เฉินเฉินนั่งลงในห้องโถงไร้หัวใจเป็นเวลานาน มีความคิดมากมายแล่นอยู่ในหัวของเขา
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉงเย่ถึงไม่ได้ทำให้เขายุ่งยาก มันเป็นเพราะว่าเขาไม่มีใครให้ใช้งาน
เขาสามารถที่จะจัดการกับเซี่ยวฮวง ซวนฮงและคนอื่นจากสิบแปดสำนักด้วยตัวเองได้ ยังไงก็ตามเย่หวู่เชิงมันจัดการยากเกินไป
ตั้งแต่ที่ฉีปู่ฝานตายไปแล้ว เขาจึงพึ่งได้แค่ตัวเองเท่านั้น เพื่อที่จะไม่ทำให้การประลองจัดอันดับสามสิบหกสำนักพัง
แน่นอนว่าเฉินเฉินไม่ได้คาดคิดว่าฉงเย่จะทำตามสัญญาที่จะปล่อยเขาไปหลังจากจัดการเย่หวู่เชิง
คนที่เขาเชื่อใจได้ในยามคับขันมีเพียงแค่คนข้างกายเขาเท่านั้น
ยังไงก็ตามเขายังคงมีความสงสัยอยู่ในตัวของหยวนฉิงเทียนที่ทำตัวเป็นหุ่นอยู่
ตั้งแต่ที่ฉงเย่เลือกที่จะใช้งานเฉินเฉินแล้ว นั่นหมายความว่าเขาไม่มีใครอื่นให้ใช้งานและมันแปลว่าเขาไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนของหยวนฉิงเทียนสูงมากเพียงใด
‘หยวนฉิงเทียนเป็นคนของสำนักอู๋ซิ่นหรือเปล่าเนี่ย? หรือว่า…’
ความคิดที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้โผล่ขึ้นมาในหัวของเฉินเฉิน
เขารู้สึกว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในการประลองจัดอันดับวันนี้
ยังไงก็ตาม ไม่สำคัญว่ายังไง เขาจะต้องไปแจ้งกับอาจารย์ของเขาก่อน
ไม่ว่าสำนักอู๋ซิ่นจะโจมตีเขาหรือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของการประลองจัดอันดับก็ตามที เขาก็มั่นใจ ตราบเท่าที่อาจารย์อยู่เคียงข้างเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฉินลุกขึ้นและเดินออกไปโดยไร้ความลังเล หลังจากที่เขาเดินออกไปจากพระราชวังแล้ว เขาก็หยิบเหรียญตราออกมาแจ้งให้กับเซี่ยวอู่โยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉินเฉินกลับไปยังโรงเตี๊ยมหยีหลานและพบว่าทุกคนต่างตื่นเต้นกับการกลับมาอย่างปลอดภัยของเขา
ยังไงก็ตามเฉินเฉินกลับไม่มีความสุข เขากลับเริ่มเตรียมแผนการหลายอย่างเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ผู้อาวุโสจ้าว ถ้าข้าถูกจับกุมไปหลังจากการประลองหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเจ้าหนีไปก่อนนะ เข้าใจไหม? ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า” เฉินเฉินแจ้งผู้อาวุโสจ้าวอีกครั้งหนึ่ง
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ข้าไม่ตายง่ายๆหรอก ถ้าพวกเจ้ายังอยู่กับข้า ข้าคงไม่สามารถจะหนีไปไหนได้”
เฉินเฉินดูจริงจังหลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้นจบ เขาหันหลังและเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมก่อนที่พวกเขาจะเถียงกลับมาได้ เขาเดินมุ่งตรงไปยังสังเวียน
แน่นอนว่าเขาจะไม่ตายอย่างง่ายดายหรอก ยกเว้นว่าเขาจะพบกับผู้ฝึกตนที่สามารถเผาเขากลายเป็นขี้เถ้าโดยการตบเพียงครั้งเดียว ไม่อย่างงั้นแล้วด้วยสมบัติสวรรค์ที่เขามีในแหวนเก็บของ เขาจะฟื้นตัวได้ในนาทีเดียว
…
ชั่วครู่ต่อมา ด้านบนสังเวียน
ผู้สืบทอดทั้งสามสิบหกสำนักต่างรวมตัวกัน แต่คนจากสิบแปดสำนักหายไป
เวทีที่ถูกจัดไว้สำหรับสำนักที่สอง ซึ่งมันถูกเผื่อไว้ให้กับฉีปู่ฝานนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงแค่ธงของสำนักหลัวโยวที่โบกสะบัดไปมา
นอกจากนี้แล้ว สองในสิบก็หายไปเช่นกัน
เหตุผลมันเป็นเพราะว่า…
ผู้สืบทอดทุกคนต่างมองไปที่เฉินเฉินที่นั่งอยู่บนที่ที่จัดไว้ของสำนักลำดับ 14
มันเป็นเพราะเขา!
