บทที่ 4 บทที่ 38 นักวิ่งตอนเช้า

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 38 นักวิ่งตอนเช้า โดย Ink Stone_Fantasy

อนาโตลี่ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่คุณซัลลิแวนผู้ลึกลับพาเขามาที่นี่คืออะไร

ตามความคิดของอนาโตลี่ สถานที่นี้ก็เป็นแค่บ้านคนธรรมดามากๆ หลังหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าซัลลิแวนกลับถามเขาว่าหลังจากมาที่นี่แล้วนึกเรื่องอะไรออกบ้างหรือเปล่า

อนาโตลี่รู้ว่าที่ซัลลิแวนพูดนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสูญเสียความทรงจำ

ในความรู้สึกของอนาโตลี่นั้นเขาไม่ได้ลืมอะไร แต่ไม่ว่าจากคำพูดและท่าทางของซัลลิแวน แล้วยังมีคำพูดบางอย่างของพระสังฆราช จนกระทั่งเรื่องที่ไม้กางเขนของเขาแตกไปกะทันหัน ล้วนทำให้การวิเคราะห์ตามเหตุผลของเขาได้ข้อสรุปว่า ‘เขาลืมเรื่องบางอย่างไปจริงๆ’

“ขอโทษครับ คุณซัลลิแวน ผมนึกอะไรไม่ออกเลย” อนาโตลี่ส่ายหน้า

ซัลลิแวนพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเป็นไปตามคาด “ไม่ใช่แค่คุณ แต่คนที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าใครอยู่ในบ้านหลังนี้”

อนาโตลี่พูดถามอย่างใคร่รู้ “แล้วใครอยู่ในบ้านหลังนี้กันล่ะครับ?”

ซัลลิแวนตอบช้าๆ “เป็นพ่อม่ายที่เลี้ยงลูกวัยสิบขวบคนหนึ่ง พวกเขาคงจะจากไปไม่กี่วัน เพราะว่าของกินบางอย่างในตู้เย็นยังไม่หมดอายุ แต่ว่า…”

เห็นซัลลิแวนพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดลง อนาโตลี่เลยตั้งใจฟังกว่าเดิม

ตอนนี้ซัลลิแวนได้มองชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับไม่แน่ใจอย่างไรอย่างนั้น “พวกเราหาร่องรอยของพ่อลูกคู่นี้ไม่เจอ…เหมือนกับละลายหายไปจากโลกมนุษย์อย่างนั้น”

อนาโตลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าหากเป็นแค่คนธรรมดา จะเล็ดลอดสายตาของสำนักฝึกบาทหลวงไปได้ยังไงครับ”

“เกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา” ซัลลิแวนจ้องมาทางอนาโตลี่อย่างครุ่นคิด

ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า

วินาทีที่ทั้งคู่สบตากัน อนาโตลี่เหมือนสัมผัส…ความหวาดกลัวบางอย่างได้จากสายตาของคุณซัลลิแวนคนนี้

“อนาโตลี่ ตามผมไปสำนักฝึกบาทหลวง” ซัลลิแวนพูดขึ้นทันที

แต่อนาโตลี่ผู้ที่เพิ่งจะจบจากสำนักฝึกบาทหลวง และเพิ่งถูกมอบหมายให้มาที่นี่ยังคงไม่เข้าใจอยู่มาก

ได้ยินแค่ซัลลิแวนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้อจำกัดของผมค่อนข้างเยอะ อยู่ที่นี่ผมไม่อาจใช้พลังใดๆ ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำได้แค่ไปสำนักฝึกบาทหลวงของพวกคุณ ที่นั่นมีเงื่อนไขที่ทำให้ผมสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่”

อนาโตลี่กลับตะลึงไป เพราะเมื่อกี้ได้ยินซัลลิแวนพูดว่า…‘พวกคุณ’?

บาทหลวงที่จากไปสองคนไม่รู้เลย ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งสังเกตพวกเขาอยู่หน้าประตูบ้านนี้ตลอด

นั่นคือลั่วชิวที่กำลังนั่งเลื่อนจอมือถืออยู่บนเก้าอี้หน้าประตูบ้านหลังนี้ตลอด โดยที่โยวเย่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

แน่นอนว่าไม่ใช่ลั่วชิวตั้งใจไล่เธอไป แค่หลังจากที่เธอตื่นเช้ามาเตรียมอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นเอง

ลั่วชิวไม่ได้อยู่ในโรงแรมที่อยู่ในตอนแรก แต่หลังจากที่โอเล็กพาอันโตนิโอออกจากมอสโกไปอย่างเงียบๆ แล้ว เขาก็แอบย้ายมาที่นี่ซึ่งถือเป็นสถานที่พักผ่อนเงียบๆ ชั่วคราว

