ตอนที่ 502 ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว / ตอนที่ 503 ไม่ต้องกลัว

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 502 ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ทุกที่ที่มั่วไป๋ชี้ สีหน้าของไป๋จิ่งก็ยิ่งซีดเผือดลงเรื่อยๆ

 

 

         เขายังจำความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนั้นได้ ลุกลามจากใบหน้าไปก่อน เพิ่งจะเริ่มก็เจ็บถึงขีดสุด ไม่ใช่เพียงแค่เจ็บเท่านั้น แต่ยังหวาดกลัวไม่แพ้กัน

 

 

           เขาเจ็บจนเหงื่อท่วมตัว หัวเริ่มชา…

 

 

           แต่พอถึงจุดสุดท้าย กลับด้านชาเหมือนไร้ความรู้สึก มั่วไป๋ยังจำได้ครั้งสุดท้ายนั้นเขาสงบนิ่งลงแล้ว สายตาทอดมองหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าเขา

 

 

           ไป๋จิ่งยกยิ้มมุมปากเบาๆ รูปหล่อดูดี

 

 

           เขาใส่ชุดสูท ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้ม องอาจสง่าผ่าเผย

 

 

           มีหรือจะเหมือนเขา นอนเจ็บปวดทรมานอยู่บนพื้น เนื้อตัวสกปรกเกินจะทน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลือดที่แปดเปื้อนเต็มไปทั้งใบหน้าของเขา

 

 

            มีดกรีดไปเต็มๆ สิบแผล ราวกับว่าสิบรอยกรีดนี้แกะสลักอยู่ในสมองของเขาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งชีวิตนี้เขาก็ลืมไม่ลง

 

 

           หลินฝานคิดว่าตัวเองจะต้องตายที่นี่แล้ส

 

 

           แต่พอคนพวกนั้นทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ กลับไม่ได้ฆ่าเขา แต่ทิ้งเขาไว้อยู่คนเดียวที่นี่

 

 

           หลินฝานมองไป๋จิ่งและเซียวเย่ว์ที่อยู่ในจอด้วยความสิ้นหวัง

 

 

           ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหนกะทันหัน เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบาก คว้าเก้าอี้มาฟาดหน้าจออย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

           เขามองดูเศษของที่กระจัดกระจายระเกะระกะอยู่บนพื้น แต่กลับพยุงตัวเองอีกต่อไปไม่ไหว เป็นลมล้มพับไป

 

 

           เขานอนอยู่บนพื้น ภาพตรงหน้าทุกอย่างทั้งหมดกลายเป็นสีเลือด แม้แต่ใบหน้าที่ดูดีของไป๋จิ่งก็กลายเป็นสีแดงไปแล้ว

 

 

           สีแดงนั้นก็เหมือนกับสีของกุหลาบแดงนี้ที่แดงจนทิ่มแทงสายตา

 

 

           มือมั่วไป๋ที่ถือกุหลาบแดงไว้สั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด

 

 

           เขาพยายามปกปิดอารมณ์ความรู้สึกที่จะแหลกสลายของตัวเองไว้ มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของไป๋จิ่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

           “นี่คือความจริงที่นายต้องการ หวังว่าจะทำให้นายพึงพอใจ”

 

 

           พูดจบ มั่วไป๋ก็โยนกุหลาบแดงในมือลงพื้น ไม่หยิบอะไรสักอย่าง พุ่งตรงออกจากคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งไปทันที

 

 

           ไป๋จิ่งเบิกตาค้างมองมั่วไป๋เดินจากไป แต่กลับไม่กล้าจะพุ่งเข้าไปคว้ามั่วไป๋เอาไว้

 

 

           ‘เขาไม่กล้า เขาไม่มีคุณสมบัตินี้…’

 

 

           เมื่อครู่นี้ที่มั่วไป๋พูดเรื่องพวกนี้ออกมา เขาใช้คำว่า ‘หลินฝาน’ สองพยางค์นี้ ไม่ใช่คำว่า ‘ฉัน’

 

 

           เหมือนกับว่าที่มั่วไป๋พูดแบบนั้น หลินฝานได้ตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเป็นตะคริวเกร็งไปทั้งตัว นั่งยองๆ ลงกับพื้นๆ โดยไม่รู้ตัวแล้วขดตัวเข้าไป           

 

 

           ‘เขาดูไม่ออกว่ามั่วไป๋ก็คือหลินฝานได้ยังไง’

 

 

           ‘ทำไมจนถึงตอนนี้แล้วถึงดูไม่ออกเลย’

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากค้าง มองไปทางประตูบานใหญ่ ราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

 

 

           แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร กลับพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง

 

 

