ตอนที่ 498 คำโกหกห่วยๆ / ตอนที่ 499 วันเกิด

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 498 คำโกหกห่วยๆ

 

 

           “มือถือมาส่งแล้ว?” จู่ๆ เสียงต่ำของมั่วไป๋ก็เอ่ยขึ้น

 

 

           เหยียนอวี้ที่เตรียมจะแอบย่องออกไปสะดุ้งตกใจ เขากุมหัวใจพร้อมสีหน้าตื่นตกใจ “นายทำฉันตกใจเกือบตาย นายนอนหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ยันกายขึ้นมานั่งนิ่งๆ ดวงตาคู่นี้จ้องมองมาที่เหยียนอวี้ “ฉันก็แค่พูดไปงั้นๆ เอง นี่ทำให้นายตกใจแล้ว?…

 

 

           …นายทำเรื่องอะไรน่าละอายใจลับหลังฉันใช่หรือเปล่า”

 

 

           อีกนิดเหยียนอวี้จะกระอักเลือดออกมาแล้ว นี่มันหลักการอะไร เขาเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ต้องวิ่งไปหยิบมือถือให้คนไข้ ตอนนี้ยังมาถามเขาอีกว่าไปทำเรื่องน่าละอายใจมาหรือเปล่า

 

 

           คาดว่าบนโลกใบนี้ คงจะไม่มีใครจะเป็นหมอได้น่าเวทนาเท่าหมออย่างเขาอีกแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้มองบนใส่ ตัดสินใจไม่ถามตอบปัญหานี้กับคนไข้แล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องไป๋จิ่งขึ้นมาได้ เสียงต่ำเอ่ยถาม “เมื่อกี้นี้มีคนมาหานายไหม”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มี”

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้สิ เมื่อกี้คนคนนั้นดูรีบร้อนจนทนไม่ไหว ควรจะเข้ามาตั้งนานแล้วถึงจะถูก

 

 

           ‘ทำไมจนถึงตอนนี้ยังมาไม่ถึง’

 

 

           “อะไรกัน นายเจอใครมาเหรอ” มั่วไป๋เห็นสีหน้าเขาดูแปลกๆ ก็อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

 

 

           เหยียนอวี้คิด คนคนนั้นยังไม่มา ก็อย่าเพิ่งบอกมั่วไป๋แล้วกัน จะได้ไม่ให้เขาต้องตั้งหน้าตั้งตารอเก้อ ถ้าสุดท้ายคนคนนั้นไม่ปรากฏตัว ถึงเวลานั้นจะทำให้มั่วไป๋จิตใจหดหู่ได้

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้จึงส่ายหัว “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะให้คนเข้ามาวัดอุณหภูมิร่างกายให้นาย”

 

 

           เขาหาข้ออ้างสุ่มๆ ไปแบบที่ไม่มีชั้นเชิงอะไรเลยสักนิด

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “วัดอุณหภูมิร่างกายไปทำอะไร”

 

 

           ความไม่สบอารมณ์ฉายสะท้อนขึ้นมาในใบหน้าของเหยียนอวี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันเป็นหมอ นายเป็นหมอหรือไง ฉันจะทำบันทึกการวัดอุณหภูมิร่างกายของนาย ไม่ได้เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “รู้แล้ว นายเป็นคุณหมอ”

 

 

           “เอาล่ะ ฉันต้องไปก่อนแล้ว นายพักผ่อนก่อนเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “อืม นายไปเถอะ”

 

 

           

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ออกไป มั่วไป๋ก็ลงมาจากเตียง นอนอยู่บนเตียงน่าเบื่อไม่เบาจริงๆ เขายืนหน้าหน้าต่าง มองไปยังข้างนอก

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งรอเหยียนอวี้ออกไปแล้ว ก็กลับมาที่ประตูอีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าประตู สายตาจดจ้องมั่วไป๋ที่ยืนอยู่ข้างเตียง

 

 

           เขามองตามเงาร่างของมั่วไป๋ที่โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว เขาก็กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ชุดผู้ป่วยตัวใหญ่โคร่งสวมอยู่บนตัวมั่วไป๋ ยิ่งทำให้เขาดูผอมโซ

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋สักพัก เพียงไม่นานมั่วไป๋ขยับเคลื่อนตัวหันหลังกลับมากะทันหัน

