บทที่ 512: กระสับกระส่ายด้วยความหวาดกลัว

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

ครั้นเมื่อทุกคนข้างกายซูหยางเข้าไปอยู่ภายในค่ายกลป้องกันแล้ว ชิวเยว่ก็ครอบคลุมค่ายกลด้วยค่ายกลป้องกันอีกหลายชั้น แต่ละชั้นของค่ายกลป้องกันนี้สามารถป้องกันผู้ฝึกยุทธในระดับสูงสุดเขตราชันวิญญาญนับร้อยได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน อย่าว่าแต่ค่ายกลหลายสิบชั้นซ้อนทับกันอยู่

 

“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าเขาจะสามารถฆ่าอสรพิษโลหิตปีศาจหรือไม่” ซีซิงฟางถามชิวเยว่ด้วยน้ำเสียงนบนอบ

 

ชิวเยว่มองดูเธอแล้วยักไหล่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

 

“เอ๋”

 

ซีซิงฟางและคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองดูเธอด้วยสีหน้างุนงง ทำไมจอมยุทธอย่างเธอไม่รู้ผลลัพธ์ แน่นอนว่าเธอต้องมีประสบการณ์มากมายเพียงพอที่จะตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้ก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้น

 

แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง แม้ว่าจะมีพลังการฝึกปรือและชีวิตที่ได้อยู่มานานหลายพันปี ชิวเยว่ก็ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ ในเมื่อเธอได้แต่เพียงมีชีวิตอยู่อย่างสันโดษนับตั้นแต่เด็ก

 

แน่นอนว่า เธอต้องรับมือกับการไล่ล่าของวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอเพียงแค่หนีเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ต้องการการต่อสู้มากนัก

 

หลังจากที่มาถึงโลกแห่งนี้ ที่ซึ่งผู้ฝึกยุทธทุกคนนั้นไม่ต่างไปจากมดในสายตาของเธอ ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะต่อสู้ ที่เธอจำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้รับชัยชนะก็เพียงแค่ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของเธอออกมาบ้างและนั่นก็จะทำให้คู่ต่อสู้ของเธอตกใจตาย

 

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของซีซิงฟาง ชิวเยว่ก็อธิบายต่อหลังจากนั้นว่า “ถ้าซุหยางบอกเจ้าว่ามิต้องกังวลในเรื่องเขา เช่นนั้นก็มิควรจะมีเหตผลอะไรสำหรับเจ้าที่จะต้องไปกังวลเกี่ยวกับเขา แน่นอนว่าสถานการณ์นี้อาจจะดูบุ่มบ่ามและเกินมือของเขา แต่ข้าเชื่อในการตัดสินใจและความมั่นใจของเขา”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอที่ไม่มีแม้กระทั่งเสี้ยวแห่งความสงสัย ซีซิงฟางก็พยักหน้าและตัดสินใจที่จะเชื่อมั่นในซูหยางเช่นกัน

 

ในเวลานั้น กลางอากาศ ซูหยางและฟูกวางก็ได้จ้องมองกันและกันอยู่อย่างเงียบๆ

 

“ขอบคุณที่อดทน” ซูหยางกล่าวกับฟูกวางด้วยสีหน้าเฉยเมยหลังจากที่ซีซิงฟางและคนอื่นไปพ้นจากข้างกายเขาแล้ว

 

ฟูกวางแค่นเสียงเย็นชาพร้อมกับมีสีหน้าดูถูก “ฮึ่ม มิมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบ ตราบเท่าที่ข้ามีอสรพิษโลหิตปีศาจนี้ข้างกาย ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อยามที่ข้าต้องการได้อย่างง่ายดาย และข้าต้องการให้การตายของเจ้านั้นเป็นไปอย่างช้าๆและเจ็บปวดไ

 

สายตาของเขาเลื่อนจากใบหน้าของซูหยางไปยังกระบี่ที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “ข้าควรขอบใจเจ้าเสียก่อนสำหรับการมอบสมบัติที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้ให้กับข้า”

 

ซูหยางยกกระบี่ขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าข้ายื่นกระบี่นี้ให้กับเจ้าในตอนนี้ เจ้าก็มิสามารถที่จะถือมันได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมบัติวิญญาณที่ระดับสวรรค์ชั้นสุดท้ายขึ้นไปจะมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง”

 

“เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกมันสามารถที่จะเลือกเจ้าของของพวกมันได้ ผู้ที่สามารถถือพวกมันและผู้ที่ไม่สามารถแม้จะแตะต้องพวกมันได้”

 

และเป็นเวลานานมากว่าหลายพันปีแล้ว แต่ก็ยังมีคนแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถได้รับสิทธิ์จากกระบี่เทพศิลาจันทร์”

 

“พูดจาไร้สาระ” ฟูกวางสะบัดชายเสื้ออย่างรุนแรงจนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ที่บริเวณนั้นแตกกระจาย

