คำพูดของเฉินฉางเซิงที่ว่าเคยใช้เพลงกระบี่ชนิดนี้ไม่ถึงกับถูกต้องทั้งหมด เท้าความถึงการต่อสู้รอบสุดท้ายในการสอบใหญ่ ที่เขาเตรียมใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน แต่กลับมิได้ลงมือจริงๆ ซึ่งจุดสำคัญของการใช้เพลงกระบี่นี้อยู่ที่ใจ โก่วหานสืออ่านใจเขาออก จึงขอถอนตัวก่อน ดังนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาเคยใช้เพลงกระบี่นี้ก็ไม่ผิดนัก
ซูหลีเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซานหมายความว่าอะไร ดังนั้นยิ่งมาเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจเด็กหนุ่ม แต่ในเมื่อเฉินฉางเซิงรู้จักเพลงกระบี่ และเคยใช้มัน ขั้นสุดท้ายของการฝึกเพลงกระบี่สันดาปจึงไม่น่าจะยากเย็นอะไร
เพลงกระบี่สันดาปเป็นเพลงกระบี่กระบวนท่าเดียว หรือเป็นวิธีโคจรพลังปราณชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการที่ซูหลีคิดค้นขึ้นจากการเฝ้าดูเฉินฉางเซิงในหลายวันที่ผ่าน ชนิดตัดเสื้อวัดตัวกันเลยทีเดียว
ปริมาณพลังปราณที่ผู้บำเพ็ญเพียรปล่อยออกมา หรือการสำแดงพลังนั้น ขึ้นกับความเร็วในการเผาไหม้แสงดาว ความกว้างของทางเดินชีพจร ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่ โดยยิ่งมีพรสวรรค์มาก พลังก็ยิ่งมีอานุภาพ การเผาไหม้แสงดาวและการปล่อยพลังปราณออกมาก็ยิ่งทำได้เร็ว เช่นเดียวกับสวีโหย่วหรงและชิวซานจวินที่มีพรสวรรค์มากับสายโลหิตแต่กำเนิด ข้อจำกัดของทางเดินชีพจรจึงไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงแสงดาวในร่างกายพวกเขามีปริมาณมากพอ ก็สามารถปล่อยพลังปราณได้อย่างไม่สิ้นสุด
ในร่างกายของเฉินฉางเซิงมีปริมาณแสงดาวไม่น้อย สามารถถอดจิตดูเองได้อย่างไม่มีปัญหา ปัญหาใหญ่คือเส้นชีพจรโคจรพลังปราณของเขาแคบเกินไป กระทั่งมีหลายเส้นที่ขาดออกจากกัน อานุภาพขณะปล่อยพลังปราณจึงลดลง
ในฐานะปรมาจารย์กระบี่แห่งยุค จุดเด่นของซูหลีอยู่ที่ รู้และเข้าใจโลกมากกว่าคนทั่วไป วิธีการแก้ปัญหาจึงแปลกประหลาดยิ่ง แต่จริงๆ แล้วกลับสมเหตุสมผลมากสุด
เขามิได้แตะต้องปริมาณพลังปราณในร่างของเฉินฉางเซิง และมิได้ลองแก้ปัญหาที่เส้นชีพจร แต่ใช้ความห้าวหาญชนิดหนึ่ง ฝากความหวังในการแก้ปัญหาไว้กับวิธีการเผาไหม้ของแสงดาว
ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่เสี่ยงคือเฉินฉางเซิง และผู้ที่ห้าวหาญก็คือเฉินฉางเซิง
“การเผาไหม้มีหลายวิธี หรือมีหลายรูปแบบก็ว่าได้ ซึ่งโดยทั่วไป จะเป็นไปอย่างประณีตและอ่อนโยน ด้วยการทำให้แสงดาวละลายเป็นน้ำใส หยดลงแล้วเคลื่อนที่ไปกับความคิด เช่นนี้จึงจะไหลลื่นดั่งสายน้ำได้ แต่สำหรับเพลงกระบี่นี้ เจ้าต้องใช้วิธีรุนแรงในการเผาไหม้ปราณแท้”
ซูหลีจ้องมองเขาพลางว่า “เหมือนกองขี้เลื่อยถูกผนึกไว้กลางอากาศ พอเกิดไฟลุก ขี้เลื่อยเหล่านี้ก็ถูกแผดเผา ทำให้พวกมันปล่อยพลังความร้อนออกมา คล้ายระเบิดก็มิปาน”
เฉินฉางเซิงฟังเขาพลางนึกภาพตามในใจ ก่อนพยักหน้าหงึกๆ
ซูหลีจึงพูดต่อ “การระเบิดสามารถช่วยยกระดับพลังปราณของเจ้าให้สูงขึ้น ทะลวงเส้นชีพจรที่ยุ่งเหยิงทั้งหลายของเจ้า ให้พลังฆ่าฟันของกระบี่ไปถึงจุดที่เกินความสามารถในการมองเห็นของเจ้า”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เฉินฉางเซิงว่า “แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเพลงกระบี่หลีซานกระบวนท่าสุดท้าย?”
