ตอนที่ 79-1 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

จำนนรักชายาตัวร้าย

“เจ๋งชะมัด!”

 

 

ฮันจื่อจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาเลื่อมใส

 

 

นายท่าน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางน้อยแตกต่างจากคนอื่นกัน?

 

 

“ความรู้สึกแรกของสัตว์ป่า…”

 

 

เมื่อเห็นว่าฮันจื่อมุมานะที่จะเรียนรู้อย่างมาก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอธิบายต่อว่า

 

 

“ความรู้สึกแรกของสัตว์ป่านี้ ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด!”

 

 

เพียงแค่แรกพบนาง เขาก็มีความรู้สึกว่านางและเขาคือคนประเภทเดียวกัน…

 

 

ลานประลอง

 

 

มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญธาตุพิษทั้งหมดถูกกดไว้ที่แขนและขาของเด็กๆ เนื่องด้วยอวี้เฟยเยียนใช้พลังเสวียนแยกมันออกจากกัน สุดท้ายพิษก็กลายเป็นวัตถุกลมที่มีขนาดราวกับไข่มุก โดยฝังตัวอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือและเท้าของเด็กแต่ละคน

 

 

“นางคงจะไม่ตัดนิ้วหัวแม่มือและเท้าของเด็กกระมัง”

 

 

ผู้เฒ่าสี่ลูบเคราไปพลางกล่าวขึ้น สายตาก็จับจ้องอวี้เฟยเยียนโดยมิวางตา

 

 

“เป็นวิธีที่ไม่เลว!”

 

 

การที่อวี้เฟยเยียนทำให้พิษเกาะตัวกันเอาไว้ได้ ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตามากแล้ว ถึงตอนนี้ หากอวี้เฟยเยียนจะตัดนิ้วหัวแม่มือและเท้า เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา นั่นก็พอจะเข้าใจได้

 

 

อย่างไรเสีย ขาดไปเพียงนิ้วเดียวก็ยังดีกว่าเสียชีวิตเป็นไหนๆ

 

 

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”

 

 

ผู้เฒ่าสามหรี่ตามองแล้วกล่าวขึ้น

 

 

“ข้าว่าแม่นางน้อยยังมีความสามารถที่ล้ำลึกกว่านี้อีก! นางลงแรงไปตั้งมากมาย สุดท้ายแล้วยังต้องตัดนิ้วเด็กๆ ข้าเกรงว่านางคงมิยินยอมให้เกิดขึ้นเป็นแน่!”

 

 

พวกผู้เฒ่าถกเถียงกันไปพลางจับตาดูอวี้เฟยเยียนไปพลาง

 

 

เจ้าสำนักหลินยืนตรงหน้าหมอเทวดาฮั่ว สีหน้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

 

 

“ศิษย์น้อง ครั้งนี้หากมิได้เจ้า หอราชาโอสถเราเกรงว่าจะต้องพบกับคราวเคราะห์ล้างสำนักเป็นแน่ ขอบคุณเจ้ามากนะ!”

 

 

หมอเทวดาฮั่วเป็นผู้ที่เปิดเผยใจคอกว้างขวางอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเจ้าสำนักหลินกล่าวเช่นนี้ ก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที

 

 

“ศิษย์พี่ ข้าและท่านล้วนแต่เติบโตที่หอราชาโอสถแห่งนี้ ที่นี่ก็คือบ้านของเรา ทำเพื่อบ้านเรา เดิมทีก็เป็นหน้าที่ข้า แล้วจะขอบคุณไปทำไมกัน”

 

 

“หากว่าต้องการจะขอบคุณละก็ ท่านและข้าควรจะไปขอบคุณแม่นางน้อยผู้นั้นด้วยกัน ยังมีเหล่าสหายของนางอีกด้วย”

 

 

“ใช่ๆ!”

 

 

เจ้าสำนักหลินรู้ดีว่า หากมิใช่อวี้เฟยเยียนล่ะก็ เขาคงกลายเป็นวิญญาณไร้ญาติไปนานแล้ว

 

 

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในพื้นที่ปกครองของตน แต่เขากลับมิรู้เรื่องอะไรเลย เจ้าสำนักหลินรู้สึกผิดยิ่งนัก

 

 

หากว่าในยามปกติเขาคอยระแวดระวังผู้เฒ่าใหญ่สักหน่อย ก็คงจะพบว่าผู้เฒ่าใหญ่ผู้นี้เป็นตัวปลอมไปแล้ว ก็คงมิเกิดเรื่องราวภายหลังเหล่านี้ขึ้นมาอีกด้วย

 

 

หมอเทวดาฮั่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิงหมิงให้กับเจ้าสำนักหลินฟัง

 

 

เพียงแค่ได้ยินว่าผู้เฒ่าใหญ่ใช้ชื่อหอราชาโอสถก่อกรรมทำเข็ญข้างนอก เจ้าสำนักหลินก็แทบกระอักเลือดออกมา

 

 

ยังดีที่อวี้เฟยเยียนพบแผนชั่วของเขาเข้าและทำลายมันไปแล้ว

 

 

ต้องขอบคุณอวี้เฟยเยียนจริงๆ!