 

“ถ้าเจ้ามิเชื่อข้า ทำไมเจ้ามิถือกระบี่นี้และดูว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับร่างของเจ้าหลังจากนั้น” ซูหยางพลันยื่นส่งกระบี่ไปหาฟูกวางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเขากำลังเสนอกระบี่ให้กับฟูกวาง

 

“ซูหยาง” ซีซิงฟางถึงกับงงงันไปกับการกระทำของเขา มีโอกาสสูงมากที่ซูหยางเพียงแค่บลัฟ แต่ถ้าฟูกว่างสามารถได้รับสมบัตินั้น นั่นย่อมเป็นหายนะสำหรับพวกเขาทุกคน

 

อย่างไรก็ตามชิวเยว่กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ซูหยางไม่ได้บลัฟ สมบัตินั่นมีจิตวิญญาณของตัวมันเองจริงๆ ตามความเป็นจริงแล้วแม้ว่าข้าจะสามารถสัมผัสมันได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้ ถ้าเป็นคนอื่นที่มิใช่ซูหยางและแม่ของข้าสัมผัสมัน กระบี่เทพศิลาจันทร์ก็จักพยายามฆ่าคนพวกนั้นด้วยการเทปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลที่คนพวกนั้นไม่สามารถรับได้เข้าไปในร่างคนพวกนั้น ทำให้ร่างของคนพวกนั้นระเบิดในทันใดฆ่าคนพวกนั้นตายคาที่”

 

ซีซิงฟางร่างกายสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงภาพฉากนั้น เมื่อตอนที่ร่างของเธอแตกระเบิดออกจากการที่เพียงแค่แตะสมบัติชิ้นนี้

 

“…”

 

ฟูกวางจ้องมองไปที่กระบี่พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่าซูหยางเพียงแค่บลัฟว่าอาวุธวิญญาณนั้นมีจิตวิญญาณของตนเอง แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันตรายอันละเอียดอ่อนออกมาจากกระบี่

 

มันเป็นความรู้สึกที่มาจากสัญชาตญาณของเขา เป็นความรู้สึกที่ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

 

หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักโดยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวจากฟูกวาง ซูหยางก็ดึงกระบี่กลับแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนที่มีธุระยุ่ง ดังนั้นข้าจะมิยืดเยื้ออีกต่อไป”

 

หลังจากที่พูดคำเหล่านั้นแล้วซูหยางก็ลูบคลำตัวกระบี่กึ่งโปร่งใสนั้นอย่างเบามือด้วยนิ้วของเขา จนทำให้เกิดเปลวไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณที่เขาสัมผัส

 

เมื่อถึงตอนที่นิ้วของเขาเลื่อนไปถึงปลายสุดของตัวกระบี่ ทั้งตัวกระบี่ก็ปกคลุมไปด้วยไฟสีดำ

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่ามือของเขาจะอยู่ภายในไฟสีดำที่ดูอันตรายนั้น ซูหยางก็เพียงแค่รู้สึกอบอุ่นสบาย ราวกับว่ามือของเขานั้นพันไว้ด้วยผ้านุ่มๆ

 

ในเวลานั้น ปราณไร้ลักษณ์ในรัศมี 10,000 กิโลเมตรก็พุ่งเข้าไปหาบริเวณที่ซูหยางอยู่และถูกดูดกลืนด้วยกระบี่เทพศิลาจันทร์ จนทำให้เพลิงสีดำนั้นยิ่งดำและร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าเป็นเพลิงที่มาจากส่วนลึกที่สุดของนรก

 

ในเวลานี้ ซูหยางก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ยอดยุทธในเขตอัมพรวิญญาณอีกต่อไป เมื่อเขาปลดปล่อยกระแสพลังที่คล้ายคลึงกับอสรพิษโลหิตปีศาจ ไม่ใช่ นี่ยิ่งเหนือกว่ามันขึ้นไปอีก

 

เมื่ออสรพิษโลหิตปีศาจรับรู้ถึงจิตสังหารและกระแสพลังที่น่าหวาดกลัวที่มาจากเพลิงสีดำ มันก็เริ่มสั่นสะท้านในขณะที่ส่งเสียงแปลกๆที่ฟังดูคล้ายกับว่ามันกำลังร่ำร้องไห้

 

“อสรพิษโลหิตปีศาจ” ฟูกวางมองดูมันกระสับกระส่ายไปมาคล้ายกับว่ามันต้องการที่จะหนีไปด้วยสีหน้าแตกตื่น เขาเพียงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ทำไมอสรพิษโลหิตปีศาจสัตวอัญเชิญที่ต้องการคนสังเวยกว่า 36,000 คนในการอัญเชิญจึงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อหน้าแค่ผู้ฝึกวิชาในเขตอัมพรวิญญาณ