ตอนที่ 500 ฉันคือหลินฝาน / ตอนที่ 501 เสียโฉมแล้ว

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 500 ฉันคือหลินฝาน

 

 

           เขาย่างสเต๊กเนื้อสองชิ้น ทั้งทำเครื่องเคียง และยังทำซุปข้นอีกด้วย

 

 

           รอจนทำทุกอย่างนี้เสร็จ มั่วไป๋ถึงได้ยกของออกมาวางบนโต๊ะ

 

 

           ไป๋จิ่งเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จออกมา บนตัวมีละอองน้ำจางๆ และยังอบอวลไปด้วยกลิ่นสบู่

 

 

           กลิ่นนั้นถ้าดมโดยละเอียดก็จะเหมือนกลิ่นกายของมั่วไป๋ไม่มีผิด

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ หัวใจก็ปลื้มปิติยินดี รีบเดินก้าวใหญ่ๆ เข้าไปสวมกอดเขาไว้

 

 

           กลิ่นที่มาแตะจมูกล้วนเป็นหอมจางๆ บนตัวตัวไป๋จิ่งทั้งสิ้น น่าดมมากอย่างยิ่ง

 

 

           มั่วไป๋คุ้นเคยกับกลิ่นแบบนี้มาก เพราะไม่ว่าจะเป็นหลายปีก่อนหรือตอนนี้ เขาก็จดจำได้เหมือนใหม่เสมอ

 

 

           ตอนนั้นที่ไป๋จิ่งใช้ก็คือกลิ่นนี้

 

 

           คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ไม่เคยจะเปลี่ยน

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ร่างกายมั่วไป๋ก็แข็งทื่อเล็กน้อย

 

 

           เขาดึงไป๋จิ่งออกอย่างเงียบๆ ไป๋จิ่งไม่อยากจะปล่อยมือ แต่มั่วไป๋กลับเอ่ยว่า “รีบกิน เดี๋ยวจะเย็นหมด”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ เวลานี้ถึงได้ปล่อยอย่างไม่สมัครใจ นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่ไป๋จิ่งดึงตัวออกมา มั่วไป๋รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่างกาย เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งอุณหภูมิอุ่นร้อนแต่เดิมทั้งหมดนั้นได้ออกไปพร้อมกับไป๋จิ่ง

 

 

           เขาบีบมือแล้วสงบท่าทีมานั่งตรงข้ามกับไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ถือมีดกับส้อมไว้ เสียงต่ำพลางเอ่ยถามขึ้น “ดูสิว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่ได้ทำมานานมากแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบหยิบมีดกับส้อมมาหั่นเนื้อชิ้นเล็ก

 

 

           “อร่อยมาก”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เขาบีบมีดกับส้อมไว้ตลอด แต่กลับไม่ได้กินสักคำ

 

 

           เขาเงียบงันอยู่หลายนาที จู่ๆ เสียงต่ำก็เอ่ยขึ้น “ไป๋จิ่ง พวกเราเลิกกันเถอะ”

 

 

           ส้อมที่ไป๋จิ่งถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงไปในเสี้ยวนาที กระแทกใส่จานพอดี เกิดเสียงแสบแก้วหูขึ้น

 

 

           “คุณพูดว่าอะไรนะ”

 

 

           หลังจากพูดออกมา กลับไม่ได้ตื่นตระหนกขนาดนั้นแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ผ่อนลมหายใจออก เขายิ้มหัวเราะมองไป๋จิ่ง “ฉันพูดว่าพวกเราเลิกกัน”

 

 

           ครั้งนี้สงบเยือกเย็นขึ้นมาก

 

 

           ใบหน้าไป๋จิ่งฉายสะท้อนความสับสนกระวนกรัวาย เขามองมั่วไป๋อย่างร้อนใจ “ทำ…ทำไมดีกันอยู่ จะอยากเลิกกัน?”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะเบาๆ “นายยังรู้จักหลินฝานอยู่ไหม”

 

 

           ได้ยินชื่อนี้ ไป๋จิ่งก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           “เมื่อก่อนเขาชอบนายมาก แต่น่าเสียดายนายไม่ชอบเขา”

 

 

           นัยน์ตามั่วไป๋ประกายความเสียใจ

 

 

           ตอนนั้นยามที่เขารักไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งไม่รักเขา ตอนนี้ไป๋จิ่งรักเขาเข้าแล้ว เขากลับไม่อยากจะรักไป๋จิ่งอีกแล้ว

 

 

           ได้ยินประโยคนี้ ความตะลึงงันฉายสะท้อนในแววตาไป๋จิ่ง

 

 

