ตอนที่ 442 คำแรก

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 442

คำแรก

“เฮ้อ…..”จิ้งจอกเหมันต์ถอนหายใจออกมาพลางมองไปยังภายนอกเมืองหลวงของอาณาจักรไชน์ด้วยท่าทีกังวล เพียงแต่สิ่งที่นางกังวลไม่ใช่สงครามที่อาณาจักรไชน์กำลังเผชิญ เพราะเรื่องนั้นแค่ไป๋จูเหวินมาถึงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แต่สิ่งที่นางกังวลนั้นกลับเป็นเรื่องของหลานชายอีกคนต่างหาก

“เป็นอะไรไป เจ้าเป็นห่วงล่งเอ๋อหรือยังไง”เพียงเห็นจิ้งจอกเหมันต์แสดงท่าทีกังวลออกมาราชสีห์เพลิงก็แทบจะเดาออกทันทีว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไร

“เจ้าจะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้ยังไง เด็กคนนั้นพึ่งเข้าเมืองเป็นครั้งแรกนะ”จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ ใครใช้ให้นางเป็นคนรับผิดชอบเรื่องสอนจิตสำนึกให้จูล่งกันเล่า ความจริงนางก็พยายามแล้วนะ แต่เหมือนจูล่งจะไม่ค่อยรับเรื่องพวกนี้เข้าสมองเสียเท่าไหร่

“อย่ากัวลเกินไปเลย แค่ให้จูล่งได้ไปเที่ยวในเมืองเล็กๆข้างๆหมู่บ้านเอง จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ล่ะ”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางหัวเราะออกมา แค่ให้หลานชายไปเที่ยวเมืองข้างๆไม่กี่วันในช่วงที่พวกตนเดินทางมาช่วยสงครามของอาณาจักรไชน์มันจะไปมีเรื่องได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะมีจอมมารจากที่ไหนฟื้นคืนชีพขึ้นมาในตอนที่พวกมันไม่อยู่เสียหน่อย

“มันก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง เด็กคนนั้นขาดจิตสำนึกจะตาย”จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ

“เจ้าก็สอนล่งเอ๋อไปตั้งเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง”พยัคฆ์อัสนีพูดเหมือนจิ้งจอกเหมันต์จะคิดมากเกินไป

“สอน?เจ้าคิดดูสิ อาวุธวิเศษยังไม่ระคายผิวล่งเอ๋อ กว่าข้าจะสอนมันได้ว่าของมีคมมันอันตรายต้องใช้เวลาขนาดไหน”จิ้งจอกเหมันต์พูดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ช่วยไม่ได้หรอก มันไม่เหมือนคราวของจูเอ๋อเสียด้วย ตอนนี้พวกเราเหมือนกำลังสอนนายหญิงให้รู้จักโลกภายนอกไม่มีผิด”มังกรธรณีถอนหายใจออกมาอีกคน สมัยสอนสั่งไป๋จูเหวินยังไม่ยากเท่านี้เลยเพราะจูล่งมีลักษณะนิสัยค่อนข้างเหมือนอสูรแมงมุมเสียมากกว่า ทำให้การสอนสั่งจูล่งเป็นเรื่องยากมากที่สุดเท่าที่พวกมันเคยทำมาเลยทีเดียว

.

.

“….ไม่ใช่มนุษย์จริงๆด้วย”ขณะเดียวกันที่ยอดเขาที่พวกไป๋หลินนำอาวุธมารมาทำลาย จูล่งที่พึ่งสังหารจอมมารที่ฟื้นขึ้นมาตอนพวกท่านน้าไม่อยู่ไปหมาดๆก็มองร่างของจางหลงที่กำลังสลายหายไปด้วยท่าทีสนอกสนใจ แม้รูปร่างภายนอกและโครงกระดูกจะเหมือนมนุษย์แค่ไหน แต่มันก็คือร่างที่สร้างจากอาวุธมารที่ใช้โครงกระดูกของจางหลงเป็นแกนกลางเท่านั้น พอโดนทำลายก็เหลือเพียงเศษโลหะกับเฒ่ากระดูกเท่านั้น