ไม่ได้บอกว่าโรงแรมที่คุณสาวใช้เตรียมไว้ไม่ดี

เขาแค่คิดว่าอยู่ที่นี่ได้บรรยากาศกว่านิดหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเก้าอี้โยกหน้าประตูนี้ เอนตัวตรงนี้แล้วไม่อยากขยับตัวเลย แต่โรงแรมกลับให้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้

ที่นี่ยังคงหลงเหลือความทรงจำแสนสุขของคามาลาอยู่

“พวกคุณ”

หลังจากที่สองบาทหลวงออกไปหมดแล้ว ลั่วชิวถึงได้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้านี้ ในสิ่งที่มนุษย์รู้ ข้างบนนั้นน่าจะมีอะไรอยู่

แต่ลั่วชิวผู้ที่เคยดูสมุดบัญชีเก่าของสมาคมแล้ว กลับเข้าใจดีว่าความจริงแล้วข้างบนนี้ไม่มีอะไรเลย

พวกมันมีอยู่ แต่ไม่ได้อยู่บนสวรรค์หรือในนรก

“สวรรค์…อีกสามปี”

ลั่วชิวบิดขี้เกียจ ลุกยืนขึ้นจากบนเก้าอี้

เขาใส่หูฟัง จากนั้นก็เตะรองเท้าของตัวเองเบาๆ แล้วก็วิ่งเหยาะออกไปยังถนนข้างนอกในบริเวณเล็กๆ นี้

เช้าแบบนี้เหมาะกับการวิ่งเหยาะมากจริงๆ

บนถนน ลั่วชิวก็พบคนที่เลือกออกมาวิ่งไม่น้อยเลยเช่นกัน ในชีวิตของคนที่ชอบกีฬาเหมือนจะเต็มไปด้วยไมตรีจิต

เขาพบคนทักทายด้วยวิธีที่หลากหลายไม่น้อยทั้งชายและหญิง บางทีพวกเขาอาจจะกำลังชื่นชมทิวทัศน์ตามถนน ทิวทัศน์พวกนี้ในสายตาของพวกเขาเป็นสีสันแบบไหนกันแน่?

ลั่วชิวไม่รู้

เขามีแนวคิดเรื่องของสี แต่สีทั้งหมดที่เขาเห็นเหมือนจะเป็นสีเดียวกัน พวกมันผสมปนเปอยู่ด้วยกัน เหมือนจะมีกฎแต่ก็ไม่มีกฎ

โลกทั้งใบเหมือนจะเปลี่ยนเป็นโลกสีขาวดำในความนึกคิด

เขาชะลอฝีเท้าลงทันที ค่อยๆ ลดความเร็วของตัวเองลงช้าๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง

นั่นเป็นภาพวาดที่วาดอยู่นอกกำแพงบ้านคนอื่น…ควรจะบอกว่าเป็นวาดภาพบนกำแพงในที่สาธารณะน่าจะเหมาะกว่า

ไม่ได้สวยและไม่ได้สีมีสันสดใสดึงดูดสายตาผู้คนมากอย่างภาพวาดริมถนน ยิ่งไม่ใช่ภาพแนวเสียดสีสังคมที่สะท้อนความไม่พอใจต่อสังคมอย่างแรงกล้า และดึงดูดให้ผู้คนในสังคมเกิดความรู้สึกร่วมได้

มันแค่อยู่บนกำแพงสีน้ำตาล ใช้เส้นสีดำง่ายๆ มาประกอบเป็นภาพสเก็ตเมืองภาพหนึ่ง แต่เมืองนี้กลับไม่ได้วาดออกมาตามอัตราส่วนจริง

มันบิดเบี้ยวเหมือนกับภาพเมืองกลับหัวกลับหางในกระจกที่ส่องรูปบิดเบี้ยว ตึกอาคารที่ตรงดิ่งกลายเป็นลักษณะที่อ้วนใหญ่ ถนนที่เป็นระเบียบก็บิดเบี้ยว

ลั่วชิวยื่นมือลูบผ่านกำแพง จากนั้นก็ขยี้เบาๆ ด้วยนิ้วมือของตัวเอง…นี่ไม่เหมือนการใช้ดินสอถ่าน*วาด แต่เหมือนใช้ถ่านไม้มาวาดเลยมากกว่า

“มีช่วงเวลาหนึ่ง ผมจะตั้งใจผ่านมาที่นี่ทุกวัน”

ทันใดนั้นก็มีใครบางคนพูดขึ้นข้างหลังลั่วชิว ลั่วชิวหันหน้ามามอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดวิ่งหมวกแก๊ปและที่ปิดปาก

น่าจะเป็นชายวัยกลางคน

เขาดูแข็งแรงมากๆ

ลั่วชิวแค่มองแป๊บเดียวก็เงยหน้าขึ้นมา ถอยหลังไปสองก้าวให้ตัวเองสามารถมองเห็นภาพทั้งหมดนี้ได้ ตอนนี้ชายวัยกลางคนที่วิ่งอยู่ข้างหลังนี้ก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่เช่นกัน และก็เงยหน้ามองมอสโกที่บิดเบี้ยวอยู่บนกำแพงนี้เงียบๆ

