ตอนที่ 446 การคาดเดาอย่างใจกล้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าตรงเข้าไปลึกในซากปรักหักพัง และในระหว่างทาง พวกนางก็เผชิญกับข่ายอาคมจำนวนมาก ทว่าในเมื่อมีมารยาอยู่ พวกเขาก็ข้ามผ่านพวกมันทั้งหมดมาได้โดยที่ไม่เผชิญกับอันตรายใด ๆ

ในระหว่างนี้ฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลายก็เข้าไปในห้องลับหลายห้องและได้สมบัติดี ๆ มาพอสมควร

เหล่าจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวนก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมากในระหว่างทาง พวกเขาต่างก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พวกเขาทั้งหมดมีความเคารพต่อฉินอวี้โม่มากขึ้นและตระหนักได้ว่าการตัดสินใจของเฉิงห่าวซวนก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว

หากพวกเขาไม่เลือกที่จะเดินทางออกสำรวจร่วมกับฝ่ายของฉินอวี้โม่ พวกเขาจะได้สมบัติมากมายเหล่านี้อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่เผชิญกับอันตรายได้อย่างไร ?

“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเราใกล้ถึงโถงกลางแล้ว ข้าคิดว่าขุมกำลังอื่น ๆ ก็น่าจะเข้าใกล้แล้วเช่นกัน จากนี้ไปเราจะต้องระวังตัวมากขึ้น”

ฉินอวี้โม่ดูแผนที่ก่อนเอ่ยเตือนทุกคนอีกครา

แม้ว่ามีแผนที่อยู่ในมือ นางก็ไม่คิดว่าขุมกำลังอื่น ๆ จะล่าช้ากว่ากลุ่มของตนมากนัก

ผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงผู้นั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย ข่ายอาคมมากมายเหล่านั้นน่าจะไม่สามารถขัดขวางพวกเขาไว้ได้

นั่นยังไม่รวมถึงฉินหวยผู้ซึ่งน่าจะมีไพ่ตายซ่อนไว้ไม่น้อย เขาคงไม่มีปัญหาในการผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัย

สำหรับเฮยรอง ฉินขุยและคนอื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งมากนัก ทว่าตราบใดที่ใช้ความพยายามมากขึ้น การไปถึงที่หมายก็คงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเช่นกัน

ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน เฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ อาจไม่เข้าใจอย่างแน่ชัด ทว่าซูวั่งชวนและเหล่าชาวเมืองเพลิงมาต่างก็ทราบดีว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงระมัดระวังนักและพวกเขาแต่ละคนก็เตรียมความพร้อมไว้แล้ว

เมื่อเดินผ่านทางเดินสุดท้าย พวกเขาก็พบกับปลายทางที่คาดคิดไว้ โถงกว้างใหญ่และโอ่อ่าซึ่งสามารถรองรับคนนับหมื่นปรากฏให้เห็นตรงหน้าทุกคน

ภายในห้องโถงนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วซึ่งเป็นภาพที่ดึงดูดความละโมบของผู้คนได้ดี อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง ทุกคนก็ถูกดึงดูดความสนใจโดยก้อนแสงขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ตรงกลาง หากคาดเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น

ด้านใต้ก้อนแสงนี้คือกิเลนที่มีขนาดเท่าคชสารตัวหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีฟ้าและกำลังหลับใหลอยู่

“ฮ่า ๆ ๆ ที่แท้ก็เป็นกิเลนครามนี่เอง กิเลนครามเป็นรองเพียงแต่กิเลนอัคคีเท่านั้น และตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ พลังอำนาจของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นในอดีตไม่ธรรมดาจริง ๆ”

หานอวี้ยิ้มและมองเห็นถึงคุณสมบัติและความแข็งแกร่งของกิเลนในแวบแรก

“นี่เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ มิใช่ร่างหลักของมัน เสี่ยวอวี้ หากเจ้าดูดซับพลังของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณนี้ มันน่าจะเพียงพอให้เจ้ากระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าและวิวัฒนาการได้”

มารยากล่าวจากด้านข้าง ในช่วงหลัง ๆ มานี้มันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหานอวี้เป็นอย่างมากและเมื่อมันนึกถึงเรื่องนี้ได้ มันก็เอ่ยออกไปทันที

กิเลนและมังกรถือได้ว่ามาจากสายพันธุ์เดียวกัน แม้ว่ามังกรทองห้าเล็บเป็นมังกรที่อยู่เกือบสูงสุดในสายพันธุ์ กิเลนครามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ามันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของกิเลนครามตรงหน้าทุกคนในเวลานี้ก็อยู่ในระดับพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ แม้ว่ามีเพียงจิตวิญญาณ มันก็ยังมีพลังมาก หากว่าหานอวี้ดูดซับมัน มังกรน้อยจะสามารถกระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าและทะลวงพลังได้อย่างแน่นอน

“น่าจะเป็นเช่นนั้น”

