ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะมองดูเฉินฉางเซิงหลับ เหมือนกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับคำพูดสุดท้ายของเฉินฉางเซิง เนื่องจากหลายวันมานี้เด็กหนุ่มพูดมากจริงๆ ทำก็มากด้วย
การเดินทางออกท่องร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาพบเห็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจมากมาย บางคนพรสวรรค์ล้นเหลือ บางคนมุมานะสูงส่ง ซึ่งคนที่เขาชื่นชมส่วนใหญ่มักอยู่พรรคกระบี่หลีซาน
แต่เขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มอย่างเฉินฉางเซิง
เขามักคิดว่าเด็กหนุ่มล้วนสดใสร่าเริง ดั่งดวงอาทิตย์ยามเช้า น้ำค้างยามเช้า ผีเสื้อแรกบิน นกน้อยแรกบิน เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอ่อนเยาว์ที่มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น เฉินฉางเซิงก็มีลักษณะทำนองนี้ แต่บวกความเฉยชาเข้ามาด้วย เด็กหนุ่มให้ความรู้สึกของสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิที่เย็นและสดชื่น ทำให้รู้สึกสุขกายสบายใจ
ซูหลีมองเฉินฉางเซิงที่หลับสนิทอย่างเงียบๆ พลางสำรวจดูอย่างละเอียด
ยามตื่น เด็กหนุ่มทั่วไปมักตั้งใจกดเสียงพูดให้ต่ำ ให้ดูเคร่งขรึมสงบนิ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่จะได้ชื่นชม คนวัยเดียวกันจะได้ชื่นชอบ แต่ยามหลับ พวกเขามักกลับคืนสู่ท่าทางที่ควรจะเป็นตามวัยที่แท้จริง เผยให้เห็นความบริสุทธิ์ที่ไม่มีพิษไม่มีภัย แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มในวัยเยาว์ บริสุทธิ์ดั่งไร่ชาก่อนฝนตก แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนยามตื่นที่สงบนิ่ง กระทั่ง…ดูเศร้าอยู่บ้าง
เหตุใดเด็กหนุ่มจึงขมวดคิ้วแม้ยามหลับ? กำลังคิดอะไร? ห่วงอะไร? กังวลอะไร? หากแม้ในความฝัน ร่างกายเด็กหนุ่มยังแบกรับความกดดันไว้ไม่ยอมปล่อยวาง แล้วตอนตื่น เหตุใดกลับเคร่งขรึมสงบนิ่งได้ปานนั้น ชนิดที่ไม่ทำให้คนข้างๆ รู้สึกแม้แต่น้อย?
ซูหลีชัดเจนว่า เฉินฉางเซิงต้องมีเรื่องในใจแน่ แต่เขาไม่คิดถาม และไม่คิดสอบถาม ใช่ว่าเขาไม่สงสัย แต่เป็นเพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ…เขาเงยหน้ามองภูเขาที่รกร้างว่างเปล่าอย่างเฉยชา ดวงตาทอประกายดุจแสงดาว ความเย็นค่อยๆ คืบคลานเข้ามา มือที่จับด้ามร่มกระดาษทองคลายออกเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมชักกระบี่
นักฆ่านามหลิวชิง อยู่ในภูเขาร้างแห่งนี้ และน่าจะกำลังเฝ้ามองมาที่นี่ ในฐานะนักฆ่าลำดับสามแห่งต้าลู่ ย่อมน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งถ้าเป็นยามปกติ หลิวชิงไม่มีทางให้ซูหลีเหลือบมองขึ้นมาได้แน่ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ เฉินฉางเซิงกำลังหลับ และซูหลีบาดเจ็บสาหัส ดูอย่างไรก็เป็นโอกาสทองของการลงมือฆ่า นอกเสียจากว่านักฆ่าผู้นี้ตัดสินใจเป็นพวกอนุรักษนิยมต่อ