 

 

“ศิษย์น้อง หากเรื่องนี้จบลงแล้ว เจ้ากลับหอราชาโอสถของเราเถอะ…ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ เดิมทีก็เป็นของเจ้า ถึงเวลาที่มันควรจะกลับสู่เจ้าของเดิมของมันแล้ว!”

 

 

ร่องรอยบวมแดงบนใบหน้าเจ้าสำนักหลินยังมิหายขาด แต่สีหน้าเขาแสดงออกถึงความหนักแน่นจริงจัง มิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

 

 

ก่อนหน้าที่เจ้าสำนักหลินได้ยินว่า หมอเทวดาฮั่วจะมาเข้าร่วมงานประลองปรุงโอสถ ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

 

ในตอนนั้น หมอเทวดาฮั่วต่างหากคือตัวเลือกที่อาจารย์ยอมรับว่าจะให้เป็นเจ้าสำนักต่อไป แต่เจ้าสำนักหลินใช้วิธีการที่ไม่น่าภาคภูมิ โดยการที่ให้หญิงผู้หนึ่งใส่ร้ายหมอเทวดาฮั่ว ตนเองถึงได้ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้มา…

 

 

ครั้งนี้หอราชาโอสถมีภัย หมอเทวดาฮั่วก็ไม่รีรอที่จะกลับมาช่วยเหลือ ทั้งยังต้องเผชิญความลำบากมากมาย

 

 

คนที่ใจคอกว้างขวาง สง่าผ่าเผยเช่นเขา ถึงจะคู่ควรเป็นผู้นำให้กับหอราชาโอสถให้ก้าวหน้าต่อไป!

 

 

อยู่ดีๆ กล่าวถึงเรื่องดีขึ้นมาทำไมกัน!

 

 

หมอเทวดาฮั่วจ้องมองมาที่เจ้าสำนักหลินด้วยความตกใจ

 

 

ถึงแม้ว่าตอนนั้นหมอเทวดาฮั่วจะเคยแค้นเคืองเจ้าสำนักหลินที่กลั่นแกล้งจนตนเองมิได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ลืมมันไปตั้งนานแล้ว

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นในครานี้ หอราชาโอสถตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาและเจ้าสำนักหลินศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องร่วมมือกันอีกครั้ง ยิ่งทำให้หมอเทวดาฮั่วนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กที่ทั้งสองร่ำเรียนวิชาแพทย์ด้วยกันมา

 

 

ปีนั้น ศิษย์พี่หลินคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน จึงมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่แน่นแฟ้นมาหลายปี

 

 

ดังนั้นสิ่งไม่สบายใจที่ผ่านมา หมอเทวดาฮั่วจึงปล่อยวางลงอย่างสิ้นเชิง

 

 

“ศิษย์พี่ จริงๆ แล้วท่านเหมาะสมเป็นเจ้าสำนักใหญ่มากกว่าข้า”

 

 

“ข้านั้นนิสัยอิสรเสรี มิชอบถูกจำกัดผูกมัดใดๆ อีกทั้งไม่สันทัดการดูแลจัดการคน เรื่องนี้ท่านแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก”

 

 

“หลายปีมานี้ หอราชาโอสถภายใต้การปกครองของท่านชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งใหญ่เกรียงไกร ช่วงเวลาที่ข้าอยู่กับชาวบ้าน พวกเขาต่างก็กล่าวชมเชยหอราชาโอสถไม่หยุดปาก ล้วนแต่เป็นความดีความชอบของท่านทั้งสิ้น! ท่านต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนัก!”

 

 

“แต่ ข้าทำผิดต่อเจ้าจริงๆ…”

 

 

ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าตนเองให้เฉิงก้วนจงคอยจับตาดูหมอเทวดาฮั่วเอาไว้ ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจจนแทบมิมีหน้าอยู่บนแผ่นดินต่อไป

 

 

“ฮ่าๆ! ศิษย์พี่ ท่านก็สงสารข้าเถอะ!”

 

 

ตอนนี้ข้าชินเสียแล้วกับชีวิตที่อิสรเสรี! ท่องไปทั่วยุทธภพ ช่วยเหลือชีวิตคน นี่ต่างหากจึงเป็นชีวิตที่ข้าชื่นชอบที่สุด สำหรับการดูแลหอราชาโอสถ หน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ อย่างไรศิษย์พี่ก็แบกเอาไว้ให้หน่อยละกัน!…

 

 

อย่างไรเสียท่านเป็นศิษย์พี่ นี่คือความรับผิดชอบของท่าน ข้ายังจำได้ตอนที่พวกเราเป็นเด็ก ศิษย์พี่มักจะคอยรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ท่านก็ช่วยข้าอีกสักครั้ง!”