หานอวี้พยักหน้าเบา ๆ ด้วยความคิดแบบเดียวกัน จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่สามารถกระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าเพื่อทะลวงพลังได้และเมื่อเห็นว่าการลงทัณฑ์สายฟ้าของอสูรมายาตัวอื่น ๆ ต่างก็ใกล้มาถึงแล้ว มันก็รู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย แม้ว่ามันสามารถอาศัยสายเลือดที่ทรงพลังของตนเองเพื่อเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม หากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนที่ทรงพลังมาก มันก็ไม่มีทางเอาชนะได้

แม้ทราบว่าก้อนแสงดังกล่าวน่าจะเป็นมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของกิเลนครามน่าจะอยู่ตรงนั้นเพื่อปกป้องมรดกของเซียนอวิ๋น หากเอาชนะมันไม่ได้ การได้รับมรดกมาครอบครองก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน

และขุมกำลังอื่น ๆ ก็น่าจะมาถึงในไม่ช้า หากโจมตีกิเลนตรงหน้าและเอาชนะมันไม่ได้โดยเร็ว มันจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก อาจจะถูกขุมกำลังอื่น ๆ ปิดล้อมโจมตีได้

เพราะเหตุนั้น แทนที่จะปล่อยให้คนอื่น ๆ ปิดล้อมได้ มันจะดีกว่าหากรอให้คนอื่น ๆ มารวมตัวกันที่นี่ก่อนและหาโอกาสที่เหมาะสม

“มีคนกำลังมา”

เมื่อมองตรงไปที่ทางเข้าในฝั่งตรงข้ามและสัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังใกล้เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าตึงเครียดหรือกังวลแต่อย่างใด

ทุกคนพยักศีรษะรับทราบก่อนมองตามทิศทางนั้นไปเช่นกัน พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ใดจะปรากฏตัวก่อน

“ท่านผู้บัญชาการ มันอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วยขอรับ”

สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคือเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จากนั้นกลุ่มจอมยุทธ์ชุดแดงก็โผล่มาจากทางเดินนั้น

เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ คนเหล่านั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย

“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเร็วกว่าเรา”

ใครคนหนึ่งจากกองทหารหงเฟิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเขาเชื่อว่าฝ่ายของตนน่าจะมาถึงจุดหมายเร็วที่สุด ไม่คิดเลยว่าจะมีใครคนอื่นเร็วกว่าและมาถึงก่อนแล้ว

“พวกเขาคือกลุ่มคนจากเมืองเพลิงมายาและจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวน”

บุรุษอีกคนกล่าวยืนยันตัวตนของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมรอยยิ้มทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินส่าวชิง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาถึงเร็วเพียงนี้”

แม้ทราบดีว่าฉินส่าวชิงตรงหน้ามิใช่ฉินส่าวชิงตัวจริง คนจากกองทหารหงเฟิงก็ยังคงกล่าวเช่นนี้ออกมา เขาคือหงเย่—หัวหน้าหน่วยที่หนึ่งของกองทหารหงเฟิงซึ่งมีความแข็งแกร่งเป็นรองเพียงผู้บัญชาการเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งของกองทหารหงเฟิงซึ่งมีนามว่าหงเย่ใช่รึไม่ ?”

เลี่ยหยางยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะรู้จักกองทหารหงเฟิงของเราดีทีเดียว !”

หงเย่ไม่แปลกใจที่ฝ่ายตรงข้ามรู้จักตนเอง เขาเพียงกล่าวพร้อมยิ้มตอบ

“ข้าเพียงชื่นชมรูปแบบการทำงานของกองทหารหงเฟิง ข้าจึงสืบหาข้อมูลและพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารหงเฟิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของผู้นำฉินเหยียน แน่นอนว่าเราเข้าใจสถานการณ์บางอย่างดี”

เลี่ยหยางยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวทั้งเรื่องจริงและไม่จริงปะปนกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ชื่นชมการทำงานของพวกเรางั้นรึ ? เจ้าไม่กลัวรึว่าผู้นำฉินเหยียนของเจ้าจะลงโทษหากมาได้ยินเข้า ?”

เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง หงเย่ก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และคณะมากยิ่งขึ้น เขารู้สึกมาตลอดมาว่าคนเหล่านี้มิใช่คนธรรมดาและมีอะไรมากกว่าที่เห็น เมื่อได้ทราบทัศนคติของ ‘ฉินส่าวชิง’ ในตอนนี้ซึ่งแสดงท่าทีราวกับว่าไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับกองทหารหงเฟิง เขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่ากลุ่มคนตรงหน้าต้องการสิ่งใดกันแน่

“ศัตรูก็คือส่วนของศัตรู ความชื่นชมก็ส่วนของความชื่นชม ข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไปอย่างกำกวม

“ท่านคือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะของเมืองเพลิงมายา—อวี้โม่ใช่รึไม่ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของสตรี หงเย่ก็เลื่อนสายตามาที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถาม

อวี้โม่ผู้นี้ทั้งเยาว์วัยและงดงามยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่านางจะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะที่เลื่องชื่อไปทั่วดินแดน

“ข้าชื่ออวี้โม่ และผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเป็นเพียงแค่สถานะที่คนอื่น ๆ มอบให้ข้าเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและชำเลืองมองผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงผู้ซึ่งยืนนิ่งไม่เอ่ยวาจา

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิง เราเคยพบกันมาก่อนรึไม่ ?”

