ตอนที่ 444 จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อฉินอวี้โม่ออกมาจากเส้นทางที่สามพร้อมรอยยิ้มแบบที่หายากประดับบนใบหน้า ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจทันที ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็พอจะคาดเดาได้แล้ว

“ทางนี้คือทางที่ปลอดภัย สำหรับข่ายอาคมข้างในนั้น ข้าทำลายมันไปแล้ว ทุกคนตามข้าเข้าไปเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและไม่รอช้าแต่อย่างใด เพราะไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเวลานี้ขุมกำลังอื่น ๆ มีความคืบหน้าอย่างไรและนางไม่กล้าปล่อยให้เรื่องล่าช้าต่อไป

แน่นอนว่าทุกคนไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ พวกเขาเหยียดกายลุกขึ้นและตามฉินอวี้โม่เข้าไปในช่องทางที่สามโดยไม่ลังเล

เป็นจริงดังที่คิดไว้ ภายในหนึ่งก้านธูป สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปและทุกคนเข้ามาสู่โถงปิดแห่งหนึ่ง

ภายในโถงนี้มีสิ่งของอยู่มากทีเดียว วัตถุล้ำค่ามากมายที่กระจัดกระจายเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกลื่อนอยู่บนพื้นมากนัก สายตาของนางถูกดึงดูดไปที่กล่องใบหนึ่งที่มุมห้องซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักทว่ามีขนาดประมาณหนึ่งตัวคน หากเดาไม่ผิด ของที่ล้ำค่าที่สุดในที่นี้น่าจะถูกบรรจุอยู่ในกล่องใบนี้

แน่นอนว่าทุกคนไม่บุ่มบ่ามใจร้อนทำสิ่งใดลงไป พวกเขาทั้งหมดกำลังรอให้ฉินอวี้โม่เอ่ยปากก่อน บรรดาชาวเมืองเพลิงมายาเคารพฉินอวี้โม่มาก เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรอให้นางเอ่ยปากรับสั่ง สำหรับเหล่าจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวนนั้น การกระทำของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ก็ทำให้พวกเขาประทับใจอย่างยิ่งและรู้สึกเคารพนางอยู่ในใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากปราศจากฉินอวี้โม่ พวกเขาก็คงจะไม่มีทางเข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้

“ผู้นำจู โปรดนำกล่องใบนั้นมาให้ข้าทีเถิด”

ฉินอวี้โม่ยิ้มขณะกล่าวกับจูเฟยชวี่ซึ่งอยู่ถัดจากนาง

แน่นอนว่าจูเฟยชวี่ไม่รอช้าและพุ่งตรงไปยังกล่องใบนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็นำกล่องนั้นออกมาตรงหน้าฉินอวี้โม่และทุกคน

“เจ้าเมืองฉิน เลือกคนที่ไว้วางใจได้จำนวนหนึ่งเพื่อเก็บวัสดุและอุปกรณ์บนพื้นเถอะ เราจะจัดสรรแบ่งกันในภายหลัง”

นางยิ้มและกล่าวกับเลี่ยหยาง

“จอมยุทธ์เฉิงห่าวซวน เชิญท่านตรวจดูและบันทึกรายการสิ่งของทั้งหมดเถอะ พวกท่านจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ”

ฉินอวี้โม่มองเฉิงห่าวซวนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่จำเป็นหรอก พวกเราต่างก็เชื่อใจจอมยุทธ์อวี้โม่”

เฉิงห่าวซวนส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวปฏิเสธโดยตรง พวกเขาไว้วางใจในตัวฉินอวี้โม่และชาวเมืองเพลิงมายาทุกคน

ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการลงมือทำสิ่งใดจริง ๆ เฉิงห่าวซวนก็รู้สึกว่าฝ่ายของเขาไม่มีพลังอำนาจที่จะต้านทานได้แม้แต่น้อย

“ทุกคนพักกันก่อนเถอะ มาดูกันว่าในกล่องใบนี้มีอะไรอยู่บ้าง”