ซูหลีพลันตื่นเต้นเล็กน้อย แต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับเย็นชายิ่ง เขาไม่ได้ตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว เพราะหลายปีมานี้ไม่เคยมีใครสามารถคุกคามถึงขั้นเอาชีวิตเขาได้ จนทำให้เขาคิดว่าตนเองมองความเป็นความตายได้ทะลุปรุโปร่ง แต่หลังจากการปรากฏตัวของเซวียเหอกับเหลียงหงจวง เขาค่อยรู้ว่า แม้แต่กูรูหัวใจกระบี่อย่างตน ยังไม่สามารถรักษาความสว่างทางใจไว้ได้ขณะเผชิญหน้ากับความตาย หรือเป็นเพราะเขาเพิ่งผ่านบททดสอบความเป็นความตายมาอย่างยากลำบาก
ในชีวิตนี้ เขาผ่านบททดสอบความเป็นความตายมาแล้วหลายครั้ง เอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและเหมือนไม่มีทางเอาชนะได้ก็หลายครั้ง เมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้เหล่านี้แล้ว ระดับเซวียเหอกับเหลียงหงจวงไม่คู่ควรเอ่ยถึงด้วยซ้ำไป แต่เขาชัดเจนดีว่า ห้วงเวลาเฉียดตาย มิได้อยู่บนที่ราบหิมะนอกเมืองเสวียเหล่า มิได้อยู่ข้างลำธารเย็นของพรรคฉางเซิง แต่อยู่ในภูเขาร้างไร้ชื่อก่อนหน้านี้ ในพริบตาที่ชุดระบำดุจเปลวเพลิงของเหลียงหงจวงพุ่งเข้าใส่
นั่นเป็นพริบตาที่เขาเข้าใกล้ความตายมากสุด เพราะเหลียงหงจวงต้องการฆ่าเขาให้ตาย เพราะหลิวชิงซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ และที่สำคัญ ชีวิตของเขา มิได้อยู่ในกำมือของเขาเอง เขาควบคุมชีวิตตนเองไม่ได้
ไม่ว่าการเผชิญหน้ากับเงาดำของราชามารและขุนพลมารนับหมื่นนอกเมืองเสวียเหล่า หรือการเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าตบะแก่กล้าสิบกว่าคนของพรรคฉางเซิงข้างลำธารเย็น ตอนนั้นในมือเขาล้วนมีกระบี่ และเขาสามารถกวัดแกว่งกระบี่
ขอเพียงมีแรงและมีกระบี่อยู่ในมือ ฟ้าดินย่อมเป็นของเขา ซูหลี แม้ยมบาลอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่กลัว แต่…ห้วงเวลาก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากฝากชีวิตไว้กับเด็กหนุ่มนามเฉินฉางเซิงผู้นี้
โชคดีที่เด็กหนุ่มได้พิสูจน์ตนเองให้เห็นแล้วว่า เชื่อมั่นได้
“ครั้งนี้ข้าติดค้างชีวิตเจ้าแล้วจริงๆ”
ขณะมองดูเด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ ยามหลับ ซูหลีก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
……
……
นักฆ่าผู้นั้นยังคงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาร้าง ไม่รู้ทำไมถึงไม่ลงมือสักที หรือเป็นเพราะการแสดงออกและสถานะของเฉินฉางเซิง ทำให้เขาเกรงกลัวอยู่บ้าง หรือเป็นเพราะมือของซูหลีมิได้อยู่ห่างจากด้ามร่มกระดาษทอง
พอใกล้พลบค่ำ เฉินฉางเซิงก็ตื่นขึ้น สีหน้าเขาซีดขาวราวหิมะ ดวงตาไม่กระจ่างใสเหมือนเช่นเคย กลับเหมือนคนเมาค้างมากกว่า ดีที่ความคิดของเขาก็สงบลงได้ในที่สุด จึงไม่น่าเป็นอันตรายอะไร
เขาหันมองซูหลี ยังไม่ทันพูดจา ซูหลีก็พูดขึ้นก่อนอย่างเย็นชา “คิดจะพูดอะไร?”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนว่า “เรื่องในอดีต ข้าในฐานะคนรุ่นหลังย่อมไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงไม่สามารถตัดสินผิดถูก ผู้อาวุโสอาจมิได้ฆ่าคนผิดจริงๆ แต่การที่บุตรแก้แค้นแทนบิดาก็ไม่ถือว่าผิด ถ้าไม่มีใครผิด แต่กลับฆ่ากันไปมา เรื่องนี้ก็ต้องมีอะไรผิดพลาด”
“ที่สุดแล้วก็ชี้แนะจนได้” ซูหลีว่า
“ตอนอยู่บนที่ราบหิมะ ผู้อาวุโสมักบอกว่าตนไม่ใช่คนดี เพราะฆ่าคนมามาก ดังเช่นที่เห็น ผู้อาวุโสก็รู้ดีว่าการฆ่าคนมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เหตุใดจึงไม่แก้ไข?”
ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย เหมือนกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มพลางว่า “ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าอยากเป็นคนดี? เมื่อไม่อยากเป็นคนดี ทำไมต้องแก้ไข ทำไมต้องฆ่าคนให้น้อยลงด้วย?”
เฉินฉางเซิงจุก จึงพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ผู้อาวุโส ไฉนต้องเอาชนะในทุกๆ เรื่อง โต้เถียงในทุกๆ อย่างด้วย?”
“ต่างคนต่างแย่งกันพูด ถ้าไม่พูดก็จะลืมว่าอยากพูดอะไร ถ้าไม่เอาชนะ ไม่โต้เถียง แล้วจะให้อยู่อย่างไร?”
ซูหลีพูดอย่างสงบนิ่งและเยือกเย็น เฉินฉางเซิงจึงเงียบไปครู่ใหญ่
ตั้งแต่เฉินฉางเซิงรู้ความ ก็เอาแต่อ่านหนังสือ พอรู้ว่าร่างกายไม่แข็งแรงก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้อยู่ได้นานขึ้น ด้วยรู้สึกว่ามีชีวิตเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต การมีชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องงดงามที่สุด โดยไม่เคยคิดว่าจะอยู่อย่างไรจึงจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่
เขาคิดๆ ดู ก็คิดว่าไม่คิดต่อจะดีกว่า
เขาเข้าใจดี การมองชีวิตในแบบของตนเป็นการมองของเด็กหนุ่มจากชนบทที่แม้แต่ข้าวสักมื้อก็ยังไม่มีทางกินให้อิ่ม ส่วนคนอย่างซูหลีที่วันๆ กินเนื้อกินปลาอย่างดีมานานหลายปี ตอนนี้พอเริ่มกินผักเพื่อสุขภาพ ก็ย่อมต้องหาหลักปฏิบัติและคุณค่าทางใจจากอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนบนโลก นี่มิได้หมายความว่าเขามีอคติหรือขัดแย้งกับคนบนโลก ในทางกลับกัน เขาชื่นชมคนบนโลกมาก เพราะคนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่บนโลก ซึ่งจริงๆ แล้วการมีชีวิตอยู่ก็ควรเป็นเช่นนี้ หรืออย่างน้อยก็ควรอยู่อย่างมีความหมาย
“ศิษย์เขาหลีซานที่ชื่อเหลียงเสี้ยวเซียว…”
เรื่องที่เฉินฉางเซิงพบเจอในสวนโจว เรื่องที่เขายอมเล่าออกมา ส่วนใหญ่ก็เล่าให้ซูหลีฟังไปแล้ว รวมทั้งเรื่องของเหลียงเสี้ยวเซียว แต่รายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบ เขาเพิ่งเล่าเพิ่มให้สมบูรณ์ในวันนี้
โดยคิดว่า เมื่อประตูสวนโจวเปิดออกอีกครั้ง ขอเพียงชีเจียนกับเจ๋อซิ่วยังมีชีวิตอยู่ เหลียงเสี้ยวเซียวต้องถูกลงโทษแน่ แต่เมื่อผ่านการต่อสู้กับเหลียงหงจวง เขาก็รู้สึกอ่อนไหวต่อเรื่องของคนแซ่เหลียง จึงพูดให้ซูหลีพินิจพิเคราะห์ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าซูหลีจะมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้
พอได้ยินว่าเหลียงเสี้ยวเซียวแทงใส่ท้องน้อยชีเจียน สีหน้าซูหลีก็เคร่งเครียดลง คล้ายพายุฝนที่สะสมอยู่ภายในใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนสามารถปล่อยสายฟ้าออกมาได้ทุกเมื่อ
สุดท้ายซูหลีจึงว่า “มันต้องตาย”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ นี่เป็นเรื่องภายในเขาหลีซานของพวกท่าน แต่เหลียงเสี้ยวเซียวก็สมควรตายจริงๆ เพียงแต่เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวตายแล้ว และหลงเหลือเรื่องยุ่งยากไว้มากมาย
ซูหลีคิดออกแล้วว่าเหตุใดเหลียงเสี้ยวเซียวต้องสมคบคิดกับพวกมาร เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเขาหลีซาน ที่สำคัญคือเกี่ยวข้องกับสองคดีโลหิตระหว่างพรรคฉางเซิงกับคนทางใต้ที่เขาก่อขึ้นเองกับมือ จึงไม่อยากพูดมากนัก
“เจ้ามองออกได้อย่างไร?” เขามองเฉินฉางเซิงพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
นี่ย่อมเป็นคำถามที่ว่า เฉินฉางเซิงเห็นจุดอ่อนอาณาเขตดวงดาวของเหลียงหงจวงได้อย่างไร ถ้าตอบว่ากระบี่แรกเป็นการเดา แล้วเจ็ดกระบี่ต่อมาเล่า?