“พี่ชิงชิว พี่สาว พวกท่านรีบมาที่นี่กันทำไมหรือ”จูล่งถามพลางเดินกลับไปหาชิงชิวกับไป๋หลินด้วยท่าทีสงสัย พวกมันพึ่งจะมาถึงบ้านของผิงกั่วแท้ๆ แต่ชิงชิวกลับรีบวิ่งขึ้นมาบนยอดเขา แถมยังเจอพี่สาวของมันกับพี่ไป๋ไป่และลุงหยงเวยอีก

“ไม่มีอะไรหรอก พวกเรากลับกันเถอะ”ไป๋หลินส่ายหน้าพลางจับมือของจูล่งเอาไว้ หากเมื่อครู่ไม่ได้จูล่งช่วยจัดการ มีหวังได้เกิดศึกใหญ่แน่ๆ การที่มันจบลงด้วยก่อนจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เหล่าประชาชนในอาณาจักรนี้ต้องขอบคุณจูล่งแล้วจริงๆ

“ขอรับ”จูล่งพยักหน้าช้าๆพลางหันไปมองทางเศษโลหะที่เคยเป็นร่างของจางหลงมาก่อน

“มีอะไรหรือน้องจูล่ง”ชิงชิวถามพลางมองจูล่งที่ยังไม่ยอมเดินตามมาเสียที

“ข้าพึ่งนึกออกว่าข้ายังไม่ได้ใช้กระบี่ให้พี่สาวในสำนักจันทร์กระจ่างเลย”จูล่งตอบออกมาด้วยท่าทีเสียใจ ก่อนหน้านี้มันทำดาบมรกตหักไป แต่เพราะจางหลงโดนจัดการไปแล้วมันก็คงไม่ต้องชดใช้ดาบมรกตอีก แต่มันยังมีหนี้ที่ทำลายกระบี่ของเหล่าลี่อยู่ หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องของผิงกั่วขึ้นมันคงไปหาซื้อกระบี่ในเมืองมาคืนแล้ว

“เรื่องนั้นเอาไว้กลับไปหาพวกหลิงจงก่อนก็แล้วกัน”ชิงชิวว่าพลางพาจูล่งลงเขาตามไป๋หลินไป

“……น้องจูล่ง”ชิงชิวพาจูล่งเดินตามไป๋หลินมาได้พักหนึ่งก็มองไปเห็นไป๋ไป่ที่กำลังบินกลับไปยังปราสาทน้ำแข็งซึ่งเป็นที่อยู่ของราชินีน้ำแข็งและผิงกั่ว ท่าทางนางจะพาหยงเวยที่สูญเสียพลังมารไปแล้วกลับไปพักผ่อนก่อนเป็นแน่

“ขอรับ”จูล่งว่าพลางเดินเข้ามาหาชิงชิว

“เจ้ากลับไปหาผิงกั่วก่อนเถอะ ปล่อยนางเอาไว้ข้ากลัวว่านางจะเป็นห่วงเจ้า”ชิงชิวว่าพลางเหลือบมองไปทางไป๋หลิน

“แต่นางอยู่กับมารดาแล้วนะขอรับ แล้วข้าก็ดูแลตัวเองได้ด้วย”จูล่งตอบด้วยท่าทีงงๆ ผิงกั่วจะเป็นห่วงมันไปทำไม บนนี้ไม่มีอะไรอันตรายเสียหน่อย

“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปเถอะน่า”ชิงชิวว่าพลางผลักร่างของจูล่งให้เดินนำไปก่อน เจ้าเด็กคนนี้ช่างอ่านบรรยากาศไม่เป็นเอาเสียเลย

“ขอรับ…”จูล่งตอบรับงงๆพลางเดินต่อด้วยความเร็วปกติ แต่เพราะไป๋หลินกับชิงชิวต่างพร้อมใจกันเดินช้าๆทำให้ไม่นานจูล่งก็เดินหายไปจากสายตาของทั้งสองคน

