ตอนที่ 445 วิธีการจัดสรรแบ่งปัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นสายตาคาดหวังปนกังวลของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเบา ๆ

“จอมยุทธ์เฉิงห่าวซวน ข้าจะแบ่งโอสถโพธิญาณสองเม็ดให้กับท่าน ส่วนจะจัดสรรมันอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับท่าน สำหรับโอสถอีกสี่เม็ดที่เหลือจะอยู่กับฝ่ายข้า ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร ?”

แม้ว่าชาวเมืองเพลิงมายาถือเป็นฝ่ายเดียวกับนาง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการลำเอียงเข้าข้างพวกเขา นางเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักศีลธรรมอย่างยิ่ง แม้ว่าเหล่าจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวนจะไม่ได้ทำสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่าพวกเขาก็เดินทางมาร่วมกัน แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขากลับไปมือเปล่า

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เฉิงห่าวซวนก็ตะลึงไปเล็กน้อยและไม่เอ่ยตอบในทันที

“เป็นอะไรไปรึ ? หรือว่าจอมยุทธ์เฉิงห่าวซวนจะไม่เห็นด้วยกับการจัดแบ่งของข้า ?”

เมื่อเฉิงห่าวซวนนิ่งเงียบไม่เอ่ยตอบ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เชื่อว่าเฉิงห่าวซวนผู้นี้จะเป็นคนมักมากไม่รู้จักพอ

“ปะ… เปล่าเลย ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรกัน”

เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เขาก็รีบส่ายศีรษะอย่างไวและตอบกลับไป

เดิมทีเขาคิดว่าหากฉินอวี้โม่เพียงแบ่งโอสถหนึ่งเม็ดให้กับเขา มันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่และสหายจากเมืองเพลิงมายาก็ทรงพลังมาก ต่อให้พวกนางเก็บไว้เองทั้งหมด เขาก็ไม่อาจแสดงความเห็นใด ๆ ได้ ไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะแบ่งให้เขาและพวกถึงสองเม็ด สิ่งนี้ทำให้เฉิงห่าวซวนประหลาดใจไม่น้อยและรู้สึกประทับใจในตัวฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น

“หากเช่นนั้นก็สรุปตามนี้ ส่วนตำราข่ายอาคม ข้าจะเก็บไว้เอง ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะไม่สนใจตำราพวกนี้”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและได้เก็บตำราข่ายอาคมลงในแหวนมิติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางมิได้เอ่ยถามความเห็นจากเลี่ยหยางหรือคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดคิดเห็นในแบบเดียวกัน ไม่ว่าฉินอวี้โม่ตัดสินใจอย่างไร พวกเขาย่อมสนับสนุนนางอย่างไม่คัดค้าน

จูเฟยชวี่ยื่นโอสถโพธิญาณสองเม็ดให้กับเฉิงห่าวซวนก่อนที่เขาจะเรียกผู้ติดตามของตนมาเพื่อหารือการแบ่งโอสถที่ได้รับมานี้

“ผู้นำจู เจ้าเมืองฉิน ผู้อาวุโสซูและผู้นำซูชิงผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ โอสถทั้งสี่นี้จะมอบให้กับพวกท่านคนละหนึ่งเม็ด พวกท่านคงจะไม่คัดค้านใช่รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และตัดสินใจวิธีการแบ่งโอสถทั้งสี่เม็ดได้แล้ว

ในเมืองเพลิงมายา ซูวั่งชวนคือมือขวาของฉินอวี้โม่ และพวกเขาทั้งสี่คนมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเรื่องทั่วไปทั้งหมด ซึ่งฉินอวี้โม่เพียงแค่ออกคำสั่งเท่านั้นโดยไม่ต้องลงมือทำ เพราะเหตุนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะแบ่งสรรเช่นนี้ได้ในทันที

“อวี้โม่ แล้วเจ้าล่ะ ?”

