ผู้สืบทอดต่างพากันหวาดหวั่นกันหมด พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น หยวนฉิงเทียนที่ดูเป็นคนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นได้ตบหน้าฉงเย่เข้าจริงๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น พลังตบของเขายังเหนือกว่าพวกเขาทุกคนด้วย
บนสังเวียน ม่านตาของฉงเย่หดลงและเขาก็ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป ความตกใจแสดงอยู่บนใบหน้าของเขา
หยวนฉิงเทียนได้เริ่มฝึกในสำนักอู๋ซินตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่ศักยภาพโดยทั่วไปของเขาไม่มีอะไรโดดเด่นเลย แล้วเขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?
มันเหมือนกับการที่หมาบ้านซึ่งถูกเลี้ยงมาเป็นสิบปีจู่ ๆก็คำรามเหมือนกับเสือ มันน่าหัวเราะและน่าทึ่งอย่างแท้จริง!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะตกใจ เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก
ต่อให้เป็นเสือ เขาก็ไม่กลัว
พูดให้ถูกก็คือเขาไม่กลัวใครทั้งนั้น ต่อให้คนๆนั้นจะแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อก็ตาม นี่คือความมั่นใจที่เขามีในฐานะสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งรัฐจิน
ในเวลาต่อมา ฉงเย่ก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด และท่าทีของเขาก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง
หลังจากนั้นในทันที ออร่าอันน่าหวาดหวั่นก็ปะทุขึ้นจากร่างกายของเขา มันคือแรงกดดันที่มากกว่าครั้งก่อนๆหลายเท่าตัว
ในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลินจินหรือเย่หวู่เชิงนั้น เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่ตอนนี้ เขากำลังปล่อยพลังทั้งหมดออกมาโดยไม่ยับยั้งเอาไว้เลย
โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์กับหยวนฉิงเทียน ในเวลานี้มีเพียงความคิดเดียวอยู่ในหัวของเขา
เขาต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้!
ตูม!
มีเสียงระเบิดดังสนั่น!
ความหนาวเย็นมารวมกันที่ฝ่ามือของฉงเย่ และออร่าอันน่าหวาดหวั่นก็ปะทุขึ้น หยวนฉิงเทียนไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขา เพราะเขาถูกอัดกระเด็นไปหลายสิบเมตรจนเกือบจะตกจากสังเวียน
หยวนฉิงเทียนที่รักษาสมดุลของตัวเองได้ทันเวลา อุทานขึ้นมาด้วยความประทับใจในดวงตาของเขา “พี่ใหญ่ฉง สมแล้วที่ท่านมีชื่อเสียงในฐานะสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งรัฐจิน ข้าด้อยกว่าท่าน แต่ว่าข้ามีการเคลื่อนไหวที่อยากจะขอการชี้แนะจากท่าน”
หลังจากที่พูดจบ ร่างกายของหยวนฉิงเทียนก็ค่อยๆเลือนหายไปจนไร้ซึ่งร่องรอยในที่สุด
“วิชาลอบเร้นเหรอ?”
เฉินเฉินที่อยู่บนแท่นสูงเองก็ตกใจในตอนที่เขาเห็นฉากนี้
มันเป็นเพราะเขามองไม่เห็นเลยว่าหยวนฉิงเทียนอยู่ที่ไหน
‘ถ้าเขามีทักษะการลอบเร้นที่เก่งขนาดนั้น แล้วคนที่อยู่ระดับเดียวกันจะต่อสู้กับเขาได้ยังไง?’
เฉินเฉินเห็นแม้กระทั่งความสับสนในดวงตาของผู้อาวุโสแก่นทองคำที่เป็นผู้ตัดสิน แม้กระทั่งผู้อาวุโสแก่นทองคำก็ยังไม่เห็นตัวหยวนฉิงเทียน… มีวิชาลอบเร้นที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?
แบบนี้ก็หมายความว่าเขาสามารถถ้ำมองได้โดยที่ไม่ถูกจับได้หน่ะสิ?
‘เอ้ะ! นี่ข้าคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!?’