ซูหลีจ้องตาเขาพลางว่า “เมื่อพลังปราณหลายสายเผาไหม้ขึ้นพร้อมกันในร่างกายเจ้าราวระเบิด ก็จะถ่ายเทไปที่กระบี่ ทำให้กระบี่มีพลังแสงเจิดจ้า จนคู่ต่อสู้แสบตา แต่ที่ยิ่งกว่าก็คือ อาจเผาไหม้จนเจ้ากลายเป็นคนปัญญาอ่อนไป หรือหลอมละลายจนร่างเจ้ากลายเป็นเถ้าธุลี ถ้าเจ้าไม่คิดพลีชีพ ก็ไม่สามารถบรรลุขั้นสุดท้าย”
เฉินฉางเซิงรู้สึกได้ว่าวิญญาณมังกรดำที่สถิตอยู่ในกระบี่สั้นคลับคล้ายมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้นึกถึงตอนถอดจิตมองดูตนเองที่บ่อน้ำใต้สะพานอุดรใหม่ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเศร้าใจไม่หยุด จึงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแท้จริงแล้วล้วนมีความหมาย
นึกถึงปฏิกิริยาของซูหลี ตอนตนบอกว่าเคยใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน แต่ข่มกลั้นไว้ไม่บอกซูหลีว่า แท้จริงแล้วตนมีประสบการณ์ในทำนองนี้อยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ก็มีทัศนคติต่อความผันผวนของความเป็นความตายแล้ว
ซูหลีอธิบายกระบวนท่าเพลงกระบี่สันดาปและเจตจำนงกระบี่ให้ฟังอย่างละเอียด แล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก ปล่อยให้เฉินฉางเซิงตระหนักรู้เอาเอง จากนั้นจึงหันมองภูเขายามเย็น และกอหญ้าเขียวขจีริมลำห้วยอย่างเงียบๆ
นักฆ่าผู้นั้นตอนนี้อาจอยู่ในกอหญ้าเขียวขจีนั่น
เฉินฉางเซิงไม่รีบร้อนทำความเข้าใจในเพลงกระบี่ เขาทาเกลือลงบนเนื้อปลาที่หั่นแล้ว จากนั้นจึงนำไปย่างบนกองไฟ เมื่อแน่ใจว่าศัตรูยังอยู่ ความแรงของไฟก็ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องใส่ใจอีก กลิ่นไหม้อ่อนๆ โชยมา ขณะที่เขามองตามสายตาซูหลีไปยังกอหญ้าเขียวขจีริมห้วยฝั่งตรงข้าม แล้วจึงส่ายหน้าในเวลาต่อมา คิดในใจ นักฆ่าผู้นี้มีความอดทนสูงจริงๆ สะกดรอยตามอยู่หลายวันแต่กลับไม่ลงมือเสียที เจ๋อซิ่วอาจจัดการได้ แต่ตนจัดการไม่ได้แน่
นักฆ่าซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าในเขามาตลอด สร้างแรงกดดันให้เขากับซูหลีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งสองคนชัดเจนดีว่า ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง นักฆ่าผู้นี้ต้องปรากฏตัวออกมา เพียงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น
“อย่างที่ผู้อาวุโสเคยบอกไว้ เจ้ารอเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้รอจนตายก็ไม่มีโอกาสหรอก”
เฉินฉางเซิงพูดกับนักฆ่าชื่อดังที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นในใจ “เพราะผู้อาวุโสกำลังสอนข้าใช้กระบี่ ข้าจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่สามารถฆ่าเราได้แล้ว”
หลังกินอาหารเรียบง่ายแต่รสชาติดีอย่างปลาย่างอวบๆ กับข้าวฟ่างนึ่งเรียบร้อย ซูหลีก็นั่งพิงกวางพื้นเมือง หลับตาพักผ่อน ส่วนเฉินฉางเซิงพอเก็บข้าวของเข้าที่ ก็เดินไปนั่งริมห้วย แล้วเริ่มทบทวนเพลงกระบี่อย่างจริงจัง