 

 

เป็นตายอย่างไรหมอเทวดาฮั่วก็มิยอมรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ส่วนเจ้าสำนักหลินก็พยายามสุดฤทธิ์ที่จะชดใช้คืนในสิ่งที่เขาติดค้างศิษย์น้องเอาไว้

 

 

ขณะที่ทั้งสองถกเถียงกันมิเลิกรานั่นเอง ผู้เฒ่ารองก็ร้องเรียก

 

 

“มาดูเร็วเข้า นางจะถอนพิษแล้ว!”

 

 

คำพูดผู้เฒ่ารอง เบี่ยงเบนสายตาของเจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่วไปในทันที คนทั้งจับตาดูอวี้เฟยเยียนอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

 

สิ่งที่เห็นคือ นางชักเข็มเงินกลับ แล้วหยิบงูห้าตัวออกมาจากห่อผ้า

 

 

นี่นางหมายความว่า?

 

 

ผู้เฒ่าคนอื่นๆยังคงมิเข้าใจความหมาย แต่หมอเทวดาฮั่วและผู้เฒ่าเจ็ดหันมาสบสายตากัน แล้วยิ้ม

 

 

ใช้พิษสยบพิษ!

 

 

ความหมายนี้แหละ!

 

 

อวี้เฟยเยียนปล่อยงูทั้งห้าตัวไว้บนร่างของเด็กๆ ทันใดนั้นเจ้างูก็เลื้อยไปที่นิ้วหัวแม่โป้งของเด็กๆทันทีมันอ้าปากแล้วฉกไปที่นิ้วนั้น

 

 

มู่เหนี่ยนซีหวาดกลัวงูสัตว์จำพวกเนื้อตัวนิ่มหยุ่นเช่นนี้เป็นที่สุด เมื่อมองเห็นงูอีกครั้ง นางตกใจเสียจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตา

 

 

“เสวี่ย หากว่าเรียบร้อยแล้วเจ้าเรียกข้าด้วย!”

 

 

หญิงสาวที่ปกติแข็งแกร่งไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นมู่เหนี่ยนซี คราวนี้กลับแสดงอาการหวาดกลัวที่หญิงสาวทั่วไปมีออกมา ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยถึงกับหัวเราะออกมา

 

 

“ท่านหัวเราะอะไร!”

 

 

มู่เหนี่ยนซีมองลอดไปที่อวี้เชียนเสวี่ยผ่านช่องระหว่างนิ้วมือ

 

 

ดวงตาเขาคล้ายกับดวงดาว เปล่งประกายสุกใสระยิบระยับ จ้องมองอยู่นานจนมู่เหนี่ยนซีหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย หัวใจเต้น ‘ตึกตัก’ ขึ้นมาทันใด

 

 

“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยอารมณ์แจ่มใส หายากนักที่จะหยอกล้อกับมู่เหนี่ยนซี เขาไม่บอกนางว่าตนหัวเราะอะไร ทำให้มู่เหนี่ยนซีร้อนรนจนด่าทอเขาว่าเป็นคนขี้โกง

 

 

แต่ทว่า ต่อให้ถูกด่าทอ แต่สีหน้าท่าทางของอวี้เชียนเสวี่ยก็สุขใจยิ่งนัก

 

 

ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อยๆ ใกล้ชิดมากขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

 

งูน้อยดูดพิษจากหัวแม่มือจนหมดสิ้น จากนั้นก็เลื้อยต่อไปที่นิ้วหัวแม่เท้าของเด็กเพื่อดูดพิษต่อ

 

 

ช่วงเวลา ณ ขณะนั้น ลานประลองเงียบสงัด ทุกคนต่างก็จับตาดูที่งูทั้งห้าตัวนั้น

 

 

ขณะนั้นเลี่ยเชวียและผู้เฒ่าใหญ่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เมื่อครู่พวกเขาสำรวจดูงูพวกนั้นอย่างละเอียด ทั้งหมดเป็นงูสามเหลี่ยมอีกทั้งยังเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท

 

 

หากเป็นเวลาปกติละก็ ถูกงูชนิดนี้กัดเข้าเพียงหนึ่งครั้ง ภายในไม่กี่วินาทีก็จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดขาดใจตาย

 

 

อวี้เฟยเยียนกลับใช้งูชนิดนี้มารักษาคน นี่มันเหลวไหลไปใหญ่แล้ว!