           เขาอยากจะบอกมั่วไป๋ว่าวันเกิดวันนั้นเขาอยู่ที่บริษัทจริงๆ ไม่ได้อยู่กับเซียวเย่ว์ที่โรงแรม

 

 

           เขายังอยากจะบอกอีกว่าเซียวเย่ว์ไม่ใช่แฟนสาวของเขา…

 

 

           แต่มั่วไป๋ไปแล้ว…

 

 

           ต่อให้มั่วไป๋ไม่ไป เขาก็พูดไม่ออกสักคำเหมือนเดิม

 

 

           ……

 

 

           ตกกลางดึก ที่มุมเตียงคนไข้จู่ๆ ก็มีเสียงหายใจหอบด้วยความเจ็บปวดทรมานขึ้นมา เสียงนั้นเล็กมาก แต่ไป๋จิ่งที่นั่งอยู่ข้างนอกกลับได้ยินทันที

 

 

           เขาสะดุ้งตกใจ ยืนพรวดพราดขึ้นมา เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังห้องพักผู้ป่วย

 

 

           ไป๋จิ่งเปิดประตูพุ่งตัวเข้าไปโดยไม่คิดก่อนสักนิด

 

 

           ในห้องพักผู้ป่วย เหมือนมั่วไป๋กำลังฝันร้าย อยู่ไม่เป็นสุข ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ ก็รีบยื่นมือไปจับมือมั่วไป๋เอาไว้

 

 

           แรงเขามีมาก กำมือไป๋จิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยออก

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่กลัวเจ็บ โดนกำมือแน่นหนักแบบนี้

 

 

           ถึงอย่างไรที่เขาเจ็บ ก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดทั้งหมดที่มั่วไป๋ได้รับในตอนนั้น

 

 

           เขาเอื้อมมือไปลูบหลังของมั่วไป๋เบาๆ เหมือนอยากจะใช้วิธีนี้ปลอบโยนมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋กำมือเขาแน่นสนิท เสียงต่ำร้องเรียกอย่างเจ็บปวดทรมาน “อย่านะ…อย่านะ…”

 

 

           เหมือนเขาเจ็บปวดถึงขีดสุด ทั้งร่างกระตุกเกร็งเล็กน้อย สั่นระริกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งเจ็บปวดจนไม่ไหว แต่กลับไม่รู้ว่าจะทำให้อาการมั่วไป๋สงบได้อย่างไร

 

 

           เห็นอาการสั่นของมั่วไป๋ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไป๋จิ่งกัดฟัน เอนตัวลงนอนอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ รั้งเขาเข้ามากอดเอาไว้

 

 

           

 

 

ตอนที่ 503 ไม่ต้องกลัว

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ข้างกาย เขาคลอเคลียโดยไม่รู้ตัว อยากจะใกล้ชิดความอบอุ่น

 

 

           การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แสนแผ่วเบาของเขาทำให้ขอบตาไป๋จิ่งชื้นน้ำขึ้นมา

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋ เสียงต่ำเอ่ยที่ข้างหูเขา “ไม่ต้องกลัว…ผมจะอยู่เคียงข้างคุณได้เสมอ…”

 

 

           เหมือนว่าสิ่งที่เขาทำจะพอได้ผลอยู่บ้าง

 

 

           มั่วไป๋ในอ้อมกอดค่อยๆ สงบเงียบลงแล้ว ลมหายใจก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

 

 

           เพียงไม่นานก็หลับสนิทลงได้

 

 

           ไป่จิ่งเห็นมั่วไป๋นอนหลับได้ใหม่อีกครั้ง ในที่สุดก็โล่งใจไปที

 

 

           เขาก้มหน้าลงมองปลายจมูกของคนตรงหน้าที่มีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมอยู่ ดูไปแล้วทำให้คนรักคนทะนุถนอมได้ไม่น้อย

 

 

           ไป๋จิ่งโน้มเข้าใกล้เข้าไปประทับรอยจูบบนหน้าผากของมั่วไป๋ การกระทำแสดงออกทั้งความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร รอยจูบที่อยู่บนหน้าผากช่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ ซึมซับความรักละมุนเหลือล้น

 

 

           ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนโอบกอดกันแนบแน่น

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้หลับทั้งคืน สายตาจดจ้องมาที่ใบหน้าของมั่วไป๋อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เห็นมั่วไป๋ หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บเหมือนโดนทิ่มแทง

 

 

            ราวกับมีคนมาฝังเศษเข็มที่กลางหัวใจของเขา แค่สัมผัสโดนก็รู้สึกเจ็บได้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็เชิดมุมปากล่างขึ้น

 

 

           กอดเขาอย่างนี้อีกครั้งได้ ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดของเขาแล้ว