เฉินเฉินส่ายหัวแล้วมองไปที่สังเวียนต่อ
ในขณะที่พวกผู้สืบทอดกำลังอึ้งกันอยู่ หยวนฉิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างกะทันหันเหนือฉงเย่แล้วทุบหมัดลงมาที่กะโหลกของเขา
ฉงเย่ตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ขยับเลย เขาแค่ซัดหยวนฉิงเทียนกระเด็นไปข้างหลังด้วยแรงกดดันวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
หลังจากที่หยวนฉิงเทียนถูกส่งกระเด็นไปข้างหลัง เขาก็หายตัวไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นแบบนี้ ใบหน้าของฉงเย่ก็ค่อยๆหดหู่
เขารู้ว่าหยวนฉิงเทียนฝึกวิชาสายลมกำบังมา แต่ว่ามันแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
วิชาลอบเร้นที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้อาจจะน่ากลัวว่าวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอดด้วยซ้ำ!
‘หยวนฉิงเทียนรู้วิธีทำแบบนี้ได้ยังไง?’
ฉงเย่หลับตาและไม่คิดอะไรอีก
เขาฝึกวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอดมาและสามารถตรวจจับอารมณ์ของคนอื่นได้ ดังนั้น ต่อให้ไม่เห็นตัวหยวนฉิงเทียน เขาก็ยังสามารถจับร่องรอยของเขาได้อยู่
“ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความรัก ไม่มีความหลง… น่าประหลาดใจจริงๆ นี่คืออีกคนที่ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวใดๆสินะ”
หัวใจของฉงเย่หนักอึ้งเล็กน้อย ทันใดนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปั่นป่วนที่ปรากฎขึ้นข้างหลังเขา
หลังจากที่สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ฉงเย่ก็หันหลังกลับแล้วกระแทกฝ่ามือออกไปอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นเงาที่มองไม่เห็นกระถูกกระแทกถอยกลับไปหลายสิบเมตร พร้อมกับมีเลือดกระจายในอากาศ
อย่างไรก็ตาม ร่างของหยวนฉิงเทียนไม่ได้ปรากฎขึ้น
เมื่อเห็นเลือดสดๆ สายตาของฉงเย่ก็เป็นประกายและจมูกของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
ด้วยกลิ่นเลือด เขาก็พบอีกร่องรอยของหยวนฉิงเทียน เขากระแทกฝ่ามืออีกครั้ง แล้วความหนาวเย็นก็กระจายออกมา
ครั้งนี้ หยวนฉิงเทียนไม่โดน แต่เลือดถูกโปรยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนัก มันก็กระจายไปทุกทิศทาง
ด้วยวิธีนี้ ฉงเย่จึงไม่สามารถพึ่งพากลิ่นเลือดในการหาตำแหน่งของหยวนฉิงเทียนได้อีกต่อไป
“ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมจริงๆ”
เมื่อเห็นฉากนี้บนแท่นสูง เฉินเฉินก็ตกใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาเองก็ตกใจกับความแข็งแกร่งของฉงเย่ด้วย แม้ว่าเขาจะมีระบบอยู่กับตัว ทำให้เขาสอนบทเรียนที่แสนสาหัสกับหยวนฉิงเทียนได้ในเวลาไม่กี่นาที แต่เขาก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยวนฉิงเทียนถ้าเขาไม่มีระบบ
ถึงยังไง วิชาหายตัวนั่นก็น่าเหลือเชื่อเกินไป
“พี่ใหญ่ฉง ท่านแข็งแกร่งจริงๆ”
เสียงที่แหบแห้งของหยวนฉิงเทียนดังก้องไปทั่วสังเวียน ฉงเย่เงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหัวของเขาอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เอง พื้นดินก็แตกออก จากนั้นเงาล่องหนก็พุ่งออกมาจากพื้น
สีหน้าของฉงเย่แข็งทื่อในขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นแห่งความตื่นเต้นอย่างสุดขีด
โดยไร้ซึ่งความลังเล ฉงเย่ก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวในขณะที่ออร่าในร่างกายของเขาปะทุด้วยพลังเต็มที่ จากนั้นเขาก็กระแทกมือไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา!
ตูม!
