ตอนที่ 1191 ซูหลีผู้ไม่ไว้หน้าผู้อื่น / ตอนที่ 1192 หมุนกายเดินออกไป!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1191 ซูหลีผู้ไม่ไว้หน้าผู้อื่น

 

 

ซูหลีหันศีรษะกลับไป ก็พบกับฉินมู่ปิงที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ร่างทั้งร่างอยู่ในความมืด ทว่าดวงตาที่มีประกายแวววาวคู่นั้นกลับมองนางด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

“ซื่อจื่อ งานเลี้ยงวันนี้เกรงว่าคงต้องเลิกราแล้ว ฝ่าบาททรงมีเรื่องให้ข้าเข้าเฝ้า ทำไมรึ หรือซื่อจื่อจะไปด้วยกัน” ซูหลีมองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

 

“ที่แท้เสด็จลุงตามหาเจ้าอยู่รึ เช่นนั้นใต้เท้าซูก็รีบไปเถอะ!” ดูเหมือนฉินมู่ปิงจะเพิ่งมีท่าทีโต้ตอบ จากนั้นผงกศีรษะด้วยท่าทางคล้ายจะเข้าใจซูหลีมากที่สุด

 

 

ขณะที่ซูหลีกำลังหมุนกายออกไป กลับได้ยินเขาพูดเสริมอีกประโยค

 

 

“ใต้เท้าซูรีบไปรีบกลับหล่ะ วันนี้พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่า หากไม่เมาก็ไม่กลับ เปิ่นซื่อจื่อจะรอเจ้าอยู่ที่นี่! รอเจ้ากลับมา!”

 

 

คำพูดท้ายสุดไม่กี่คำเขากัดฟันพูดออกมาอย่างเบาหวิว กอปรกับสายตาที่จ้องซูหลีตาไม่กระพริบ เมื่อตกอยู่ในสายตาของคนรอบข้างแล้ว กลับให้ความรู้สึกลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก

 

 

หวงเผยซานมองเขา และหันไปมองซูหลี เขาเพียงรู้สึกหัวใจของตนกำลังเย็นวาบ

 

 

“รอข้า? นั่นไม่จำเป็นแล้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว ซื่อจื่อกลับไปเถอะ” ใครจะรู้ว่า เมื่อเผชิญกับคำพูดที่คลุมเครือหมิ่นเหม่ของฉินมู่ปิงเช่นนี้ ซูหลียังจะตอบกลับเขาทันที

 

 

หวงเผยซานที่รับฟังอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่ซูหลียังมีสติสัมปชัญญะดี

 

 

แน่นอนซูหลีนั้นมีสติดี ถึงแม้นางจะทะเลาะกับฉินเย่หานหรือจะเป็นอย่างไร แต่ถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่ยอมให้ฉินมู่ปิงเอ่ยคำพูดที่คลุมเครือไม่ชัดเจนที่นี่

 

 

สำหรับบุรุษที่เอาแต่คิดหลอกใช้หลอกใช้นาง ซูหลีนั้นไม่มีความสนใจ!

 

 

“หวงกงกง ยังมัวตะลึงอะไรอยู่ นำทางไปสิ!” ซูหลีหันศีรษะกลับมาและพูดเร่งหวงเผยซานด้วยท่าทีที่ไม่ดีนัก

 

 

“ขอรับ! เชิญใต้เท้าซู…” หวงเผยซานรีบดึงสติกลับมาและเดินนำซูหลีออกไปจากตำหนัก

 

 

ฉินมู่ปิงที่ยืนมองเงาแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ด้านหลังพลันหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที

 

 

ฉินเย่หานดีขนาดนั้นเลยหรือ? เขาไม่สนใจความต้องการของซูหลี ต้องการวางแผนให้เย่ว์ลั่วแต่งให้กับจี้เหิงหรานผู้นั้น ซูหลีจะยินยอมติดตามเขาอย่างเต็มใจหรือ!?

 

 

เหอะ!

 

 

 

 

เมื่อซูหลีกับหวงเผยซานเดินออกมา ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว แม้จะพูดว่าอากาศที่นี่ดีกว่าที่เมืองหลวงมาก ทว่าอย่างไรก็เป็นฤดูหนาว สายลมหนาวพัดผ่านก็ทำให้รู้สึกถึงความหนาวทิ่มแทงไปถึงกระดูก

 

 

ซูหลีที่เดิมยังมีอารมณ์เคลิ้มจากฤทธิ์สุรา ทันทีที่ถูกสายลมหนาวพัดผ่านเช่นนี้ อาการจากฤทธิ์สุราเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายไป

 

 

นางกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่สวมที่ท่อนบน เดินตามหวงเผยซานไปติดๆ และไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีก

 

 

เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่สวมที่ท่อนบนของนางนี้เป็นเสื้อคลุมหนังหมีเตียวสีดำขนาดใหญ่ บนเสื้อคลุมประดับด้วยทองและอัญมณีสีสันสวยงาม ดูงดงามและล้ำค่าเป็นอย่างมาก

 

 

ทว่าเป็นรูปแบบเสื้อคลุมที่หวงเผยซานไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

ลักษณะเสื้อคลุมตัวนี้ ไยถึงคล้ายกับเครื่องบรรณาการที่มีคนถวายให้แด่ฝ่าบาทเมื่อไม่กี่วันก่อน?

