยาสุ้ยหนึ่งก้อนให้นาง เผยเฉียนบอกว่านางจะรับไว้พิจารณา หลังจากนั้นนางก็ไปหาเฉินผิงอัน เฉินผิงอันรู้สึกว่าสุยโย่วเปียนควรจะออกไปข้างนอกให้มาก สัมผัสกลับกลิ่นอายของโลกมนุษย์เยอะหน่อยก็เป็นเรื่องดี จึงบอกให้เผยเฉียนรับปากไป ดังนั้นสุยโย่วเปียนที่ทนรำคาญเสียงพึมงึมงำราวเสียงแมลงวันของเผยเฉียนซึ่งรบกวนการฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูของนางไม่ไหว จึงได้แต่ออกไปผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับนางและเว่ยเซี่ยน

ภายหลังสุยโย่วเปียนไปหยิบเอาหีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวใบที่วางอยู่ในมุมห้องของนางกับเผยเฉียนมาด้วยตัวเอง แล้วลากเผยเฉียนออกไปซื้อของด้วยกัน เฉินผิงอันจึงแอบตกลงกับเผยเฉียนอย่างลับๆ ว่า ขอแค่สุยโย่วเปียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้านได้หนึ่งครั้ง เผยเฉียนก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกประตูร้านยา

แสงสว่างในตรอกเล็กพลันมืดสลัวลง บรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งดูเหมือนว่าเส้นแสงนั่นจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้ดูหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด

คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า นางก็คือฟ่านจวิ้นเม่า

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะคิดเงิน ข้ามธรณีประตูออกไป

ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “คิดดีแล้วหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หวังว่าจะส่งท้ายปีนี้ไปได้ด้วยดี”

ฟ่านจวิ้นเม่าหันไปเอ่ยเตือนเทพหยินแซ่จ้าวที่แผ่ควันดำตลบอบอวล ปราณดุร้ายล่องลอยไปทั่ว “อย่าวาดงูเติมหาง แอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวบนทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากก็คือเฉินผิงอัน”

เทพหยินพยักหน้ารับ หากมันอาศัยค่ายกลของร้านยาก็จะมีตบะเท่ากับขอบเขตหยกดิบ ซึ่งสามารถตรวจสอบทะเลเมฆเบื้องบนของนครมังกรเฒ่าได้เล็กน้อยจริงๆ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณของทะเลเมฆทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ ทว่าเทพหยินและค่ายกลต่างก็เป็นปราณที่สกปรกและดุร้าย ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ประหนึ่งทหารที่ประมือกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ง่ายที่จะชักนำให้ทะเลเมฆเกิดความวุ่นวาย ทำให้การหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นของเฉินผิงอันล้มเหลว และจะทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา

ฟ่านจวิ้นเม่ายื่นมือมาคว้าเฉินผิงอันและทะยานลมขึ้นไปยังทะเลเมฆเหนือศีรษะ

เฉินผิงอันพลันเอ่ยถามว่า “ในตำราบันทึกเอาไว้ ก่อนที่เซียนเหรินจะหลอมโอสถ หลังจากเลือกฤกษ์งามยามดีและฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว วันนั้นก็ควรต้องกินเจชำระล้างร่างกายให้สะอาด นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเตาหลอมโอสถขอพรจากสี่ทิศของฟ้าดินไม่ใช่หรือ?”

ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “ข้าอยู่บนทะเลเมฆก็เหมือนเจ้าขุนเขาที่อยู่ในสำนักศึกษา เหมือนเจินเหรินที่เฝ้าพิทักษ์อารามเต๋า เหมือนอรหันต์ที่อยู่ในวัด ข้าก็คืออริยะของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างทะเลเมฆแห่งนี้ จะกราบไหว้ใคร? กราบไหว้ตัวข้าเองหรือ? หากเจ้าเฉินผิงอันคิดจะคุกเข่าโขกหัวคำนับ เดือดร้อนให้ข้าต้องกินกระบี่อีกรอบ ขอบเขตถดถอยอีกครั้ง ข้าก็ไม่มีปัญหา ขอบเขตหายไปก็สามารถฝึกฝนชดเชยกลับคืนมาได้ใหม่ แต่โอกาสที่จะให้เจ้าโขกหัวให้ได้ เกรงว่าคงมีไม่มาก”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ดูท่าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่บนภูเขาชิงจิ้งแห่งนั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นอริยะของพื้นที่แถบหนึ่ง ไม่สามารถดึงเอา ‘ดินอวยพร’ ซึ่งเป็นโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาใช้ได้ตามใจชอบ

ถูกฟ่านจวิ้นเม่ากระชากเข้าไปในทะเลเมฆ เฉินผิงอันที่พอยืนนิ่งแล้วก็กระทืบทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าเบาๆ ไม่ยุบถล่ม ไม่สลายหายไป ไม่ต่างจากถนนดินปกติเลยแม้แต่น้อย เหมือนตอนที่ก่อนหน้านี้จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลไปเยือนศาลเทพวารี สามารถทะยานลมยืนอยู่เหนือคลื่นสีมรกต ให้ความรู้สึกไม่เลว