เขามองไปยังกอหญ้าฝั่งตรงข้าม พลางนึกถึงที่ราบหิมะหมื่นลี้ในร่างกาย ซึ่งหิมะเหล่านี้ก็คือแสงดาวที่เขาเก็บสะสมทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด คือรูปแบบเบื้องต้นของพลังปราณ คือที่มาของพลังในการต่อสู้ที่ผ่านมา
เขาในตอนนี้ต้องการสมาธิเพียงเล็กน้อย เพื่อจุดไฟเผาที่ว่างบนที่ราบหิมะซึ่งห่อหุ้มทะเลสาบแห่งภูเขาจิตวิญญาณเอาไว้ ให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังและสติปัญญาอันไม่สิ้นสุด แต่เพลงกระบี่ชนิดนี้ไม่ต้องการให้เขาทำแบบนี้ เพราะวิธีการเช่นนี้อ่อนโยนเกินไป ไม่รุนแรงพอ เป็นกระบวนการเปลี่ยนรูปแสงดาวให้เป็นพลังปราณได้อย่างเชื่องช้ายิ่ง
ส่วนเพลงกระบี่สันดาป ขึ้นอยู่กับการเผาไหม้
ต้องบ้าคลั่ง เด็ดเดี่ยว เผาร่างให้เหมือนไฟตอนเผาไหม้
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างลำห้วย ไม่พูดไม่จา มองดูแสงสนธยาค่อยๆ จางหาย แล้วจึงมองดูดวงดาวพร่างพราวบนฟ้า จนกระทั่งแสงเช้ากำลังจะปรากฏ
เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็ฝึกใช้จิตสัมผัสบนที่ราบหิมะ โดยไม่ต้องจุดไฟเผาละอองหิมะเหล่านั้น แต่ใช้พลังไร้รูปทำให้หิมะฟูฟ่อง จนลอยละล่องจากพื้นสู่อากาศจนได้
ดวงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า สีแดงกระจายไปทั่วทั้งภูเขา น้ำในลำห้วยก็แดง
ขณะมองดูกอหญ้าเขียวขจีที่คล้ายถูกเผาไหม้ในฝั่งตรงข้าม เฉินฉางเซิงก็ค่อยๆ ชักมือออกจากด้ามกระบี่
……
……
เริ่มเข้าสู่วันที่สามของการฝึกกระบี่สันดาป ข้างถนนสายหนึ่ง ในร้านน้ำชา เฉินฉางเซิงกับซูหลีก็พบนักฆ่าคนที่สามระหว่างทางลงใต้ เขาชื่อหลินผิงหยวน เป็นนักเลงในพื้นที่ทางเหนือ มีลูกน้องเดนตายที่สู้ถวายชีวิตให้มากมาย ว่ากันว่าคนผู้นี้กับเผ่ามนุษย์หมีบนที่ราบหิมะที่สวามิภักดิ์พวกมารอย่างลับๆ มีความสัมพันธ์อันคลุมเครือต่อกัน อาจเพราะเหตุนี้ เขาจึงวิเคราะห์เส้นทางที่ซูหลีใช้เดินทางลงใต้ได้อย่างแม่นยำกว่าใคร และนั่งรออยู่ที่นี่
เนื่องจากเรื่องนี้สำคัญมาก และเร่งด่วนมากเช่นกัน ลูกพี่ในพื้นที่ทางเหนืออย่างหลินผิงหยวนจึงพาลูกน้องที่จงรักภักดีมาแค่สิบกว่าคน แต่เมื่อรวมกันอยู่ในร้านน้ำชาเล็กๆ ก็ดูแออัดขึ้นถนัดตา
ในร้านน้ำชาไม่มีลูกค้า กลิ่นคาวโลหิตบางๆ โชยมา กาต้มน้ำชาเย็นเฉียบ มองไปก็รู้ว่าไม่ได้ต้มมาหลายวันแล้ว เถ้าแก่น่าจะเสียชีวิตไปแต่แรก ทว่าไม่รู้ว่าศพถูกฝังไว้ตรงไหน
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง กำลังมองดูน้ำชาที่ส่งกลิ่นทะแม่งๆ ในถ้วยอย่างเงียบๆ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
“ยินดีด้วย” ซูหลีมองเขาพลางว่า “เมื่อฆ่าคนผู้นี้ เชื่อว่าเจ้าไม่ต้องแบกภาระที่หนักมากจนเกินไปอีก”