เมื่อคืนก่อน เขาได้สังหารผู้สืบทอดไปสามคนบนถนน รวมทั้งฉีปู่ฝานที่เป็นอันดับสอง
เมื่อมีความคิดนี้ปรากฏขึ้นแล้ว ฝูงชนต่างมองไปที่เฉินเฉินด้วยความประหลาดใจ มันเป็นความรู้สึกนับถือที่พวกเขามีต่อผู้เก่งกาจ
แม้ว่าโยวหลานซินที่อยู่ข้างกายเฉินเฉินยังระมัดระวังคำพูดของเธอเองเลย
“ศิษย์พี่เฉินคะ…อะแฮ่ม เมื่อคืนที่ข้าพนันหินวิญญารไปกับฉีปู่ฝานไปสองร้อยนั่น ข้าขอโทษ…”
“ไม่เป็นไร” เฉินเฉินตอบกลับอย่างนิ่งเฉย
ในตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเกี่ยวกับหินวิญญาณ
เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเฉินเฉิน หัวใจของโยวหลานซินสั่นสะท้านเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นเธอก็หยิบกระเป๋าเก็บของออกมาและโยนให้กับเฉินเฉิน
“โรงพนันคืนหินวิญญาณของพี่ให้กับข้าและเจ้าของต้องการให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้กับพี่ เขาหวังว่าพี่จะไว้ชีวิตเขาค่ะ”
เฉินเฉินรับกระเป๋าเก็บของไป เขาเหลือบตามองไปข้างในและพบว่ามีหินวิญญาณอยู่ในนั้นสามหมื่นก้อน
มันเห็นได้ชัดว่าฉีปู่ฝานเลือกที่จะมอบหินวิญญาณของฉีปู่ฝานให้กับเขา
มันสมเหตุสมผลที่เขาหวังว่าเฉินเฉินจะไม่ฆ่าเขาทิ้ง ถ้าเขาเลือกที่จะเอาเงินพนัน นักพนันและโรงพนันทั้งหมดในเมืองหลวงคงจะต้องปิดตัวหรือเลิกกันทั้งหมดแล้วละ
แม้ว่าโรงพนันจะไม่ต้องจ่ายเงินคืน ธุรกิจของพวกเขาก็คงจะพังอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครเลือกที่จะพนันอีกต่อไป
เพียงแค่เฉินเฉินกำลังจะเก็บกระเป๋าของไป ฉงเย่ที่อยู่ห่างออกไปพูดขึ้น
“เมื่อคืน ผู้สืบทอดสำนักหลัวโยวและสำนักเทียนหยุนเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจะขึ้นมาอยู่อันดับสอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กลุ่มผู้สืบทอดต่างมองไปที่เฉินเฉินอย่างระมัดระวัง
พวกเขาต่างรู้ดีว่าฉงเย่และเฉินเฉินแอบพบกันอย่างลับๆ ตัดสินจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว มันเหมือนว่าสำนักเทียนหยุนได้เข้าร่วมกับสำนักอู๋ซิ่น
สายตาที่ดูสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของซวนฮง เซี่ยวฮวง เย่หวู่เชิงและคนอื่น
อันดับสองนั้นเป็นที่ที่จัดไว้ให้กับสำนักมังกรมรกต ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักศักดิ์สิทธิ์
“ฉงเย่เลือกที่จะวางแผนเช่นนั้นไว้เพื่อทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพวกเรา”
หลังจากที่พึมพำกับตัวเงอแล้ว เฉินเฉินลุกขึ้นไปนั่งบนสำนักอันดับสองโดยที่ไม่ปฏิเสธอะไร เพียงเวลาไม่นานสำนักเทียนหยุนก็ถูกแทนที่โดยสำนักหลัวโยว
เมื่อเห็นดังนี้ ฉงเย่ก็ฉีกยิ้ม
เขาหันไปมองผู้สืบทอดทั้งหมดที่อยู่และพูดอย่างเย็นชา “ให้วันสุดท้ายของการประลองจัดอันดับเริ่มต้นขึ้นด้วยเถอะ”
ทันทีที่การประลองจัดอันดับเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์ก็เกิดขึ้นตามที่เฉินเฉินคิด
มันแทบจะเงียบอยู่ตลอดเวลา มันเกิดการท้าชิงขึ้นระหว่างคนที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร ซึ่งมันเป็นการต่อสู้สลับตำแหน่งกันและสำนักที่โดนท้าชิงก็ยอมแพ้อย่างง่ายดาย
ทุกคนต่างรอคอยการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในตอนกลางวัน
เย่หวู่เชิง เซี่ยวฮวงและคนอื่นต่างไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ ในตอนนี้พวกเขาเลือกที่จะปกป้องตัวเอง สำหรับพันธมิตรของพวกเขาแล้ว พวกเขาคงจะทำได้แค่ภาวนาเท่านั้นแหละ
พันธมิตรระหว่าง 36 สำนักมันบอบบางมาก
เพียงแค่นั้นเองตอนเช้าก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันแทบจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญต่อสู้กันเลย
ในช่วงตอนกลางวัน บรรยากาศของทั่วทั้งสนามก็เปลี่ยนไป
มันไม่ผ่อนคลายเหมือนกับตอนเช้าอีกแล้ว มันกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดและมีร่องรอยที่สื่อถึงการสังหารหมู่
ในเวลาเดียวกัน เย่หวู่เชิงและคนอื่นต่างจับตามองไปที่ฉงเย่
ตราบเท่าที่ฉงเย่ใช้โอกาสของเขาในการท้าชิงกับอีกคนและกลับไปยังอันดับหนึ่ง มันก็ถึงเวลาของพวกเขาที่จะจัดการเรื่องราวที่ติดค้างไว้กับสิบแปดสำนัก
ในตอนนี้สิบแปดสำนักที่ไม่มีฉีปู่ฝานนั้นไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรสักนิด
เฉินเฉินลงไปนอนก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ก่อปัญหาได้
ยังไงก็ตาม เฉินเฉินจะโจมตีพวกเขา? พวกเขาไม่มีไอดีเลยสักนิด มันจะต้องเป็นการพนันครั้งใหญ่
มองไปที่เย่หวู่เชิงและคนอื่นแล้ว ฉงเย่เหลือบตามองไปที่เฉินเฉิน เขาพยายามที่จะเตือนเขาด้วยสายตา หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในสังเวียน
“ฉงเย่ของสำนักอู๋ซิ่นต้องการที่จะท้าชิงหยวนฉิงเทียนของสำนักวายุซ่อนเร้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้ว เย่หวู่เชิงและคนอื่นต่างกำหมัดแน่น
เมื่อฉงเย่แทนที่หยวนฉิงเทียนและกลับไปยังอันดับหนึ่ง มันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเริ่มท้าชิง!
ยังไงก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมามันทำให้พวกเขาตกตะลึง!
หยวนฉิงเทียนที่ทำตัวเป็นหุ่นประดับไม่ได้ยอมแพ้ทันที เขากลับบินขึ้นไปบนสังเวียน
ฉงเย่มองไปที่หยวนฉิงเทียนที่อยู่ด้านหน้าเขา ฉงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘นี่มันหมายความว่ายังไง? เขาต้องการสู้กับข้าเนี่ยนะ?’
ก่อนที่เขาจะคิดออก หยวนฉิงเทียนเคารพต่อฉงเย่และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ “ศิษย์พี่ฉงเย่ครับ ท่านเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในรัฐจินและข้านับถือท่านมานานแล้ว ข้าต้องการที่จะต่อสู้กับท่านอย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง ได้โปรดทำตามความปรารถนาของข้าด้วยเถิดครับ”
“หยวนฉิงเทียน เจ้าบ้าไปแล้วหรือยังไง?” ฉงเย่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
‘นี่มันใช่เวลาการประมือหรือยังไง?’
‘นอกจากนี้แล้ว ผู้สืบทอดทั้งสามสิบหกสำนักต่างรู้ว่าเจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าสู้กับเจ้าเนี่ยนะ? ไม่ใช่มันจะบอกว่า 36 สำนักว่าข้าฉงเย่ไม่สามารถที่จะควบคุมคนของตัวเองได้อย่างไรกัน?’
“ศิษย์พี่ฉง ข้าไม่ได้เสียสติอะไร ข้าหวังว่าท่านจะทำตามความปรารถนาของข้า” หยวนฉิงเทียนโค้งตัวมากกว่าเดิม น้ำเสียงของเขาดูจริงใจมาก
ตาของฉงเย่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวและเขาพูดออกมาอย่างเย็นชา “ตั้งแต่ที่เจ้าต้องการได้รับบทเรียนแล้วสินะ อย่าโทษข้าละกันถ้าข้าทำร้ายเจ้าแรงไป!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ออร่าแก่นทองคำครึ่งหนึ่งก็ระเบิดออกและเขาพุ่งเข้าใส่หยวนฉิงเทียนด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ก่อนที่จะฟาดไปที่หัวใจของหยวนฉิงเทียน
แรงระเบิดมันรุนแรงมากกว่าที่เขาโจมตีใส่เย่หวู่เชิงและหลินจินก่อนหน้านี้เสียอีก มันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาหงุดหงิดอย่างมาก!
บึ้ม! มันเกิดการแรงระเบิดที่น่าตกตะลึงขึ้น!
ผู้สืบทอดมองไปที่หยวนฉิงเทียนอย่างตกตะลึง เนื่องจากเขาฟาดฝ่ามือกลับไปยังฉงเย่และทั้งสองคนต่างปะทะกันอย่างสูสี ออร่าที่น่าหวาดหวั่นระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทาง มันทำให้สังเวียนพังลง
ยังไงก็ตามหยวนฉิงเทียนไม่ได้ล่าถอย
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น เฉินเฉินตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เขาได้สังเกตเห็นแสงในดวงตาของหยวนฉิงเทียนส่องประกายออกมา
มันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาวางแผนการอะไรบางอย่างเอาไว้
นั่นหมายความว่า….ตัวแปรของการประลองจัดอันดับ 36 อันดับได้ปรากฏตัวขึ้น