“……….”แม้จะไม่มีก้างขวางคอแล้ว แต่ดูเหมือนการเริ่มประโยคสนทนาแรกของทั้งคู่จะยากเย็นเสียเหลือเกิน พวกมันสองคนจากมาหลังจากน้องชายของไป๋หลินฆ่าน้องสาวของชิงชิว ซึ่งนั่นทำให้ชิงชิวโกรธจัดจนลงมือสังหารน้องชายของไป๋หลินอีกที แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมานานนับสิบๆปีแล้ว

ความจริงทั้งสองคนต่างก็คิดอยู่ตลอดว่าหากวันใดได้เจอหน้ากันอีกจะพูดอะไรดี ต่าง่ายต่างก็ผ่านอะไรมามากมาย มีเรื่องเล่าให้อีกฝ่ายฝั่งชนิดที่ว่าเล่าติดกัน 7 วัน 7 คืนก็ไม่หมด แต่ครั้งแรกที่เจอกัน ชิงชิวก็เลือกที่จะซ่อนตัว ส่วนไป๋หลินก็ไม่ทักแม้จะเห็นชิงชิวก็ตาม ทั้งสองไม่ทราบจะเริ่มคุยอย่างไรดี

แน่นอน ไป๋หลินตัดสินใจว่าเมื่อกำจัดพลังมารออกไปได้แล้ว นางจะไปหาชิงชิวและพูดคุยกับมัน แต่ตอนนี้พลังมารก็ไม่เหลือในร่างแล้ว ชิงชิวก็อยู่ตรงหน้าแล้ว นางควรจะพูดอะไรดี ทักทายก่อนดีหรือไม่? หรือจะหาเรื่องพูดคุยกันไปก่อนดี เอาเรื่องธรรมดาๆคลายเครียด คุยกันไปจนกว่าจะถึงปราสาทน้ำแข็งดีหรือไม่ หรือนางควรจะเอาเรื่องของชินอี้มาพูดดี บางทีเรื่องนี้ก็ต้องการคำพูดที่ชัดเจน นางควรขอโทษแทนชินอี้ที่สร้างเรื่องเช่นนี้ขึ้น ขอโทษที่พลังมารของตนทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ และควรบอกชิงชิวหรือไม่ว่านางไม่ได้โกรธชิงชิวเรื่องที่ชิงชิวทำลงไปเลยดี แน่นอนว่านางเข้าใจว่าชิงชิวทำไปเพราะแก้แค้นให้น้องสาวตนเอง และชินอี้ก็เป็นฝ่ายผิดจริงๆ แต่ชินอี้ก็เป็นน้องของนาง นางย่อมไม่อยากให้มันตายแบบนั้น แต่เรื่องมันก็เกิดมาแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้ แล้วชิงชิวเล่า มันให้อภัยนางหรือยัง แม้นางจะใช้เวลาทั้งหมดเพื่อกำจัดพลังมาร รับผิดชอบในแบบของตนเอง แม้นางจะทำสำเร็จ แต่นั่นจะสามารถทดแทนความผิดของนางได้จริงๆหรือ และที่สำคัญที่สุด หลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ความรู้สึกของชิงชิวจะเป็นอย่างไร ในสายตามันตัวนางอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ มันยังรักนางอยู่หรือไม่….

“…….”ระหว่างที่ไป๋หลินกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัวนั้น ชิงชิวก็เข้ามาใกล้ตัวนางตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แถมมือของมันยังเลื่อนมาจับมือของนางเอาไว้อีกต่างหาก

“เจ้า…สวยขึ้นนะ”ชิงชิวพูดด้วยใบหน้าเขินอายเล็กน้อย แต่เพียงคำพูดแค่นั้นก็ทำเอาเรื่องต่างๆที่อยู่ในหัวของไป๋หลินมลายหายไปทันที

“…….”ไป๋หลินหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่นึกว่าคำแรกที่ชิงชิวพูดออกมาจะเป็นคำนี้ แน่นอนนางอายุมากขึ้น ทำให้นางไม่ได้ดูเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มอีกแล้ว เพียงแต่ความงามของนางก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นความงามแบบผู้ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้หากเอานางไปยืนข้างมารดาของนางคงมีแต่คนคิดว่าเป็นฝาแฝดอย่างแน่นอน

“ข้า…..”ไป๋หลินพูดพลางหยุดยืนอยู่กับที่ นางควรตอบว่าอย่างไรดี….