 

 

เขายังจำได้ว่า เครื่องบรรณาการครั้งนี้มีเพียงเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ไม่กี่ตัวเท่านั้น อีกทั้งครั้งนี้ล้วนเป็นของคุณภาพดี ทางฝ่าบาททรงเก็บเสื้อคลุมนี้เอาไว้สองตัว ตัวเล็กกับตัวใหญ่อย่างละตัว คนที่มีสติปัญญาแค่มองก็รู้ว่าฝ่าบาททรงเก็บไว้ให้ใคร

 

 

ส่วนที่เหลือฝ่าบาททรงมอบให้กับไทเฮาหนึ่งตัว และฉินมู่ปิงหยิบไปตัวหนึ่ง…

 

 

หากหวงเผยซานจำไม่ผิด เสื้อคลุมที่ฉินมู่ปิงหยิบไปนั้น ดูเหมือนจะเป็นเสื้อคลุมหนังหมีเตียว อีกทั้งยังเป็นสีดำ!

 

 

เขามองเพียงแวบเดียวก็รีบดึงสายตาของตนกลับมา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้ารับใช้อย่างพวกเขาจะคาดเดากันสะเปะสะปะได้!

 

 

เพียงแต่ซูหลีกำลังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทว่ากลับไม่สวมเสื้อที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ กลับสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวนี้ ช่างให้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ชัดเจนโดยแท้

 

 

ใต้เท้าซูท่านนี้เป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวฝ่าบาทสักนิดจริงๆ !

 

 

“กงกง ท่านกลับมาแล้ว!?” ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ พลันได้ยินเสียงนี้ดังขึ้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1192 หมุนกายเดินออกไป!

 

 

หวงเผยซานชะงักไปพักหนึ่ง ทันทีที่เหลือบตาขึ้นมองก็พบกลับกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลเดินออกมาจากหอเก็บตำรา

 

 

สตรีที่เดินนำมานั้นสวมเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกสีม่วงตัวใหญ่ ใบหน้างามชดช้อยเป็นอย่างมาก ยามที่ดวงตางามคู่นั้นจ้องมองผู้ใด คล้ายกับมีความรักและห่วงใยสามส่วนมิปาน

 

 

เขาอดตะลึงค้างไม่ได้ ไยแม่นางท่านนี้ถึงปรากฏตัวที่นี่

 

 

“เอ๋ ท่านพี่ซูก็อยู่ที่นี่หรือ” อู๋โยวหรานเหมือนกับเพิ่งสังเกตเห็นซูหลีมิปาน นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าจึงค่อยๆ ปรากฏความดีใจระคนแปลกใจ

 

 

ซูหลีหรี่ตาลงเล็กและมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นจึงผงกหัว

 

 

อาภรณ์บนร่างอู๋โยวหราน ดูเหมือนจะเป็นเครื่องบรรณาการในครั้งนี้เช่นกัน

 

 

เครื่องบรรณาการในครั้งนี้ล้วนเป็นเสื้อขนสัตว์ที่มีเส้นขนเรียวยาวตัวใหญ่ ซูหลีได้ยินฉินมู่ปิงกล่าวว่า หนึ่งในนั้นมีเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกสีม่วงตัวหนึ่ง เพราะขนสุนัขจิ้งจอกสีม่วงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก จึงทำให้เสื้อตัวนี้มีราคาสูงที่สุดในบรรดาเครื่องบรรณาการที่ได้มาในครั้งนี้

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะพบเสื้อคลุมตัวนี้บนร่างอู๋โยวหราน

 

 

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะมองนางหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเมื่อหางตาของนางที่มาพร้อมกับความสดใสดุจวสันตฤดู ใบหน้าแดงระเรื่อยังมีความเขินอายแฝงอยู่

 

 

ทันทีที่เห็นท่าทางเช่นนี้ คนอื่นก็สามารถรับรู้ได้ว่านางเพิ่งจะเจอใครมา!