การที่เพลงกระบี่แต่ละกระบวนไร้ช่องโหว่ ย่อมไม่ใช่การคาดเดาแน่ หรือเขาฝึกเพลงกระบี่รอบรู้สำเร็จแล้ว?
เฉินฉางเซิงคิดอย่างรอบคอบ ให้แน่ใจสถานการณ์ในตอนนั้นก่อน แล้วจึงตอบ “เดาจริงๆ ขอรับ”
ซูหลีไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่จากสีหน้าที่ปราศจากการเสแสร้ง ที่สำคัญสุด เฉินฉางเซิงไม่มีเหตุผลที่ต้องหลอกลวงเขา ที่สำคัญสุดๆ เป็นไปไม่ได้ที่เฉินฉางเซิงจะสำเร็จเพลงกระบี่รอบรู้ในเวลาอันรวดเร็ว
สามารถเดาดวงดาวที่ขยับเขยื้อนจากดวงดาวเต็มท้องฟ้าได้นั้น อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอยู่แล้ว สามารถเดาช่องโหว่ของอาณาเขตดาวของผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาวได้ ยิ่งเหนือคาดหมายเข้าไปใหญ่ จึงไม่ต้องพูดถึงการเดาถูกติดต่อกันเจ็ดครั้ง
“ถ้าเจ้าอาศัยโชคช่วยจริงๆ โชคของเจ้าก็ดีจนไม่ใช่แค่โชคแล้ว”
ซูหลีมองเขาพลางว่า “เจ้าเป็นคนที่มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ “โชคชะตา?”
“สิ่งสำคัญสุดของผู้บำเพ็ญเพียรคืออะไร?”
“ความเพียร? ความตระหนักรู้?”
ซูหลีส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่ใช่ คือโชคต่างหากที่ทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพราะโชคดี จึงรอดพ้นอันตรายมาได้หลายครั้ง แต่แน่นอน โชคเป็นเรื่องชั่วคราว โชคชะตาเป็นนิรันดร์ ดังนั้นพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งข้าด้วย”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ค่อยถาม “สิ่งใดเป็นตัวตัดสินโชคชะตาหรือ?”