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นตกใจ รีบหลบเข้าข้างทาง ไม่ถึงหนึ่งนาที มั่วไป๋ก็เปิดประตูเดินออกมา

 

 

           เขาออกพ้นประตูมาเดินไปตามโถงทางเดิน ไป๋จิ่งหลบอยู่ข้างหลังมองเขา หลังจากเห็นเขาเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง ถึงค่อยเดินตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่สักพัก รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงคิดจะลงไปกินข้าว

 

 

           เดินไปช้าๆ จนถึงชั้นหนึ่ง มั่วไป๋หาร้านอาหาร เข้าไปสั่งสปาเกตตีมาจานหนึ่ง

 

 

           เขาไม่หิว ไม่ได้มีความอยากอาหารอะไร

 

 

           เพียงแค่อยากจะหาอะไรทำฆ่าเวลาก็เท่านั้นเอง

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็คนที่ยังมีชีวิต อยู่โรงพยาบาลทั้งวัน นอกจากเหยียนอวี้แล้ว แม้แต่คนพูดด้วยสักคนยังไม่มีเลย

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่ตรงมุม กินสปาเกตตีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดูเงียบเหงาวังเวงไม่เบา

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาเป็นแบบนั้น หัวใจก็เจ็บแปลบทันที

 

 

           เขาอยากจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วพุ่งไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ ต่อให้เขาจะเกลียดตัวเองอีกครั้ง ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขา

 

 

           ต่อให้มั่วไป๋ไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ เขาก็อยากจะนั่งอยู่ข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลังจากตามมั่วไป๋อยู่ข้างหลังจากที่ไกลๆ ได้เห็นเขากินข้าวจนเสร็จ ได้เห็นเขาเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆ ใต้ตึก

 

 

           จนกระทั่งหลังจากที่มั่วไป๋เหนื่อยแล้ว ถึงเพิ่งจะกลับห้องผู้ป่วยไป

 

 

           หลังจากที่มั่วไป๋กลับไป เวลายังไม่ถึงสองทุ่ม ข้างนอกก็เต็มไปด้วยประกายดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด 

 

 

             

 

 

ตอนที่ 499 วันเกิด

 

 

           ตอนค่ำเวลาห้าทุ่ม ดวงไฟในห้องของมั่วไป๋ถึงได้ดับลง

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ไปไหน นั่งเก้าอี้อยู่ข้างนอกอย่างนี้ ใช้วิธีของตัวเองอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           พอนึกถึงตอนนั้นมั่วไป๋ก็เป็นอย่างนี้ อยู่โรงพยาบาลคนเดียวมาครึ่งปี หัวใจก็เจ็บจนใกล้จะฉีกออกจากกัน

 

 

           เวลานั้นเขาก็กินข้าวคนเดียว ดูแลตัวเองคนเดียว แม้แต่คนคุยด้วยสักคนก็ไม่มี

 

 

           ทุกครั้งที่ไป๋จิ่งคิดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดความรู้สึกที่เสียใจทีหลังไว้ไม่อยู่

 

 

           ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าผลจะเป็นแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่เก็บซ่อนหัวใจของตัวเองไว้

 

 

           เขาใจเต้นกับหลินฝานตั้งแต่แรกชัดๆ แต่เขากลับเก็บกดความรู้สึกในใจของตัวเองมาตลอด ตีให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ

 

 

           ดังนั้นถึงได้ตกต่ำถึงจุดจบสุดท้ายแบบนี้ได้

 

 

           ไป่จิ่งหลับตาลงอย่างจนใจ วันนั้นมั่วไป๋ยืนอยู่ต่อหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

 

 

           เขายังจำได้ วันนั้นเป็นวันเกิดของเขา มั่วไป๋บอกเขาให้กลับมาเร็วหน่อย

 

 

           หัวใจทั้งดวงของเขาอยู่ที่มั่วไป๋ทั้งหมด ได้ยินมั่วไป๋พูดคำนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานแล้ว

 

 

            กว่าจะอดทนอดกลั้นถึงห้าโมงเย็นได้ไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งรีบร้อนออกจากบริษัทกลับไปยังคอนโดมิเนียม

 

 