           ‘มั่วไป๋รู้จักหลินฝานได้ยังไง เขารู้เรื่องหลินฝานได้ยังไง’

 

 

            ในสมองของไป๋จิ่งตีกันวุ่นวายไปหมด เขาไม่มีทางยอมรับได้เลย ‘หลินฝาน’ ชื่อนี้เป็นคำต้องห้ามของเขา

 

 

           “นายอยากรู้มากใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงรู้เรื่องหลินฝานได้”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะเข้าใจความสงสัยของไป๋จิ่ง “ตอนนั้นไม่ว่าจะดีจะเลว ฉันก็อยู่กับนายมาตั้งนานขนาดนั้นแล้ว หรือว่านายมองฉันไม่ออกเลยสักนิดจริงๆ เชียวเหรอ”

 

 

           ประโยคนี้ระเบิดแตกตัวในหัวของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           ‘มั่วไป๋ มั่วไป๋จะบอกว่า เขาก็คือหลินฝานเหรอ’

 

 

           “คุณ…คุณคือ…คุณคือหลินฝาน” ไป๋จิ่งไม่กล้าจะเชื่อได้

 

 

           ‘มั่วไป๋จะเป็นหลินฝานได้ยังไง พวกเขาหน้าตาไม่เหมือนกันเลยนะ จะเป็นหลินฝานไปได้ยังไง’

 

 

           จู่ๆ ก็มีภาพมากมายฉายสะท้อนขึ้นมาในสมอง ใบหน้าตื่นตกใจของไป๋จิ่งตะลึงงันไปเล็กน้อย

 

 

           ‘เขาเคย…ก็มีหลายครั้งที่รู้สึกมั่วไป๋ดูคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะแววตาแล้วก็เสี้ยวของสีหน้ามีความคล้ายคลึงกัน…

 

 

           …ที่จริงไม่ใช่คล้ายคลึงกันมาตั้งแต่แรก เดิมทีพวกเขาสองคนก็คือคนคนเดียวกัน…’

 

 

           “คุณ…หลินฝาน…”

 

 

           การควบคุมอารมณ์ตนเองที่ไป๋จิ่งภูมิใจมาโดยตลอด ณ นาทีนี้ได้พังทำลายลงอย่างไม่มีเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวในทันใด

 

 

           มั่วไป๋มองเขา ราวกับให้เวลาไป๋จิ่งสงบสติสงบอารมณ์

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เวลาอยู่สามนาที ถึงเพิ่งจะยอมรับความจริงเรื่องที่มั่วไป๋คือหลินฝานได้

 

 

           

 

 

      ตอนที่ 501 เสียโฉมแล้ว

 

 

           เขาก็รู้ว่าท่าทีตอบสนองเมื่อครู่นี้ออกจะดูเกินไป เขารีบกดเก็บความตื่นตระหนกในใจ พอจะสงบสติอารมณ์ได้นิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยถาม “หน้าของคุณ…”

 

 

           ได้ยินคำถามนี้ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะ “เสียโฉมแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินสามคำนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวหัวใจก็จมดิ่งลงก้นเหว แต่มั่วไป๋กลับยิ้มหัวเราะอย่างไม่สนใจ “ดังนั้นก็เลยได้เปลี่ยนใบหน้าใหม่ แต่ว่าก็ยังโชคดีมาก ใบหน้านี้ดูดีกว่าของฉันเมื่อก่อนซะอีก”

 

 

           เขาพูดได้อย่างสบายๆ มาก ราวกับว่าเรื่องการเปลี่ยนใบหน้านั้นง่ายเหมือนกินข้าว

 

 

           แต่มีเพียงแค่มั่วไป๋ที่รู้ ตอนนั้นเขาผ่านการผ่าตัดทั้งเล็กทั้งใหญ่มามากน้อยเท่าไหร่ ครึ่งปีเต็มๆ เขาไม่เคยได้ห่างจากโรงพยาบาลเลยสักครั้ง

 

 

           หลังจากรอจนในที่สุดเขาก็ซ่อมแซมฟื้นคืนใบหน้านี้ได้เรียบร้อย เขาจ้องมองตัวเองในกระจกอย่างโง่ๆ เหมือนคนแปลกหน้า ใช้เวลาอยู่นานถึงทำให้ตัวเองยอมรับในใบหน้านี้ได้

 

 

           ผ่านความเศร้าเสียใจพวกนั้นในตอนแรกเริ่มมาได้นานขนาดนี้ จะเอ่ยถึงอีกครั้ง ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานขนาดนั้นแล้ว

 

 