“ชีวิตอย่างไรล่ะ”
ซูหลีมองตาเขาพลางว่า “หรือพูดอีกอย่างก็คือ ชีวิตเจ้านั้นดีอย่างมาก”
พอได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก…ตั้งแต่เขาเกิดมา ก็มีแต่คนว่าชีวิตเขาไม่ดี ใครจะคิดว่าตอนนี้กลับมีคนบอกว่าชีวิตเขาดีมาก นี่ทำให้เขารู้สึกขบขันอยู่บ้าง ใจชื้นขึ้นบ้าง และเจ็บปวดอยู่บ้าง
……
……
กวางกับคนสองคู่ มุ่งหน้าสู่ใต้กันต่อ จนใกล้ถึงเมืองเทียนเหลียงในที่สุด การฝึกกระบี่ก็ก้าวไปอีกขั้น
หลังผ่านการต่อสู้กับเหลียงหงจวง ตอนนี้เฉินฉางเซิงชัดเจนแล้วว่าจุดอ่อนของตนอยู่ตรงไหน
อันดับแรก เขาต้องมีจิตวิญญาณและปณิธานที่กล้าแกร่งก่อน เขารู้แล้วว่าเหตุใดซูหลีจึงพูดเกริ่นว่า ขอเพียงมีประสบการณ์ ก็จะรู้เองว่าฤทธิ์เดชของเพลงกระบี่รอบรู้อยู่ที่พละกำลังที่เพียงพอ เพราะจำเป็นต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ มิฉะนั้นผู้ใช้กระบี่จะไม่สามารถแบกรับแรงกดดันจากการประมวลผลข้อมูลมหาศาล และอาจเป็นลมเสียชีวิตก่อนใช้กระบี่
ครั้งนั้น เขาคิดมีชัยเหนือผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาว จึงต้องฝึกการปล่อยพลังปราณให้ดีขึ้น เช่นนี้จึงสามารถฉวยโอกาสพลิกเกม จู่โจมคู่ต่อสู้กลับอย่างฉับพลัน หลีกเลี่ยงการเห็นช่องโหว่ของแปดเพลงกระบี่ ซึ่งการที่เขาไม่สามารถฆ่าเหลียงหงจวงให้ตาย เพราะสถานการณ์ในตอนนั้นเสี่ยงอันตรายมาก ถ้าเหลียงหงจวงแข็งแกร่งกว่านี้อีกนิด ต้านทานได้นานอีกหน่อย การประมวลผลของเฉินฉางเซิงก็ต้องสั่นคลอนจนล้มพับลง และเขากับซูหลีคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
และแล้ว ยามสนธยา ริมลำห้วยสายหนึ่ง ซูหลีจึงเริ่มถ่ายทอดเพลงกระบี่อีกชนิดให้เขา
“เจ้าปล่อยปราณแท้ได้แย่มาก เหมือนเด็กน้อยถือเข็มเย็บผ้าก็ว่าได้ ต่อให้เร็วอย่างไร ฟันไปสามพันหกร้อยแผล ก็ไม่มีปัญญาทำให้คู่ต่อสู้เสียชีวิต วันก่อนข้าจึงคิดเพลงกระบี่ขึ้นมาอีกหนึ่งเพลง”
ซูหลีมองดูเงาของเฉินฉางเซิงในลำห้วย พลางว่า “เจ้าอยากเรียนหรือไม่”
เฉินฉางเซิงไม่ตอบ ด้วยเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตอบ ผู้ใช้กระบี่ทุกคน ใครบ้างไม่อยากเรียนวิชากระบี่กับซูหลี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ซูหลีคิดเพลงกระบี่ขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ นี่ทำให้เขาตกตะลึง
เขามองดูเงาของชายวัยกลางคนในลำห้วยพลางอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็หมายความว่า หลังจากที่ค้นพบว่าการปล่อยปราณแท้ของเขามีปัญหา ซูหลีก็เริ่มคิดถึงปัญหานี้ จากนั้นก็ใช้เวลาไม่กี่วัน คิดค้นเพลงกระบี่ขึ้นใหม่อีกหนึ่งเพลง? อะไรคือพรสวรรค์? อะไรคือปรมาจารย์วิถีกระบี่? นี่แหละตัวจริงเสียงจริง
ซูหลีคล้ายไม่เห็นท่าทางของเขา จึงทำการอธิบายเพลงกระบี่รูปแบบใหม่อย่างสงบนิ่ง ส่วนเรื่องที่ว่าในใจซูหลีจะยินดีหรือไม่นั้น ก็รู้สึกได้จากคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยของเขา
เพลงกระบี่ชนิดนี้ชื่อว่า เพลงกระบี่สันดาป ยังคงมีกระบวนท่าเดียว พูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นวิธีเคลื่อนกระบี่อย่างหนึ่ง ถ้าบอกว่าเพลงกระบี่รอบรู้คือตัวช่วยให้ผู้ใช้กระบี่เห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ในขั้นรวบรวมดวงดาวแล้วละก็ เพลงกระบี่สันดาปก็คือตัวช่วยให้ผู้ใช้กระบี่ระเบิดพลังปราณกับกระบี่ได้เต็มที่ เป็นการเพิ่มพลังปราณในระยะเวลาอันสั้น สามารถทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัสได้