กลิ่นอายจากหัวหน้ากองทหารลึกลับทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ในตอนที่อยู่ไกลกันก่อนหน้านี้ ความรู้สึกอาจผิดเพี้ยนไป ทว่าตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองมีเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดนี้ไม่ผิดแน่

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่จำทุกคนที่เคยพบปะในโลกมายาได้เป็นอย่างดีและนางไม่เคยพบกับหัวหน้ากองทหารหงเฟิงมาก่อน ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่มาจากเขาก็เป็นสิ่งที่นางไม่อาจมองข้ามไปได้

“ฮ่า ๆ ๆ ก็อาจจะ”

ผู้บัญชาการยิ้มเย็นและไม่ปฏิเสธทว่ากล่าวอย่างกำกวมไม่ชัดเจน

น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้และมันดูจะเป็นการจงใจดัดเสียง

เมื่อได้ยินเสียงของเขา ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ดูเหมือนว่าหัวหน้ากองทหารหงเฟิงผู้นี้จะซ่อนบางอย่างไว้ หากเป็นเช่นนั้นจริง เป็นไปได้รึไม่ว่านางจะรู้จักเขาจริง ๆ ? สมองของนางหมุนเร็วจี๋ขณะพยายามนึกย้อนไปถึงทุกคนที่รู้จักในโลกมายา และจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

เมื่อเปรียบเทียบสภาวะพลังและกลิ่นอายของผู้บัญชาการตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็มีข้อสันนิษฐานทันที หรือว่า ‘เขา’ คนนั้นจะเป็นหัวหน้ากองทหารหงเฟิง !?

อย่างไรก็ตาม แม้ตั้งข้อสันนิษฐานในใจแล้ว นางมิได้เอ่ยออกไปทันที หากผู้บัญชาการกองทหารตรงหน้าคือคนที่คิดไว้จริงก็คงจะเป็นเรื่องดีมากทีเดียว

นางไว้วางใจในตัวตนของ ‘เขาคนนั้น’ ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าไม่อ่อนแอ อีกทั้งยังมีปัญญาที่ฉลาดล้ำเลิศ หากเป็น ‘เขา’ จริง ๆ การกระทำของนางต่อไปในภายภาคหน้าจะง่ายขึ้นมาก

ซูวั่งชวนชำเลืองมองหัวหน้ากองทหารหงเฟิงและรู้สึกถึงความคุ้นเคยเล็กน้อยเช่นกันทว่ามิได้คาดเดามากนัก เขาเพียงมองดูสีหน้าของฉินอวี้โม่และพบว่าไม่มีสิ่งผิดปกติก่อนพยักศีรษะเล็กน้อย

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะมาถึงกันเร็วเช่นนี้”

ทั้งสองฝ่ายยืนตรงข้ามกันและทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง ทว่าจู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบทั้งหมด

ทุกคนหันไปตามต้นเสียงนั้นและพบว่าฉินขุยเดินมาจากทางเดินด้านซ้ายโดยมีเฮยรองอยู่เคียงข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีทีเดียว

ข้างหลังพวกเขาคือผู้ติดตามจากเมืองไม้มายาและคนของเฮยรอง

อย่างไรก็ตาม สภาพของคนเหล่านั้นไม่สู้ดีนัก พลังของพวกเขาส่วนใหญ่โรยราอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้พลังมากเกินไปในช่วงสั้น ๆ ที่ผ่านมา ในขณะที่บางคนมีบาดแผลตามร่างกาย พวกเขาน่าจะเพิ่งผ่านอุปสรรคที่อันตรายมา

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย กลุ่มของท่านดูจะอาการไม่ดีเลย”

เลี่ยหยางยิ้มมุมปากและไม่พลาดโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของเขาในตอนนี้คือฉินส่าวชิง แน่นอนว่าเขาใช้วาจาและน้ำเสียงเลียนแบบฉินส่าวชิง

“เหอะ ฉินส่าวชิง ท่านไม่ต้องห่วงหรอกว่าพวกเราจะสบายดีรึไม่ ในเมื่อพวกเรามาที่นี่ในวันนี้ ท่านจะไม่ได้สมบัติในซากปรักหักพังไปครอบครองหรอก”

ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยแววตามั่นใจเต็มเปี่ยม

“ฉินขุย การที่มีเฮยรองอยู่ข้างกายทำให้ท่านมั่นใจถึงเพียงนั้นเลยรึ ? หรือว่าเขาจะแปรพักตร์ไปอยู่กับท่านแล้ว ?”

เลี่ยหยางยังไม่เอ่ยปากทว่าเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ฉินจิน ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ก้าวออกมาจากอีกทิศทางหนึ่ง

เวลานี้ขุมกำลังทั้งหมดที่เข้ามาในซากปรักหักพังรวมตัวกันอยู่ในโถงกว้างขวางนี้แล้วและการต่อสู้แย่งชิงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น !