เมื่อได้ยินวาจาของเฉิงห่าวซวน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มเล็กน้อย เฉิงห่าวซวนผู้นี้มีไหวพริบดีและรู้ว่าควรปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

ทุกคนหาที่พักและนั่งลงอย่างรวดเร็วในขณะที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รวมตัวกันรอบกล่องใบนั้น

หลังจากเปิดกล่องอย่างช้า ๆ เพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน สิ่งแรกที่สะดุดตาทุกคนคือแผ่นหนังที่ทำจากหนังแกะ และใต้แผ่นหนังนี้ก็ยังมีตำราหลายเล่มอยู่ข้างใน ส่วนใต้สุดของตำราเหล่านี้เหมือนจะมีกล่องใบเล็กใบหนึ่งซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าบรรจุสิ่งใดไว้ภายใน

เมื่อฉินอวี้โม่พยักหน้าให้กับจูเฟยชวี่ เขาก็หยิบแผ่นหนังดังกล่าวขึ้นมาและเปิดออก

ทันทีที่เปิดมัน แสงก็ส่องสว่างวาบก่อนที่ภาพหนึ่งจะปรากฏบนผนังกำแพง

ทุกคนมองเห็นว่าบนภาพนั้นมีบุรุษชราดูใจดีคนหนึ่งซึ่งมีเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลน เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางและถูกล้อมรอบด้วยคนชุดดำที่ดูชั่วร้ายหลายคน

“นั่นมัน… จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น!”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของบุรุษชราอย่างชัดเจน ซูวั่งชวนก็โพล่งออกไปทันทีด้วยท่าทางตกใจไม่น้อย

“จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นงั้นรึ ? เขาคือใครกัน ?”

ฉินอวี้โม่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เพราะเหตุนั้นนางจึงหันไปมองซูวั่งชวนด้วยความสงสัยและเอ่ยถาม

“จอมยุทธ์อวี้โม่ จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมอันดับต้น ๆ ของดินแดนเมื่อพันปีก่อนและเป็นลูกน้องของเทพมายาคนก่อนเช่นกัน กล่าวกันว่าข่ายอาคมของเขาทรงพลังมาก ในสงครามที่สู้รบกับฝ่ายมาร เขาก็สามารถรับมือกับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งหลายคนซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนโดยที่ไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย”

เฉิงห่าวซวนซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวอธิบายออกมา

จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นผู้นี้ถือเป็นบุคคลในตำนานอีกคน เขาเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเทพมายาคนก่อนและเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการไว้วางใจมากที่สุด พลังของเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่งนักซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดและยังไม่ถึงขอบเขตพสุธาเซียน อย่างไรก็ตาม ทักษะการวางข่ายอาคมของเขาทรงพลังอย่างยิ่งจนแม้แต่ยอดฝีมือหลายคนก็ไม่กล้าฉวยโอกาสทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

แต่ทว่า… ในการต่อสู้กับฝ่ายมารเมื่อพันปีก่อน จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นถูกลอบโจมตีโดยจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนจากฝ่ายมาร แม้ว่าเขาจะโจมตีอีกฝ่ายจนสาหัสได้ ทว่าท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเขาก็ยังหวนคืนฟ้าเพราะเหตุการณ์นั้น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเฉิงห่าวซวน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น—เจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในลูกน้องที่บรรพชนเทพมายาไว้วางใจมากที่สุด ในเมื่อบุรุษชราผู้นี้ภักดีต่อเทพมายาคนก่อน ในซากปรักหักพังแห่งนี้ก็น่าจะมีของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเทพมายา ฉินอวี้โม่มีความหวังและตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ในขณะเดียวกัน นางก็แอบตัดสินใจว่าจะปล่อยให้สิ่งของเหล่านั้นตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายศัตรูอย่างฉินหวยไม่ได้เด็ดขาด

ภายในภาพฉายที่ปรากฏตรงหน้าคือภาพเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นและจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนสามคน

เวลานี้จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นกำลังนั่งอยู่ตรงกลางและร่างกายของเขาล้อมรอบไปด้วยพลังที่เอ่อล้นอย่างมหาศาล ตรงหน้าเขามีอสูรมายาสี่ตัวที่คำรามดังสนั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ในขณะเดียวกันนั้น สายลมกระโชกรุนแรงราวพายุหมุนก็โจมตีคนทั้งสามจากฝ่ายมารอย่างต่อเนื่อง และพลังของมันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

จอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนทั้งสามไม่สามารถเข้าถึงตัวจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นได้เลย พวกเขาพ่ายแพ้ต่อข่ายอาคมอันทรงพลังของคนผู้นี้และต้องเสียหน้าอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นว่าจอมยุทธ์พสุธาเซียนทั้งสามกำลังจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จู่ ๆ ก็มีพลังมหาศาลถาโถมเข้าโจมตีจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น จากนั้นร่างประหลาดก็ปรากฏด้านข้างจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นและเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าไปที่อกของเขาอย่างรุนแรง

จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกันขณะม่านป้องกันปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่บุรุษชุดดำที่ลอบโจมตีเขาทรงพลังมากเกินไปและม่านป้องกันดังกล่าวไม่สามารถต้านทานไว้ได้

ผลัวะ !

จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นถูกฝ่ามือซัดเข้าไปอย่างแรงและกระอักเลือดคำโต อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยราวกับคาดการณ์สิ่งนี้ไว้อยู่แล้ว

ขณะที่เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้น จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี พลังมหาศาลราวกับทัณฑ์สายฟ้าเก้าขั้นจุติลงมาจากฟากฟ้าและโจมตีตรงไปที่จอมยุทธ์พสุธาเซียนทั้งสามและจอมยุทธ์นภาเซียนคนนั้น

จอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนทั้งสามคนถูกโจมตีโดยทัณฑ์สายฟ้าเก้าขั้นโดยตรงและสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผง ในขณะที่จอมยุทธ์นภาเซียนคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที ร่างของเขาแวบออกไปและหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

“น่าเสียดายจริง ๆ ที่เขาหนีไปได้”

จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นกล่าวพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของเขาเวลานี้ซีดเซียวอย่างยิ่ง

“ท่านเทพมายา ในภายภาคหน้าข้าคงอยู่รับใช้ท่านไม่ได้อีกแล้ว ท่านจะต้องระวังตัวให้มาก พลังของฝ่ายมารทรงพลังอย่างยิ่งและยังมีผู้ทรยศมาอีกด้วย ท่านและคนของพวกเราทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวเข้าไว้ ข้าตั้งตารอดูวันที่ท่านจะจัดการกับพวกฝ่ายมารนั่นได้และกวาดล้างความชั่วร้ายไปจากดินแดนของเรา”

จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นเผยรอยยิ้มแห่งความโล่งใจและกล่าว “ข้าจะเก็บมรดกของข้าไว้ในโลกมายา นอกเหนือจากมรดกเหล่านั้น อสูรมายาของข้าและสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาได้ก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน วันหนึ่งหากผู้ที่ถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นผู้ครอบครองมันมาพบและพวกฝ่ายมารยังไม่หมดไป ข้าหวังว่าคนผู้นั้นจะใช้ของที่ข้าทิ้งไว้เพื่อกำจัดฝ่ายมารให้สิ้นซากไปเสียที”

หลังจากกล่าวจบ ภาพฉายตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ดับไปและแผ่นหนังที่ลอยขึ้นกลางอากาศก็ร่วงลงบนพื้น

ต้องกล่าวเลยว่าเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ทุกคนก็มีอาการสะเทือนใจไม่ต่างกัน ความจริงใจและความจงรักภักดีของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นเป็นสิ่งที่หลายคนไม่มี และพลังของเขาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

จูเฟยชวี่หยิบแผ่นหนังบนพื้นขึ้นมาและพบว่าตอนนี้มีลวดลายแผนที่ปรากฏขึ้นบนนั้น

หลังจากพิจารณาดูอย่างรอบคอบ จูเฟยชวี่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มันคือแผนที่ของซากปรักหักพัง !”