เมื่อได้ยินการจัดสรรเช่นนี้ ซูวั่งชวนก็ชะงักไปเล็กน้อย ไม่ว่าฉินอวี้โม่ต้องการแบ่งสรรอย่างไรนั้นพวกเขาทั้งหมดย่อมไม่คัดค้าน เพียงแต่ครานี้นางไม่เก็บโอสถไว้เองแม้แต่เม็ดเดียว เขาจึงไม่เข้าใจนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ต้องการมันหรอก ข้าเชื่อว่าเมื่อบรรลุขอบเขตเซียนขั้นเก้า ข้าจะมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านน่าจะมั่นใจในพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของข้า สำหรับโอสถโพธิญาณเหล่านี้ พวกท่านรับไปเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างใจเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ นางเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเอง แม้ว่าไม่ใช้โอสถโพธิญาณ นางก็สามารถทะลวงพลังไปอย่างรวดเร็วหลังจากบรรลุขอบเขตเซียนขั้นเก้าได้

เมื่อเปรียบเทียบกัน ซูวั่งชวน เลี่ยหยาง จูเฟยชวี่และคนอื่น ๆ ทะลวงพลังได้ยากกว่ามาก

เมื่อได้ยินคำพูดใจเย็นและมั่นใจของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันโดยไม่เอ่ยอะไรอีก จูเฟยชวี่และเลี่ยหยางเก็บโอสถไว้คนละหนึ่งเม็ดในขณะที่ซูวั่งชวนเก็บไว้สองเม็ด หลังกลับจากการสำรวจซากปรักหักพังครานี้  เขาจะมอบโอสถหนึ่งเม็ดให้กับซูชิง

คนอื่น ๆ ก็ฟังการจัดการนี้โดยไม่แสดงความคิดเห็นใด พวกเขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ เป็นคนอย่างไร การแบ่งสรรเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่พวกเขาพอจะคาดเดาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดทราบดีว่าหากพบของล้ำค่าเช่นนี้อีกในทางข้างหน้า ซูวั่งชวนและสหายทั้งหลายจะให้สิทธิ์พวกเขาได้เลือกก่อนอย่างแน่นอน

ฝั่งของเฉิงห่าวซวนเองก็แบ่งโอสถได้แล้วเช่นกันโดยตัวเขาเก็บไว้เองหนึ่งเม็ดและเม็ดที่สองถูกมอบให้กับบุคคลในกลุ่มที่มีพลังเป็นอันดับสองรองจากเขา

“เจ้าเมืองฉิน เราแบ่งสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ได้มาเป็นครึ่งหนึ่งเถอะ”

วัตถุล้ำค่าอื่น ๆ ที่เกลื่อนทั่วพื้นได้ถูกเก็บรวบรวมไว้แล้วและตอนนี้พวกมันทั้งหมดอยู่ในแหวนมิติของเลี่ยหยาง

เลี่ยหยางพยักศีรษะและคำทำการคำนวณเล็กน้อยก่อนยื่นแหวนมิติให้กับเฉิงห่าวซวน

“จอมยุทธ์อวี้โม่ การได้รับโอสถโพธิญาณก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่แล้ว เราไม่ต้องการของพวกนี้หรอก”

เฉิงห่าวซวนปฏิเสธเบา ๆ เขาได้รับของที่ล้ำค่าเป็นที่สุดอย่างโอสถโพธิญาณแล้วและไม่กล้าแม้แต่จะคิดปรารถนาในสิ่งอื่นใดอีก

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านรับไปเถิด ถึงแม้ท่านจะได้รับโอสถโพธิญาณไปแล้ว ทว่าคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ไป ท่านสามารถนำของพวกนี้ไปแบ่งกับคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขาได้ของติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเช่นนี้เพื่อมิให้เฉิงห่าวซวนปฏิเสธ

ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของฉินอวี้โม่เชื่อว่าเฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ จะต้องกลายเป็นลูกน้องของนางในไม่ช้าก็เร็ว นางจึงไม่ต้องการเอาเปรียบพวกเขานัก

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และเห็นรอยยิ้มของคนอื่น ๆ เฉิงห่าวซวนก็พยักศีรษะและไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป

“เอาล่ะ ในเมื่อแบ่งทุกอย่างกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินหน้ากันต่อไปเถอะ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ขุมกำลังอื่น ๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่ว่าอย่างไรเราจะปล่อยให้พวกเขานำหน้าไปก่อนไม่ได้ มันจะต้องเป็นพวกเราเท่านั้นที่ได้ครอบครองมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น !”

นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเดินตรงไปยังผนังมุมหนึ่งของโถงกว้างและกดมัน จากนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงดังครืน

นี่คือกลไกของโถงนี้ หลังจากประตูเปิดออก มันก็เผยให้เห็นเส้นทางหนึ่งซึ่งนำไปสู่ส่วนที่ลึกเข้าไปของซากปรักหักพังแห่งนี้

ทุกคนเดินตามฝีเท้าของฉินอวี้โม่เข้าไปอย่างรวดเร็ว ซากปรักหักพังแห่งนี้ยังมีของดีอีกมาก เพียงแต่พวกเขาต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ครอบครองโอกาสมา

ในขณะเดียวกันนั้น ณ อีกสามจุดของซากปรักหักพัง คนอื่น ๆ จากหลายขุมกำลังก็ปรากฏกายขึ้นตาม ๆ กัน นอกเหนือจากฝั่งของกองทหารหงเฟิงนั้น สถานการณ์ของอีกสองฝั่งไม่ได้ราบรื่นนัก

“บัดซบ ซากปรักหักพังแห่งนี้จะน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ระหว่างทางที่ผ่านมา เราเผชิญกับข่ายอาคมมากมายและสูญเสียสหายพี่น้องไปมาก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้เลยว่าเมื่อไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด เราจะเหลือคนอีกมากแค่ไหน !”

นั่นคือวาจาของฉินจิน—เจ้าเมืองทองมายา ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ยืนอยู่ถัดจากเขาด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ต่างกัน

“แม้ว่าการสูญเสียของเราจะหนักหนาสาหัส เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ที่นี่มีมรดกตกทอดของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคม หากเราได้มันมา ก็มีโอกาสสูงที่จะขึ้นเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดน ยิ่งไปกว่านั้น เราจะปล่อยให้พวกกองทหารหงเฟิงได้สมบัติเหล่านั้นไปครองไม่ได้เป็นอันขาด อีกทั้งยังมีอวี้โม่คนประหลาดนั่นอีก เราปล่อยให้พวกนั้นได้ไปไม่ได้เช่นกัน”

เซวียเม่ยกล่าวความคิดของตน เมื่อกล่าวถึงฉินอวี้โม่ สีหน้าความริษยาและชิงชังก็ปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน

“เซวียเม่ยพูดถูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะปล่อยให้สมบัติพวกนั้นตกไปอยู่ในมือของคนอื่นไม่ได้ หลังจากนี้เราเพียงต้องระวังตัวให้มากขึ้น ข้าเชื่อว่าจะไม่มีภยันตรายหนักหนาอีก”

ฉินหวยกล่าวเพื่อเตือนให้ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น

หากไม่ใช่เพราะกองทหารหงเฟิง ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวของฉินหวย เขาคงยอมแพ้และล่าถอยไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเมื่อกองทหารหงเฟิงเข้าร่วมการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ด้วย พวกเขาไม่สามารถล่าถอยได้และไม่ยอมปล่อยให้กองทหารหงเฟิงได้สมบัติข้างในไปครองเช่นกัน

ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน ครานี้ฉินหวยเดินนำหน้าทุกคนเพื่อมุ่งหน้าลึกเข้าไป

……..

“เฮยรอง เหตุใดเจ้าเมืองของเจ้าจึงไม่มาที่นี่ด้วย?”

ในอีกฝั่งหนึ่ง สถานการณ์ของฉินขุยและเฮยรองก็ดีกว่าเล็กน้อย แม้ว่ามีหลายคนได้รับบาดเจ็บ แต่อัตราการบาดเจ็บล้มตายของพวกเขาก็ไม่เลวร้ายนัก

ในตอนแรกที่เข้ามาภายในที่แห่งนี้ คนของเมืองไม้มายาและกลุ่มของเฮยรองก็ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเข้ามาในฝั่งเดียวกัน หลังจากหารือกันเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดก็ตัดสินใจเดินทางสำรวจด้วยกัน

“เหอะ เจ้าเมืองของเราน่ะรึ ? เรื่องนั้นน่าจะชัดเจนอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องถามข้าอีกเล่า ?”

เฮยรองแค่นเสียงในลำคอและเมื่อกล่าวถึงฉินเฟิง สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งเล็กน้อย ฉินเฟิงเอาแต่กดขี่ฝืนใจเขาในตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นั้นมากนักและมีความชิงชังอยู่ในใจ

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเมืองฉินเฟิงมักจะไม่สนใจเรื่องเช่นนี้”

ฉินขุยยิ้มก่อนกล่าวต่อ “เจ้าสนใจเข้าร่วมกับเมืองไม้มายาของเรารึไม่ ? เมืองของเรายังขาดจอมยุทธ์มากพรสวรรค์อย่างเจ้า หากเจ้าเข้าร่วมกับพวกเรา เจ้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะได้รับตำแหน่งที่สูงส่งในเมืองไม้มายาอย่างแน่นอน”

ความแข็งแกร่งของเมืองไม้มายามิใช่อันดับหนึ่งในบรรดาเมืองใหญ่ต่าง ๆ หากสามารถชักจูงเชิญชวนเฮยรองและคนอื่น ๆ มาเข้าร่วมได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน

คำเชื้อเชิญของฉินขุยทำให้เฮยรองรู้สึกคล้อยตามเล็กน้อยทว่ามิได้ตอบตกลงในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านเจ้าเมืองฉินขุย… ข้าต้องขอเวลาคิดก่อนและจะให้คำตอบท่านทีหลัง”

เมื่อได้ยินคำตอบของเฮยรอง เจ้าเมืองไม้มายาก็พยักศีรษะเบา ๆ ทว่ามีความเหยียดหยามอยู่ในใจเล็กน้อย ‘หึ เฮยรองผู้นี้… ในเมื่อสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกทางออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ยังต้องแสร้งเล่นตัวทำเพื่ออะไรกัน ?’

ทั้งสองสนทนาพาทีกันอย่างออกรสขณะนำทางคนอื่น ๆ มุ่งหน้าเข้าไป พวกเขาไม่เห็นร่องรอยของฉินอวี้โม่และขุมกำลังอื่น ๆ ทว่าก็ไม่ได้เป็นกังวลว่าขุมกำลังอื่น ๆ จะนำหน้าไปไกล เพราะถึงอย่างไรการผ่านด่านทดสอบมากมายจากข่ายอาคมทรงพลังก็มิใช่เรื่องง่ายเลย

…….

ภายในโถงสว่างไสว คนจากกองทหารหงเฟิงนั่งกระจายตัวอย่างสบาย ๆ และบรรยากาศที่นี่ผ่อนคลายอย่างยิ่ง

“ท่านผู้บัญชาการ ท่านคิดว่าคนอื่น ๆ เข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพังแล้วหรือยัง ?”

ใครคนหนึ่งอดกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าผู้นำของพวกเขาจะไม่รีบร้อนและไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย เขาไม่กังวลหรือว่าสมบัติล้ำค่าข้างในนั้นจะถูกปล้นชิงไปจนหมด ?

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีทางหรอก”

ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น

การที่ฝ่ายกองทหารหงเฟิงยังไม่ได้เข้าไปข้างใน คนอื่น ๆ อย่างฉินหวยก็ยิ่งไม่น่าจะเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ ๆ ภาพของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา สำหรับฉินหวยและคนอื่น ๆ นั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็น ‘พวกเขา’ ล่ะ ?

เมื่อได้ยินวาจามั่นใจของหัวหน้า บุรุษผู้นั้นก็ไม่ถามสิ่งใดให้มากความ ทว่าเมื่อนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามอีกครั้ง

“ท่านผู้บัญชาการ ท่านสังเกตเห็นรึไม่ว่าเมืองเพลิงมายาดูจะแตกต่างไปจากเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าคนจากเมืองเพลิงมายาดูจะให้ความเคารพต่อสตรีที่มีนามว่าอวี้โม่ผู้นั้นมาก ก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นว่าฉินส่าวชิงชำเลืองมองนางหลายครั้งหลายคราราวกับกำลังรอคำสั่งจากนาง”

ต้องกล่าวเลยว่าผู้ที่กล่าวประโยคนี้ออกมามีไหวพริบและชาญฉลาดมากทีเดียว เขาสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของคนจากเมืองเพลิงมายา อีกทั้งยังรับรู้ได้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเลี่ยหยางและฉินอวี้โม่

“คนผู้นั้นมิใช่ฉินส่าวชิง”

ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าประโยคสั้น ๆ ของเขาสร้างความตกตะลึงอย่างแท้จริง

“อะไรนะ !?”

บุรุษที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้แทบสะดุ้งโหยงทว่าเขาควบคุมสติไว้ได้และกล่าวด้วยความสงสัย “ถ้าหากมิใช่ฉินส่าวชิงแล้วเป็นใครกัน ? ฝ่ายเมืองเพลิงมายากำลังวางแผนอะไรกันแน่ ?”

หัวหน้ากองทหารหงเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ เขาเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ข้อสงสัยทั้งหมดจะได้รับการคลี่คลายเอง

.