ซูหลีตั้งอกตั้งใจสอนเพลงกระบี่ทั้งสองชนิดให้เขา เหมือนพยายามช่วยให้ผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นทะลวงอเวจีสามารถข้ามขั้นไปปลิดชีพคู่ต่อสู้ในขั้นรวบรวมดวงดาวได้ การปล่อยปราณแท้ของเฉินฉางเซิงมีปัญหา เพลงกระบี่สันดาปจึงทำการแก้ปัญหานี้
ทว่าปัญหาคือ การคิดแก้ปัญหาจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน การยังไม่บรรลุเพลงกระบี่รอบรู้ เสี่ยงต่อการทำให้เฉินฉางเซิงกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เพลงกระบี่สันดาปสามารถแก้ปัญหาเรื่องการปล่อยพลังปราณ ก็จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าเช่นกัน
“คล้ายวิชาปลดปล่อยพลังของพวกมาร แม้ไม่ตาย แต่ก็พิการ” ซูหลีพูดต่อ “ข้าเคยบอกแล้วว่า ที่ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เจ้า เพราะหวังให้เจ้าคุ้มครองข้ากลับเขาหลีซาน จึงมิได้หวังดีอะไรกับเจ้า ส่วนจะเรียนหรือไม่ ก็แล้วแต่เจ้า”
เฉินฉางเซิงเดินขึ้นจากลำห้วย ในมือถือกิ่งไม้ที่แทงปลากะพงขาวอวบอ้วนไว้ตัวหนึ่ง สองเท้าที่เปลือยเปล่าของเขาเหยียบย่ำดวงอาทิตย์ที่ถูกเผาจนเป็นสีส้มในลำห้วย เขาเงยหน้ายิ้มให้ซูหลีโดยไม่พูดไม่จา
ซูหลียิ้มเยาะ “ปากแข็งแล้วยังซื่อบื้ออีก ใครเห็นก็ไม่รัก ห่างไกลจากชิวซานจวินของข้าอย่างยิ่ง”
เฉินฉางเซิงคิด ทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสคิดสอนเพลงกระบี่ตน แต่กลับหาข้ออ้างมามากมายเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้ตนจดจำบุญคุณ นี่ต่างหากคนปากแข็งซื่อบื้อตัวจริง แต่ก็น่าสนใจดี
ซูหลีจ้องมองเขาพลางว่า “พลังกระบี่มาจากเพลงกระบี่เผานภา เพลงกระบี่ที่ใช้คือเพลงกระบี่ลึกลับของกระบี่วิหคทอง แต่สิ่งสำคัญสุดคือพริบตาที่เผาไหม้ปราณแท้ ข้าต้องการให้เจ้าใช้พลังกระบี่จากเพลงกระบี่สุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน เพื่อเชื่อมโยงให้สมบูรณ์”
เฉินฉางเซิงกำลังใช้กระบี่สั้นหั่นปลา พอได้ยินตรงนี้ก็หยุดมือ เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก “เพลงกระบี่หลีซาน?”
“ถูกต้อง นี่เป็นจุดที่ยากที่สุดของเพลงกระบี่สันดาป”
ซูหลีว่าต่อ “การใช้เพลงกระบี่เผานภาเป็นการเพิ่มรูปแบบการใช้กระบี่ ทำให้กระบวนท่าโดดเด่นขึ้น การเผาไหม้ปราณแท้ต้องการจิตวิญญาณที่ไม่ครั่นคร้ามต่อความตาย”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยว่า “เข้าใจแล้ว”
ซูหลีจ้องตาเขาพลางว่า “ตอนใช้กระบี่ ต้องตัดสินใจว่ายอมพลีชีพ เจ้าเข้าใจจริงหรือ?”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น แล้วว่า “ผู้อาวุโส ข้าเคยฝึกกระบี่ชนิดนี้”
ซูหลีประหลาดใจยิ่ง มองตาเขาอยู่สักพักจึงว่า “เจ้าเด็กนี่…ทำไมไม่รู้จักรักษาชีวิตไว้บ้าง? จำไว้ อย่าคิดว่าชีวิตดีเกินไปจนทำอะไรบุ่มบ่ามได้”
“ผู้อาวุโส ท่านก็รู้ว่า ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” เฉินฉางเซิงโต้
ซูหลีเงียบอีกรอบ ก่อนว่า “ตอนนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ว่า…เด็กหนุ่มอย่างเจ้าแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรกันแน่”