เมื่อได้ยินวาจาของผู้นำขุมกำลังวิหคโบยบิน ทุกคนก็ตะลึงไปเล็กน้อย ฉินอวี้โม่รับแผ่นหนังนั้นมาจากมือของเขาและตรวจดูก่อนพบว่ามันคือแผนที่ของซากปรักหักพังอย่างแท้จริง

และแผนที่ดังกล่าวมีเครื่องหมายสีแดงใหญ่ระบุไว้ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่เก็บมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น

พื้นที่ที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ในตอนนี้เป็นเพียงโถงด้านข้างในซากปรักหักพังและยังห่างจากจุดศูนย์กลางพอสมควร

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ค้นพบว่าซากปรักหักพังแห่งนี้กว้างใหญ่อย่างยิ่ง ทางเข้าของมันมีทั้งหมดสี่ทางและหากนางคิดไม่ผิด ขุมกำลังอื่น ๆ น่าจะถูกส่งไปที่ทางเข้าอื่น เพราะเหตุนั้นที่ผ่านมานี้จึงไม่มีร่องรอยของขุมกำลังอื่น ๆ เลย

ทุกคนดูแผนที่อย่างคร่าว ๆ และหลังจากระบุทิศทางเป้าหมายต่อไป พวกเขาก็ยื่นแผนที่ให้กับฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่รับแผนที่ดังกล่าวเก็บลงในแหวนมิติและส่งสัญญาณให้จูเฟยชวี่หยิบตำราทั้งหลายเล่มและกล่องใบเล็กข้างใต้ออกมา

แน่นอนว่าจูเฟยชวี่ปฏิบัติตามโดยเร็วและยื่นมันให้ฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่มองสำรวจดูและพบว่าตำราในมือไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ พวกมันล้วนเป็นตำราที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การวางข่ายอาคม

จากนั้นนางก็เปิดกล่องใบเล็กและพบว่ามีโอสถหลายเม็ดพร้อมด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง

“โอ้ สวรรค์ ! มันคือโอสถโพธิญาณ !”

เมื่อเห็นข้อความที่ระบุในกระดาษแผ่นนั้น จูเฟยชวี่ก็อดโพล่งออกมาไม่ได้

เมื่อได้ยินคำว่า ‘โอสถโพธิญาณ’ ทุกคนรอบตัวก็มองมาเป็นตาเดียวทันทีและแววตาของพวกเขาจดจ่อมากขึ้นขณะมองกล่องใบเล็กนั่น

โอสถโพธิญาณเป็นโอสถล้ำค่าที่สามารถเพิ่มโอกาสในการทะลวงพลังจากขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้ มันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งและถือว่าประเมินค่ามิได้ในโลกภายนอก

จอมยุทธ์ทุกคนทราบดีว่าการทะลวงพลังจากขอบเขตเซียนไปสู่พสุธาเซียนยากเย็นเพียงใด เพราะเหตุนั้นโอสถโพธิญาณที่สามารถเพิ่มโอกาสนั้นจึงถือเป็นโอสถระดับเทวะสำหรับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียน

“มีทั้งหมดหกเม็ด”

จูเฟยชวี่เองก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงไปด้วยไฟปรารถนาของทุกคน แม้แต่เขาก็แทบจะกลืนน้ำลายเพราะความปรารถนาในโอสถนี้ หากไม่ใช่เพราะเขามีสติรู้ตัวดี เกรงว่าเขาก็คงจะหยิบโอสถนี้กลืนเข้าไปโดยตรง

“จอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านจะแบ่งโอสถนี้อย่างไร?”

เฉิงห่าวซวนเอ่ยถามคำถามที่ทุกคนต่างก็สงสัยและสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่นางอย่างคาดหวังทันที พวกเขาทราบดีว่าโอสถโพธิญาณนี้ล้ำค่าเพียงใด แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมอยากเก็บไว้เองเม็ดหนึ่ง สำหรับอีกห้าเม็ดที่เหลือนั้น พวกเขาตั้งตารอการตัดสินใจของฉินอวี้โม่…