           ระหว่างทางเขาตั้งใจอ้อมไปร้านดอกไม้ เลือกดอกไม้ช่อหนึ่งให้มั่วไป๋เป็นพิเศษ

 

 

           ถึงแม้ว่าผู้ชายสองคนมอบดอกไม้กันจะดูแปลกไปบ้าง แต่ไป๋จิ่งไม่สนใจ ถึงอย่างไรในใจของเขาก็ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่ามั่วไป๋

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มุมปากของไป๋จิ่งก็อดจะเชิดขึ้นไม่ได้ เขาหอบดอกไม้ด้วยความชอบทั้งใจ

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดประตู ได้กลิ่นหอมอบอวลอยู่ข้างใน นัยน์ตาก็เปล่งประกายความดีอกดีใจ

 

 

           คบกับมั่วไป๋มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มั่วไป๋ทำอาหารให้เขา

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ในห้องครัว กำลังมองดูหม้ออย่างจริงจัง ไป๋จิ่งเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็เอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋ไว้

 

 

           มั่วไป๋สะดุ้งตกใจ เขารีบหันกลับไป พอเห็นใบหน้าไป๋จิ่ง ก็อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมืออีกข้างส่งดอกไม้ให้ “ผมให้คุณนะ”

 

 

           ขณะที่เขาพูด ยังรู้สึกเขินอายนิดหน่อย

 

 

           ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาให้ดอกไม้ ตอนซื้อไม่รู้สึก ตอนส่งออกไปรู้สึกเขินอายอย่างไรชอบกล

 

 

           มั่วไป๋นัยน์ตาฉายสะท้อนความสับสนเส้นบางๆ ขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังส่งมือออกไปรับมา

 

 

           “ขอบคุณ”

 

 

           เสียงต่ำเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค

 

 

           ไป๋จิ่งมือว่างทั้งสองข้างแล้ว ก็เอามือคู่นี้มาโอบกอดเอวของมั่วไป๋ไว้อย่างหน้าไม่อายราวกับแฝดสยาม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยสักที

 

 

           มั่วไป๋หอบช่อดอกไม้ แล้วยังโดนเขากอดไว้แบบนี้ จึงหมดหนทางจะทำอาหารได้ไปโดยปริยาย

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “นายปล่อยมือออกก่อน ฉันจะเอาดอกไม้ไปวางข้างหน้า”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ยินดีจะปล่อยมือ ส่ายหัวอย่างดื้อรั้น

 

 

           “นายทำแบบนี้ ฉันทำอาหารไม่ได้นะ”

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิด ‘งั้นคุณก็จูบผมสิ จูบผม ผมก็ปล่อยมือ’

 

 

           แค่วันเกิดเท่านั้นเอง เพียงชั่วขณะเหมือนไป๋จิ่งกลับไปเป็นเด็กไม่มีผิด เริ่มเปลี่ยนไปไม่ฟังเหตุผลกันแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ มีท่าทีว่าถ้าไม่จูบ เขาก็จะไม่ปล่อยมือจริงๆ

 

 

           สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จำใจต้องเอียงหน้าหันกลับไปจูบไป๋จิ่ง

 

 

           เขาจูบเสร็จก็จะผละออก แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวหนี ก็ถูกไป๋จิ่งกดเอาไว้ แล้วประกบจูบแบบฝรั่งเศสอย่างเร่าร้อน

 

 

           กว่าจูบครั้งนี้จะจบ ในที่สุดไป๋จิ่งปล่อยมือด้วยความรู้สึกที่ยังโหยหารสจูบนี้

 

 

           ใบหน้ามั่วไป๋แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะขาดอากาศหายใจ หรือว่าเพราะอย่างอื่น

 

 

           เขาเดินอ้อมไป๋จิ่งไปยังห้องรับแขก วางดอกไม้ลงบนโต๊ะในห้องรับแขก เขามองดูดอกกุหลาบสีแดงนั้น ความคิดตีกันไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยื่นมือไปลูบกลีบกุหลาบสีแดงนั้นอยู่พักหนึ่ง

 

 

           นิ้วมือของเขาสั่นเทาโดยไม่ตั้งใจ รีบผละมือออกทันที

 

 

           ปรับอารมณ์ความรู้สึกอย่างรวดเร็วเรียบร้อย มั่วไป๋ถึงได้เข้าห้องครัวไปอีกครั้ง