ฟ่านจวิ้นเม่าสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มีโต๊ะตัวใหญ่สีขาวหิมะซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นไอหมอกบนทะเลเมฆปรากฎขึ้นมา ผิวโต๊ะราบเรียบมันลื่นดุจกระจก เมฆมงคลลอยล่อง ปราณเซียนพลิ้วละล่อง

เฉินผิงอันบังคับกระบี่บินสืออู่วัตถุฟางชุ่น และแผ่นหยกสีขาวสะอาดซึ่งเป็นวัตถุจื่อจื่อให้ออกมาลอยตัวอยู่เหนือผิวโต๊ะ จากนั้นก็เอาวัตถุทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการหลอมธาตุน้ำของห้าธาตุออกมา ความเคลื่อนไหวเชื่องช้า นอกจากเตาตู้ทองห้าสีที่ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวขายให้เฉินผิงอันด้วยราคาห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชแล้ว ยังมีวัตถุดิบวิเศษที่ตอนนั้นฟ่านจวิ้นเม่านำมาให้เฉินผิงอันโดยแลกกับโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดแห่งร่องเจียวหลงด้วย ของละลานตาเหล่านี้รวมกันแล้วได้สี่สิบกว่าชิ้น ลำพังเพียงแค่ชาดก็มีถึงสิบสองชนิด เอาไว้ใช้ปรับน้ำและไฟ ทำให้ห้าธาตุสมดุลภายใต้ช่วงเวลาที่แตกต่างและช่วงความแรงของไฟที่แตกต่างกัน

เฉินผิงอันไม่รีบร้อน แต่ฟ่านจวิ้นเม่าที่มองดูอยู่รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เหตุใดถึงได้อืดอาดชักช้าขนาดนี้

ฟ่านจวิ้นเม่าตบหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นหนึ่งในมือลงบนโต๊ะเมฆ “เจ้าต้องการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้น ในฐานะวัตถุดิบอันเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุด ระดับขั้นของแก่นน้ำก็ต้องตามทันกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการถ่วงเวลาให้ล่าช้า หยกมังกรเฒ่าชิ้นนี้คือแก่นน้ำที่ดีที่สุดที่ข้าสามารถหามาได้ในเวลานี้ มีอายุพอๆ กับนครมังกรเฒ่า ดูดซับเอาแก่นของโชคชะตาน้ำในทะเลเมฆไปไม่น้อย เจ้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินกับข้า นี่ก็เป็นของเดิมพันของข้าฟ่านจวิ้นเม่าเหมือนเหล้ายาดองจากโอสถทองของเจียวหลงที่ผ่านการหลอมระดับเล็ก แต่หากเจ้าจะคุยเรื่องเงินให้ได้ก็ได้เหมือนกัน ถือซะว่าข้าขายหยกชิ้นนี้ให้เจ้าในราคาถูก สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็คุยเรื่องเงินกับข้าตลอดเวลานั่นแหละ”

ฟ่านจวิ้นเม่าทำสีหน้าปั้นยาก พูดเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจนักซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าสามารถรับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่มีราคาสูงชิ้นนี้ไว้ได้อย่างสบายใจจริงๆ หรือ? นี่เป็นวัตถุเก่าแก่ที่วางไว้ในศาลบรรพชนของตระกูลฝูซึ่งได้รับควันธูปมานานเป็นพันปีเชียวนะ มีมูลค่าสูงมาก! แค่สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น และนี่ยังเกี่ยวพันกับระดับสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เจ้าจะหลอมออกมาด้วย เจ้ายังจะไม่เต็มใจจ่ายอีกหรือ?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “นี่เป็นแค่หนึ่งในของชดใช้ที่มีราคาเทียมฟ้าซึ่งได้มาจากตระกูลฝูเท่านั้น เจ้าก็แค่ช่วยเปลี่ยนมือนำมามอบให้ คิดจะหากำไรตั้งสามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเชียวรึ? ดูท่าแล้วช่วงนี้เจ้าคงจะผ่านด่านปีไปได้ยากกระมัง เรื่องที่ขอบเขตของเจ้าถดถอย ข้าคาดเดาเอาว่าคงไม่ได้ถอยจากก่อกำเนิดกลับไปโอสถทองอย่างง่ายๆ เท่านั้น ทำไม เจ้าเองก็เหมือนกับข้าที่กินเรือกลืนกระบี่เข้าไป รากฐานจึงถูกทำลายงั้นรึ? เจ้าฟ่านจวิ้นเม่ากินทะเลเมฆรักษาอาการบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าน่าจะไม่ได้ผลดีนัก แต่เพื่อชดเชยแก่นน้ำของทะเลเมฆส่วนที่ไหลหายไปในช่องโพรงลมปราณของเจ้า กลับต้องสิ้นเปลืองเงินอย่างมาก ใช่ไหม?”