           อาจจะเพราะเวลาผ่านไปนานมาก ความทุกข์ทรมานโชกเลือดพวกนั้นจึงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่นหนักด้วยความรุนแรง เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไม…ถึงเสียโฉมได้…”

 

 

           เสียงเขาเก็บกดอารมณ์แฝงความเจ็บปวดที่หนักอึ้ง

 

 

           ตอนนั้นจู่ๆ หลินฝานก็จากเขาไป ไม่พูดแม้สักประโยค เขาคิดมาตลอดว่าหลินฝานไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว

 

 

           ‘แต่เพราะอะไร เขากลับมาแล้ว กลับเสียโฉมแล้ว…’

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยความตื่นตระหนก “ตอนนั้นตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

           มั่วไป๋ยืนขึ้น ถือโอกาสดึงกุหลาบจากช่อดอกไม้ติดมือมาหนึ่งดอก

 

 

           แดงจนดึงดูดสายตา แดงจนทิ่มแทงสายตา

 

 

           มั่วไป๋มองดูกุหลาบแดง เอื้อมมือไปลูบเบาๆ แต่มุมปากกลับเจือความเสียดสี

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายจะไม่อยากรู้ความจริงหรอก”

 

 

           “ผมอยากรู้ความจริง!”

 

 

           มั่วไป๋เบนสายตามาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของไป๋จิ่ง เห็นความเจ็บปวดทรมานและความดื้อรั้นที่เขาไม่ปกปิดเลยสักนิด

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ได้ ในเมื่อนายอยากรู้ขนาดนี้ ฉันก็จะบอกนายก็ได้”

 

 

           ‘เพียงแต่หวังว่านายอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน’

 

 

           ประโยคครึ่งหลัง มั่วไป๋เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมา

 

 

           “นายยังจำเซียวเย่ว์ได้หรือเปล่า” เสียงต่ำเอ่ยขึ้นมากะทันหัน “ผู้หญิงคนที่นายเรียกว่าแฟนคนนั้น”

 

 

           พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะครู่หนึ่ง

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายรู้ไหมว่าทำไมฉันอยากเลือกมาสารภาพกับนายวันนี้”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลง ปลายนิ้วลูบกุหลาบแดงเบาๆ ไม่ให้โอกาสไป๋จิ่งได้พูด

 

 

           “เพราะว่า วันนั้นวันที่หลินฝานตายก็คือวันเกิดของนาย!…

 

 

           …นายยังจำได้ไหม วันนั้นหลินฝานโทรหานาย ถามนายว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงเล็กน้อย เหมือนกำลังทวนความทรงจำกลับไป

 

 

           “นายบอกว่านายทำโอทีอยู่บริษัท จะกลับมาช้ามาก…

 

 

           …ตอนนั้นทั้งใจหลินฝานมีแต่นายทั้งนั้น เพราะแบบนี้ถึงได้อยากจะไปหานายที่บริษัท แต่เพิ่งจะออกมาจากคอนโด ก็โดนคนตีจนสลบไป…

 

 

           …คนที่ตีเขาจนสลบก็คือเซียวเย่ว์แฟนสาวของนาย…

 

 

           …เธอลักพาตัวหลินฝานไปทิ้งไว้ที่โรงแรม แล้วทันทีหลังจากนั้นนายกับเซียวเย่ห์ก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องข้างๆ เขา…

 

 

           …ไป๋จิ่ง นายคงจะไม่รู้ว่าตอนที่นายกับเธอกินข้าวกัน หลินฝานก็อยู่ห้องข้างๆ เห็นนายคนนั้นที่บอกว่าทำโอทีอยู่บริษัทกับตาตัวเอง”

 

 

           ไป๋จิ่งถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าถอดสีถึงที่สุด

 

 

           “เพิ่งจะเริ่มเอง นี่กลัวแล้วเหรอ” จู่ๆ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะออกมา ใบหน้าขาวนวลผ่องของเขาแฝงความแปลกประหลาดพิกล

 

 

           “ฉันยังจำเสียงพูดติดตลกที่นายพูดกับเซียวเย่ว์ได้”

 

 

           ตีคู่กันกับ…เสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวดทรมานของเขาอย่างเด่นชัด

 

 

           มั่วไป๋ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าของตัวเอง ภายใต้ผิวหน้าที่งามละเอียดเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าเคยได้ผ่านการเย็บแผลไปกี่ครั้งแล้ว

 

 

           “ใบหน้าของหลินฝานถูกมีดกรีดไปเต็มๆ สิบแผล”

 

 

           เขาทำมือขีดเขียนบนใบหน้า “ตรงนี้…แล้วก็ตรงนี้…”