“ข้าคิดถึงเจ้า”ชิงชิวพูดพลางมองมาทางไป๋หลินด้วยดวงตาที่เหมือนจะบอกเล่าความรู้สึกทุกอย่างที่ตนอยากจะบอก เพียงแต่สิ่งที่ดวงตาของชิงชิวกำลังสื่อออกมานั้นไม่ใช่เรื่องความผิดพลาด หรือการขอโทษ แต่เป็นความรู้สึกที่บอกว่ามันอยากเจอไป๋หลินมากแค่ไหนต่างหาก

“ข้าเองก็คิดถึงท่าน”ไป๋หลินพูดออกมาก่อนที่น้ำตาของนางจะเริ่มไหลออกมาช้าๆ

“ไม่เจอกันนาน เจ้ากลายเป็นเด็กขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”ชิงชิวว่าพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้ไป๋หลินเบาๆ ยามนี้เรื่องที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เมื่อได้อยู่ข้างกายไป๋หลินแล้วชิงชิวถึงได้ทราบเสียทีว่าตนเองไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอเพียงได้อยู่ร่วมกับนางก็พอ

“นี่ไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”ไป๋หลินว่าพลางจ้องมองชิงชิวนิ่ง ยามนี้มือที่ใช้เช็ดน้ำตาของนางเลื่อนลงมาเชยคางนางตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แถมใบหน้าของทั้งสองยังใกล้กันมากเสียด้วย ไม่ทราบเพราะความรู้สึกโหยหาที่ต้องเจอมาเนิ่นนาน หรือเพราะความรู้สึกดีใจที่ได้เจอชิงชิวอีกครั้ง แต่มันก็ทำให้ไป๋หลินเลือกที่จะหลับตาลงช้าๆ

ทางฝั่งชิงชิวนั้นก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอ่อนต่อโลกแต่อย่างไร มันไม่ได้ผ่านเวลาหลายสิบปีมาเปล่าๆ เพียงเห็นท่าทีของไป๋หลินก็เข้าใจทันทีว่านางต้องการสื่ออะไร มันโน้มตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากของไป๋หลินช้าๆ ยามนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตาสีแดงทุกอย่างก็ราวกับกำลังหยุดนิ่ง ไม่ทราบเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ชิงชิวถึงค่อยๆถอยออกมาช้าๆ

“จูล่ง…เจ้ากลับมาทำไม”ไป๋หลินลืมตาขึ้นมาพลางมองไปทางน้องชายของตนที่กำลังยืนมองอยู่ไม่ห่างจากตนเองนัก แม้นางจะหลับตาแต่เพราะเนตรแมงมุมเลยทำให้นางเห็นว่าจูล่งเดินกลับมาตั้งแต่พวกตนจูบกันได้พักหนึ่งแล้ว

“ข้า….จะมาถามว่าข้าจะหาซื้อกระบี่ได้ที่ไหน”จูล่งพูดพลางมองมาทางพวกไป๋หลินด้วยท่าทีเฉยๆไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจหรือเขินอายเลยแม้แต่น้อย

“เอาไว้ข้าจะพาไป”ชิงชิวว่าพลางหลบสายตาจูล่งอย่างช่วยไม่ได้

“ขอบคุณขอรับพี่ชิงชิว”จูล่งว่าพลางยิ้มรับด้วยท่าทีดีใจ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่จูล่งไม่ได้สนใจหรอกว่าเมื่อครู่ไป๋หลินกับชิงชิวทำอะไรกัน