ฟ่านจวิ้นเม่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอันเจ้านี่ไม่โง่เลยจริงๆ”

สุยท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นออกมาวางบนโต๊ะเมฆเบาๆ

ฟ่านจวิ้นเม่ามองตราประทับเล็กๆ ชิ้นนี้ด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง “เจ้าจะหลอมวัตถุชิ้นนี้จริงๆ หรือ? วันหน้าเมื่อเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต หากเจ้าคิดจะเอามันไปประทับมอบโชคแห่งน้ำให้กับลำคลองและแม่น้ำ อาจจะทำลายตบะบนมหามรรคาของตัวเจ้าเอง แน่นอนว่าหากไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ ใช้ตราประทับชิ้นนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุน้ำในห้าธาตุ ย่อมมีประโยชน์มหาศาลสำหรับการเปิดจวนในร่างกาย คนทั่วไปคิดขุดน้ำหนึ่งบ่อ อย่างมากสุดก็ได้แค่อ่างน้ำแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้ากลับมีหวังว่าจะบุกเบิกทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง สภาวะเสี่ยงอันตรายของเจ้าในตอนนี้ที่ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่างกายและจิตใจ พุ่งทะยานไปตามช่องโพรงต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสาน รุกรานลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นก็จะสามารถแก้ไขไปได้อย่างง่ายดาย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยเสียงหนัก “งั้นก็เอาตราประทับตัวอักษรน้ำนี่แหละ!”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นเบาๆ เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เขาจึงขมวดคิ้ว เงยหน้ามองฟ่านจวิ้นเม่า “นี่ก็คือแก่นน้ำ? ส่วนที่ดีเยี่ยมที่สุดซึ่งเกิดจากโชคชะตาแห่งสายน้ำบนโลกมารวมตัวกันเป็นของที่จับต้องได้จริง?”

สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเย็นชา หัวเราะหยันเสียงเย็น “ทำไม กลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นรึ?!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หยิบแผ่นหยกชิ้นที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ออกมาถือไว้ในฝ่ามือ “วัตถุนี้ก็คือแก่นน้ำด้วยเหมือนกัน?”

เมื่อวัตถุนี้ปรากฏออกมา ทะเลเมฆสี่ทิศก็คล้ายจะมีสติปัญญา พากันลิงโลดร่าเริงราวกับกลุ่มเด็กน้อยที่เห็นน้ำตาลปั้นแล้วอยากกิน

สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าใช่ ดูเหมือนว่าจะดีกว่าหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่อยู่ในศาลบรรพชนสกุลฝูชิ้นนี้ด้วย”

สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นร้อนแรง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกก็คือตอนที่นางได้ยินว่าบนตัวเฉินผิงอันมีโอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ก่อนหน้านี้นางจึงคอยไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่ร้านยา

เพียงแต่ว่าคราวนี้ฟ่านจวิ้นเม่าระงับความปรารถนาลงไปได้อย่างรวดเร็ว นางไม่กล้าบังคับซื้อบังคับขายแล้ว เพียงขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย พินิจมองแผ่นหยกที่ถูกเฉินผิงอันปิดตัวอักษรเกินครึ่งอย่างละเอียด แผ่นหยกแวววาวโปร่งใส มีประกายแสงไหลเวียนวน ขอแค่ให้นางได้ดูเป็นบุญตาก็พอ

เฉินผิงอันดูของไม่ออก แต่นางมองออก นี่ต้องเป็นแก่นแห่งโชคชะตาน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของสายน้ำขนาดใหญ่บางสายซึ่งเป็นที่ตั้งวังมังกรบางแห่งแน่นอน เป็นวัตถุในซากปรักหักพังของยุคบรรพกาลที่โชคดีเหลือรอดอยู่บนโลก เมื่อเทียบกับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่บรรพบุรุษตระกูลฝูห้อยไว้มานานหลายปีแล้วก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน สมบัติวิเศษก่อนกำเนิดกับวัตถุหลังกำเนิด เดิมทีก็มีร่องลึกขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่แล้ว และที่ฟ่านจวิ้นเม่าอิจฉาตาร้อนขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าหากหลอมแผ่นหยกชิ้นนี้มาชดเชยความเสียหายของทะเลเมฆ จะช่วยให้นางได้ย้อนกลับคืนสู่ก่อกำเนิดได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย จากนั้นก็จะได้เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนแบบสบายๆ แค่ต้องใช้เวลาไม่เกินสามสิบสี่สิบปีเท่านั้น หลังจากนั้นถึงต้องให้ฟ่านจวิ้นเม่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปตามหาโชควาสนาตามพื้นที่ลับหรือถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งต่างๆ หวนคืนสู่ถิ่นเก่าก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ต้องออกไปท่องตามซากปรักหักพังซึ่งมีปราณสังหารซุ่มอยู่ทั่วทิศแล้วก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

—–