 

 

สีหน้าของซูหลีมีความเย็นเยียบเล็กน้อย นี่เป็นครั้งที่สองที่นางพบกับอู๋โยวหราน นางกลับปริปากเอ่ยถามขึ้นว่า

 

 

“ดึกดื่นป่านนี้ นี่แม่นางอู๋กำลังไปที่ใดกัน”

 

 

“ท่านพี่ซูคงจะไม่ทราบ เหนียงเหนียงทรงได้ยินว่าหมู่นี้ฝ่าบาทประทับอยู่ที่หอเก็บตำรา เหนียงเหนียงทรงเป็นห่วงพระวรกายของฝ่าบาท จึงทรงรับสั่งให้โยวหรานทำน้ำแกงโสมมามอบให้แด่เสด็จพี่!”

 

 

ขณะที่อู๋โยวหรานเอ่ย ใบหน้าพลันมีความแดงระเรื่อและเอ่ยด้วยท่าทีที่ออดอ้อน

 

 

“เสด็จพี่ทรงตรัสว่าอากาศหนาว ถนนค่อนข้างลื่น ทรงรับสั่งให้คนไปส่งโยวหรานกลับตำหนัก!”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ด้านข้างของอู๋โยวหราน อีกทั้งเป็นคนที่คอยปรนนิบัติฉินเย่หานจริงๆ

 

 

สีหน้าของนางเย็นวูบทันที จากนั้นก็แปรเปลี่ยนอย่างไม่น่ามองนัก

 

 

หวงเผยซานที่มองดูอยู่ด้านข้าง ในใจผุดคำว่าแย่แล้วขึ้นมา!

 

 

จะว่าไปหลายวันมานี้อู๋โยวหรานผู้นี้มาที่นี่ทุกวัน หากไม่มาส่งน้ำแกง ก็จะมีเรื่องที่ต้องการให้ฝ่าบาทช่วยสอน ก่อนหน้านี้นางไม่สามารถเข้าไปภายในหอเก็บตำราได้ เพียงแต่ฝ่าบาทเห็นแก่พระพักตร์ของไทเฮา

 

 

จึงทรงให้คนรับของที่นางมอบให้เอาไว้ก็เท่านั้น

 

 

วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงสามารถเข้าไปภายในหอเก็บตำราได้!

 

 

ในเวลานี้ช่าง…

 

 

“ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านพี่ซูจะไปที่ใดกัน” อู๋โยวหรานชำเลืองเห็นซูหลีไม่พูดอะไรออกมาจึงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

“ไม่มีอะไร ก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้น” รอยยิ้มบนใบหน้าซูหลีมีความจืดชืดอยู่บ้าง

 

 

สายตาของนางหยุดอยู่ที่เสื้อคลุมหนังหมีเตียวตัวใหญ่ที่ตนสวมอยู่ รู้สึกหมดความน่าสนใจไปบ้าง

 

 

เสื้อคลุมตัวนี้ฉินมู่ปิงส่งให้นางจริงๆ ทว่าไม่ใช่เขามอบให้แก่ซูหลี ทว่าซูหลีให้เงินซื้อต่อจากเขา

 

 

เพราะการกระทำของซูหลีเช่นนี้ ทำให้ฉินมู่ปิงรู้สึกไม่เบิกบานใจนัก ทว่าซูหลีไม่สนใจและยังคงให้คนนำเงินไปให้เขาเช่นเดิม!

 

 

คิดไม่ถึงว่าในเวลาอันสั้นเพียงสิบวันที่ผ่านมา ฉินเย่หานจะใกล้ชิดกับอู๋โยวหรานขนาดนี้แล้ว!?

 

 

“เอ๋ ยามดึกอากาศหนาวและถนนลื่นมาก ท่านพี่ซูจักต้องระมัดระวังให้ดี เมื่อครู่ยามเสด็จพี่เสวยน้ำแกงโสมก็ทรงตรัสกับโยวหรานแล้ว ในฤดูหนาวจักต้องอย่าออกไปภายนอกบ่อยๆ หากได้รับผลกระทบจากการสัมผัสลมหนาวคงจะไม่ดีเป็นแน่!”

 

 

หลังจากอู๋โยวหรานได้ยินคำพูดของซูหลี ไม่รู้ว่านางจริงใจหรือเสแสร้งกันแน่ ถึงได้เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา

 

 

หวงเผยซานที่รับฟังอยู่ด้านข้าง สีหน้าในชั่วขณะนี้ดำคล้ำเขียวไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรดี

 

 

เขากลับเห็นดวงตาของซูหลีเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ และเอ่ยว่า “เช่นนั้นแม่นางอู๋ก็ระวังตัวด้วย ท้องฟ้ามืดมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน!”

 

 

พูดจบ นางก็หมุนกายเดินออกไป โดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย!