บทที่ 511: กระบี่เทพศิลาจันทร์

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

เมื่อกระบี่กึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้นบนโลกนี้ ก็เหมือนกับว่าสมบัติได้บังเกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนั้น จนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ในรัศมีกว่า 1,000 กิโลเมตรมารวมตัวกันรอบๆซูหยาง

 

ยามเมื่อปราณไร้ลักษณ์มารวมตัวกันใกล้กับซูหยางแล้ว กระบี่นั้นก็สั่นสะเทือน เกิดประกายแสงอันลึกล้ำ ก่อนที่จะดูดซับปราณไร้ลักษณ์ที่อยู่ใกล้ๆจนหมดในเกือบทันที

 

“ส-สมบัติประเภทไหนกันนี่”

 

ไม่เพียงแต่แค่ฟูกวาง แต่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นต่างพากันตกใจจนพูดไม่ออกกับการปรากฏตัวขึ้นของสมบัติลึกลับนี้

 

“กระทั่งสมบัติวิญญาณระดับเทพขั้นต่ำที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้าก็ยังมิอาจที่จะปลดปล่อยกระแสพลังเช่นนั้นได้” ซีซิงฟางกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

 

เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ ก็ยังมีระดับเทพ และในทั้งทวีปตะวันออกนี้ ก็มีสมบัติระดับนี้ปรากฏอยู่เพียงชิ้นดียว ซึ่งเป็นของตระกูลซี แต่ทว่ากระบี่ที่สวยงามในมือของซูหยางนั้นปลดปล่อยกระแสพลังที่เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับเทพมากนัก ซึ่งเพียงบอกได้ว่ามันอยู่เหนือกว่ากระทั่งสมบัติระดับเทพ

 

ในเวลานั้น ที่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากสถานที่แห่งนั้น ภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชิวเยว่พลันลืมตาขี้นอย่างรวดเร็วเมื่อเธอรู้สึกถึงการไหลของปราณไร้ลักษณ์ที่ผิดปกติ

 

“ความรู้สึกนี้คือ…”

 

เธอหยุดการฝึกวิชาของตนเอง และรีบออกไปจากบ้านในทันที และพุ่งทะยานไปยังตำแหน่งของซูหยาง

 

เมื่อเธอเข้าใกล้พอที่จะเห็นสัตว์อัญเชิญ และกระบี่ในมือของซูหยาง เธอก็ลืมตาโพลงด้วยความประหลาดใจ

 

“กระบี่เทพศิลาจันทร์”

 

ชิวเยว่ประหลาดใจที่เห็นกระบี่ของเธอถูกเขาใช้ กระบี่เทพศิลาจันทร์นั้นเป็นสมบัติของวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์ และครั้งหนึ่งเคยถูกใช้โดยเยว่ไฮ่ แม่ของเธอ แต่เมื่อเธอวิ่งหนีจากวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์นั้น ชิวเยว่ได้ขโมยกระบี่และนำมันไปกับเธอด้วย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์จึงไล่ติดตามเธอสุดชีวิต ในเมื่อเธอมีหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของพวกเขา

 

“พ่—ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น” ชิวเยว่พุ่งเข้าไปยืนข้างกายเขาพร้อมกับถาม

 

“ท-ท่านคือ”

 

เมื่อคนอื่นเห็นชิวเยว่ พวกเขาก็ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ

 

“เทพธิดาจากเมื่อตอนนั้น” ซีซิงฟางร่างสั่นสะท้านหลังจากที่รู้สึกถึงตัวตนอันพ้นโลกของชิวเยว่

 

“บ้าแล้วนั่นใครกัน ข้ารู้สึกถึงลางร้ายที่มาจากตัวเธอ… เธอเป็นคนที่อันตรายที่สุดคนหนึ่ง…” ฟูกวางจ้องมองไปยังชิวเยว่พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น เพราะว่านิกายล้านอสรพิษไม่ได้รั้งอยู่หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ ฟูกวางจึงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของชิวเยว่

 

“ท-ท่านคืออาจารย์ของซูหยาง ถ้าเป็นท่าน ซึ่งกระทั่งปรมาจารย์ยังต้องก้มหัวให้ ท่านต้องสามารถเอาชนะสัตว์อสูรนั่นได้ใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงพลันกล่าวขึ้นขณะที่ชี้ไปยังอสรพิษโลหิตปีศาจ

 

“อาจารย์รึ” ชิวเยว่หันไปมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้ามิใช่อาจารย์เขา”

 

จากนั้นเธอก็หันไปมองดูอสรพิษโลหิตปีศาจพร้อมกับเลิกคิ้ว กล่าวว่า “ระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณรึ แม้ว่าพลังการฝึกปรือของมันจะดูสูง แต่พลังภายในของมันไม่เสถียร เจ้านี้มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับสองหรือสามเขตราชันย์วิญญาณเป็นอย่างมาก”

 

“ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องการให้ข้าฆ่าสัตว์ร้ายนี้ไหม” เธอถามซูหยางด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว ราวกับว่าอสรพิษโลหิตปีศาจนี้ไม่ต่างไปจากงูธรรมดาในสายตาของเธอ

 

“ไม่ นี่เป็นโอกาสอันดีที่ข้าจะได้ทดสอบความสามารถเต็มที่ของข้า แม้ว่าข้าจะโกงบ้างเล็กน้อยด้วยการใช้กระบี่เทพศิลาจันทร์ สมบัติระดับโบราณ ข้าในตอนนี้มิได้มีสมบัติอื่นในมือที่สามารถทนต่อวิชาของตระกูลเทพอาชูร่า”

 

@อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

 

“วิชาของตระกูลเทพอาชูร่ารึ อย่าบอกข้านะว่านั่นท่านกำลังจะใช้วิชาเดียวกับที่ใช้ขู่เด็กหญิงนั่น” ชิวเยว่นึกไปถึงเวลานั้นในทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง เมื่อเขาทำให้วูจิงจิงถึงกับฉี่ราดกางเกงจากการใช้วิชากระบี่จากตระกูลเทพอาชูร่า

 

ซูหยางพยักหน้า

 

“เจ้าสามารถปกป้องคนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นได้ไหม” ซูหยางมองไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่บริเวณพื้นที่ทดสอบ

 

ชิวเยว่พยักหน้าและตรงไปหาพวกเขา ก่อนที่จะสร้างค่ายกลป้องกันที่ทรงพลังรอบๆตัวพวกเขา

 

“ช-ช่างเป็นค่ายกลที่ทรงพลังนัก และเธอก็ยังสามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในชั่วกระพริบตา” โหลวหลานจีถึงกับงงงันกับความสามารถของชิวเยว่ ครุ่นคิดว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ซูหยางได้พูดถึงว่าจะให้ช่วยเขาสร้างค่ายกลให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือไม่

 

“เจ้าดูอะไรอยู่รึ” ชิวเยว่มองไปที่เธอพร้อมกับเลิกคิ้ว

 

“จริงแล้วเพียงแค่ว่าท่านเป็นใครกัน เซียนเหมือนกับซูหยางรึ” โหลวหลานจีถามเธอด้วยเสียงกระซิบ

 

ชิวเยว่มองดูอีกฝ่ายพร้อมกับหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ความเป็นมาของเขาแล้วรึ เจ้าเป็นใครกัน”

 

“ข-ข้าเป็นผู้นำของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และใช่ เขาบอกข้าเล็กน้อยเกี่ยวกับความเป็นมาของเขาก่อนหน้านี้…”

 

“อย่างงั้นรึ” หลังจากที่จ้องมองดูโหลวหลานจีชั่วขณะ ชิวเยว่ก็เลิกให้ความสนใจเธอ และกลับไปดูซูหยางต่อไป

 

ในเวลานั้นซูหยางก็กล่าวกับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณคนอื่นว่า “ถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะได้รับผลกระทบจากการระเบิด ข้าแนะนำให้พวกเจ้าถอยไปยู่กับเหล่าศิษย์ พวกเจ้าจะปลอดภัยที่นั่น”

 

“ท่านมั่นใจว่าท่านมิต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพวกเรารึ ซูหยาง ถึงแม้ว่านี่จะอันตรายอยู่บ้าง ข้าก็ยินดีที่จะอยู่เบื้องหลังและช่วยท่านเอาชนะสัตว์ร้ายนั่น” ซีซิงฟางถามเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวลภายใต้ผ้าคลุม

 

ไม่ว่าเขาจะดูมีพรสวรรค์เท่าไหร่ก็ตาม ปกติแล้วมันเป็นเรื่องบุ่มบ่ามที่จะต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองทั้งเขต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่ต่อสู้นั้นเป็นสัตว์ร้ายในเขตราชันย์วิญญาณ

 

สัตว์วิญญาณเป็นที่รู้จักกันว่ามีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธมนุษย์โดยธรรมชาติในระดับเดียวกัน ดังนั้นถ้าผู้ฝึกยุทธต้องการที่จะเอาชนะสัตว์วิญญาณที่ระดับแรกเขตราชันย์วิญญาณ ผู้ฝึกยุทธต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยที่ระดับสองหรือระดับสามขึ้นไปในการต่อสู้กับมัน

 

แน่นอนว่ายังมีผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะที่สามารถต่อสู้กับสัตว์วิญญาณเหนือกว่าระดับปัจจุบันของตนเอง แต่คนเหล่านั้นมีน้อยมากและอยู่ห่างไกลมาก

 

“อย่ากังวลในเรื่องข้า ให้ไปอยู่ที่คนอื่นอยู่ สิ่งต่างๆที่นี่อาจจะค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยชั่วขณะ และข้าอาจจะมิสามารถควบคุมวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์ และข้ามิต้องการที่จะทำให้เจ้าบาดเจ็บ”

 

หลังจากที่จ้องมองเขาชั่วขณะ ซีซิงฟางก็พยักหน้าและมุ่งหน้าไปยังค่ายกลป้องกันรอบตัวชิวเยว่ เช่นเดียวกับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณคนอื่น