 

 

           มากกว่านั้น เขาก็ไม่ร้องขอแล้ว

 

 

           ……

 

 

           คืนนี้ยังถือว่าหลับสบายอยู่ เช้าวันรุ่งขึ้นมั่วไป๋ตื่นขึ้นมา รู้สึกมีชีวิตชีวาดีขึ้นมาก

 

 

           เขานอนฟุบบนเตียงไม่อยากขยับตัว คนทั้งคนนอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียง

 

 

           ผ่านไปหลายนาที มั่วไป๋ถึงได้ลืมตาขึ้น

 

 

           เขายกมือขึ้นมากดที่ขมับ กลับรู้สึกว่าฝ่ามือไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           มั่วไป๋อดจะยกมือขึ้นมาดูอย่างละเอียดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกมาตลอดว่าเหมือนฝ่ามือไปจับอะไรสักอย่างมา

 

 

           แต่คิดไม่ออกเลยว่าไปจับอะไรมา

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองมือตัวเองอยู่ตั้งนานสองนาน แต่กลับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

 

 

           เหยียนอวี้เข้ามาก็เห็นมั่วไป๋กำลังจ้องมองมือตัวเองอย่างเอาจริงเอาจัง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองมือมั่วไป๋ด้วยความสงสัย “เป็นไรไป มือดูไม่เหมือนคนอื่นเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเสียงของเหยียนอวี้ ก็รีบเก็บมือเข้าไปทันที

 

 

           เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ก็แค่ดูไปงั้นๆ”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ถอนหายใจเงียบๆ ใบหน้าเย็นชาแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีคนมาปรากฏตัวข้างกายได้

 

 

           เมื่อวานกว่าจะมีคนมาปรากฏตัวไม่ใช่ง่ายๆ แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่เห็นสักคน

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เหยียนอวี้อดจะถอนหายใจไม่ได้

 

 

           ‘ตัวอย่างของการเจอคนที่ไม่ดีไง’

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขายืนอยู่ต่อหน้าตัวเอง ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ทำยังกับว่าไม่มีทางจะรักษาเขาได้แล้ว อีกสักพักใกล้จะตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “นายมาหาฉันมีธุระอะไร”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้ว “ฉันเป็นหมอมาหานายจะมีธุระอะไรได้ล่ะ”

 

 

           “ลุกขึ้นมาเถอะ จะพานายไปตรวจอาการ”

 

 

            มั่วไป๋ลงจากเตียงอย่างว่าง่าย ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมเหยียนอวี้

 

 

           เดิมทีเหยียนอวี้เป็นคนพูดน้อย ออกจะเย็นชาด้วยซ้ำ แต่พอได้พบกับมั่วไป๋ เพียงชั่วครู่เดียวก็ตบะแตกแล้ว

 

 

           เพราะว่ามั่วไป๋เย็นชากว่าเขา ไม่พูดยิ่งกว่าเขาอีก

 

 

           ถ้าเขาไม่พูดอีก คาดว่าจะอยู่กับมั่วไป๋ทั้งวันโดยไม่พูดสักประโยคได้

 

 

           ดังนั้นหมอเหยียนผู้เย็นชาถูกรักษาอย่างนี้โดยมั่วไป๋ให้หายดีแล้ว

 

 

           ผลของการรักษาจนหายดีคือ ทุกครั้งที่หมอเหยียนเจอหน้ามั่วไป๋ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเขาเยอะหน่อย

 

 

           บางครั้งมั่วไป๋เห็นเขาเป็นอย่างนี้ เจ้าตัวอดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “เมื่อก่อนนายออกจะเย็นชามากไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้พูดเยอะจัง”

 

 

           หมอเหยียนผู้เคยเย็นชาอีกนิดแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว

 

 

           ‘นายคิดว่าเขา…ไม่อยากจะเย็นชามากเหรอ’

 

 

           ‘อยู่กับมั่วไป๋ เขาจะเย็นชาได้ยังไงกัน…’

 

 

           หมอเหยียนกวาดสายตามองมั่วไป๋เงียบๆ ตัดสินใจไม่พูด

 

 

           ทั้งสองคนเดินถึงหน้าประตูห้องตรวจเร็วมาก เหยียนอวี้รออยู่นอกประตู มั่วไป๋เข้าไปเองคนเดียว

 

 

           เหยียนอวี้รู้สึกเบื่อ จึงมองไปรอบๆ ตอนมองซ้ายมองขวา เงาของคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาวาบผ่านมาพอดี

 

 

           เหยียนอวี้เก็บสีหน้าลงในทันใด เงาของคนคนนั้นเมื่อครู่นี้…