ด้วยเสียงระเบิด ร่างของหยวนฉิงเทียนก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ร่างของเขากระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ และกระแทกกับแท่นสูงของสำนักอันดับหนึ่งอย่างรุนแรง
แท่นสูงถล่มลงมาและหยวนฉิงเทียนก็ร่วงมาที่พื้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด
“ฉงเย่แห่งสำนักอู๋ซินเป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้!” ผู้อาวุโสแก่นทองคำรีบประกาศ ด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างมากในเวลาเดียวกัน
เขารู้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถตรวจจับร่องรอยของหยวนฉิงเทียนได้เลย แต่ผู้สืบทอดสามารถทำได้ ดังนั้น เขาจึงนับถือฉงเย่จริงๆ
“หึหึ…ฮ่าฮ่าฮ่า!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาประกาศอยู่นั้น ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากซากของแท่นสูง
เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ และค่อยๆแสดงให้เห็นถึงความโรคจิต ในท้ายที่สุดนั้น ทุกคนในสนามประลองก็อดสั่นกับเสียงที่พวกเขาได้ยินไม่ได้
ด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง ฉงเย่ก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วถามอย่างเย็นชา “หยวนฉิงเทียน เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน เขาก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกับหยวนฉิงเทียนคนนี้ ในเมื่อเขาเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงของเขามาตั้งหลายปี ก็แสดงว่าเขาต้องปิดบังเรื่องใหญ่บางอย่างเอาไว้อย่างแน่นอน!
เมื่อได้ฟังคำถาม เสียงหัวเราะก็หยุดลงในทันที และถูกแทนที่ด้วยคำตอบอันแสนโหดร้าย
“ข้าหยวนฉิงเทียน ว่าที่หัวหน้าสาขาที่ 2 ของสำนักอสูรรัฐโจว”
ผู้สืบทอดทุกคนมองหน้ากันเอง พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
สาขาที่ 2 ของสำนักอสูรเป็นที่รู้จักกันในฐานะสาขาทมิฬ ที่มีหน้าที่ในการลอบสังหาร พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยของสาขาที่สองนี้จะลอบเข้ามาในรัฐจิน นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่นี่มานานแล้วด้วย
ในตอนนี้เอง เฉินเฉินก็ได้ข้อสรุปขึ้นมา
เขาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับสำนักอสูรมามากมายจากอาจารย์
มีข่าวลือว่าสาขาที่ 2 ของสำนักอสูรมีวิชาลอบเร้นที่น่าเหลือเชื่อซึ่งไม่มีใครเรียนรู้ได้ในเวลาหลายร้อยปี
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าสิ่งจำเป็นในการฝึกฝนวิชานี้มันมีความเฉพาะอย่างมาก
มันต้องการมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งกลางๆและคนที่จะถูกหลงลืมในตอนที่อยู่ร่วมกับฝูงชน
ข่าวลือบอกเอาไว้ว่าที่จุดสูงสุดของวิชานี้ แม้แต่สวรรค์ก็จะหลงลืมคนผู้นั้น
การหายตัวเป็นแค่ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อย ในตอนที่ฝึกตนไปถึงระดับที่ลึกซึ้ง ภัยพิบัติจากสวรรค์ก็คงไม่ปรากฎขึ้นในระหว่างการทะลวงขั้นการฝึกตนของเซียน
‘นี่คือวิชากำบังศักดิ์สิทธิ์ที่หายสาบสูญไปนานสินะ…ไม่แปลกใจเลยที่มันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆที่คนหล่อเหลาอย่างข้าไม่ได้ถูกกำหนดให้มีโอกาสฝึกฝนวิชาที่น่าประทับใจนี้’
ในขณะที่เฉินเฉินครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ร่างกายของฉงเย่ก็ซวนเซอย่างกะทันหัน และถูกกลืนกินด้วยควันสีดำในขณะที่หยวนฉิงเทียนหัวเราะคิกคัก
“ฉงเย่ เจ้าพึ่งโดนมีดกลืนกินวิญญาณจากสาขาทมิฬของข้าเฉือนเนื้อไป มีดเล่มนี้ถูกอาบด้วยพิษหนึ่งพันปีของสาขาที่ 6 เวทมนตร์คำสาปของสาขาที่ 8 และศพตายโหงอายุ 10,000 ปีของสาขาที่ 12!
“ฮ่าฮ่า นี่แหล่ะคือสุดยอดพิษทั้งสาม ซึ่งข้าเรียกว่าความพิโรธของมนุษย์! มันถูกออกแบบมาเพื่อฆ่ายอดฝีมืออย่างเจ้า! ข้าอาจจะแพ้ในการประลองนี้ แต่เจ้า ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของรัฐจินจะต้องตาย! ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าไม่ได้แทรกซึมเข้ามาในรัฐจินอย่างสูญเปล่าแล้ว!”
คำพูดที่จองหองพวกนี้ดังก้องไปทั่วทั้งสนามประลอง และก่อให้เกิดความโกลาหลในทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ออร่าที่น่ากลัวและน่าเกรงขามต่างๆได้ปรากฏขึ้นเหนือสังเวียนอย่างกะทันหัน