เขาพูดขึ้นทันที “ภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จ”

“ครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย

ผู้ชายพูดราวกับเสียดายนิดหน่อยว่า “น่าจะประมาณปีก่อนล่ะมั้ง?ผมเริ่มวิ่งช่วงเช้าอยู่แถวๆ นี้ บางครั้งจะเห็นวัยรุ่นคนหนึ่งวาดภาพอยู่ที่นี่ นั่นยังเป็นช่วงฤดูหนาว ภาพในความทรงจำของผมค่อนข้างชัดเจน เสื้อผ้าของเขาบางมาก สีหน้าก็แย่มากๆ เหมือนเป็นคนเร่ร่อน แต่เขาเหมือนไม่ได้รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว เขาถือถ่านไม้อันหนึ่งเอาไว้ ตอนที่ผมเห็นภาพนี้ก็วาดตึกใหญ่ตึกหนึ่งออกมาได้แล้ว”

เขาเหมือนจะกำลังเล่าเรื่องราวที่น้อยนักจะแบ่งปันกับคนอื่น…แต่แบ่งปันกับคนแปลกหน้า

“ผมสังเกตเขาอยู่หลายวัน มีอยู่วันหนึ่งผมทนไม่ได้เลยเดินไปถามเขา” ตอนนี้ชายที่ใส่ที่ผ้าปิดปากและหมวกแก๊ปมองลั่วชิวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผมถามเขาว่า หนาวขนาดนี้ทำไมนายไม่เผาถ่านในมือเพื่อรับไออุ่นล่ะ?”

“เขาว่ายังไงครับ?” ลั่วชิวพูดถามตามใจ

“เขาไม่ได้ตอบผม” ผู้ชายส่ายหน้า “แต่กลับถามคำถามผมกลับมาหนึ่งข้อ เขาบอกว่าคุณมีความฝันไหม?”

“ความฝัน?” ลั่วชิวราวกับกำลังใช้ความคิด

ผู้ชายเลยพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ ความฝัน…พูดตามจริงผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีความฝันอยู่หรือเปล่า แต่ว่าต่อมาผมก็จะหาเวลามาวิ่งแถวๆ นี้อยู่ตลอด อย่างแรกก็เพื่อออกกำลังกาย อีกด้านหนึ่ง…ผมอยากมาลองดูเจ้านี้ว่าจะทนไปได้ถึงไหน”

เขาส่ายหน้า “เสียดาย สุดท้ายภาพนี้ก็วาดไม่เสร็จ ผมไม่ได้เจอเขามานานแล้ว แต่ว่าบางครั้งผมยังคงวิ่งมาที่นี่ คิดว่าบางทีจะได้เจอเจ้าหมอนี่ และจะลองมาดูภาพที่วาดไม่เสร็จที่นี่ให้เต็มที่สักหน่อย”

“มันมีจุดที่ทำให้คนหลงใหล” ลั่วชิวพูดยิ้มๆ

ผู้ชายก็พูดเสียงเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว ดูเมืองบิดเบี้ยงที่วาดไม่เสร็จภาพนี้ มักจะให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างไป เหมือนเตือนตัวผมเองอยู่ตลอดเวลาว่า…ผมไม่อาจให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่บิดเบี้ยวแบบนี้ ฮ่าๆ ผมพูดเรื่องน่าเบื่อซะแล้ว”

“ไม่เลยครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า

ผู้ชายเริ่มวิ่งวอร์มอัพอยู่กับที่ เขายื่นมือออกมาตบบ่าของลั่วชิว “พ่อหนุ่มเป็นคนจีนล่ะสิ?ประเทศนี้ผมไปมาหลายครั้งแล้ว เป็นประเทศที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่ว่าคุณพูดภาษารัสเซียได้ดีขนาดนี้ ไม่ลองคิดมาอยู่หาความก้าวหน้าที่นี่ดูสักหน่อยเหรอ คนหนุ่มมักมีโอกาสเสมอ”

“ผมอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าพูด

ผู้ชายอึ้งไป แต่ไม่ได้ใส่ใจความนัยของประโยคนี้ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย แล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป แต่ว่าเขาวิ่งออกไปไม่นาน ข้างหลังก็มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งตามไปช้าๆ

ลั่วชิวหันตัวกลับไปมองภาพบนกำแพง

ความจริงนี่เป็นภาพที่ยูริเคยวาด แต่ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือคฤหาสน์ดีคาปี้…บางทีอาจกำลังทักทายคุณแอนนาที่พากลับมาด้วยเมื่อคืนอยู่ล่ะมั้ง

“ความฝัน”

ดินสอถ่าน* ดินสอสำหรับการวาดรูป