ตอนที่ 447 เป็นเขานั่นเอง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ฉินขุย ฉินจิน ส่าวชิง หุบปากก่อนเถอะ !”

เมื่อฉินขุยกำลังจะอ้าปากตอบโต้อีกครั้ง ฉินหวยก็กล่าวปรามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เขาชำเลืองมองกองทหารหงเฟิงซึ่งยืนนิ่งอย่างใจเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าลืมคำสั่งของผู้นำฉินเหยียน อย่าลืมศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินหวยและสัมผัสได้ว่าเขามีน้ำโหเล็กน้อย ทั้งฉินขุยและฉินจินก็ไม่เอ่ยวาจาใด ๆ อีกและเพียงแต่มองหน้ากันด้วยแววตาดุดัน

เลี่ยหยางยิ้มและกล่าว “ผู้อาวุโสฉินหวย ไม่ทราบว่าผู้นำฉินเหยียนต้องการสิ่งใด ต้องการให้เราร่วมมือกันเพื่อกำจัดผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงงั้นรึ ?”

เลี่ยหยางทราบดีว่าฉินเหยียนสั่งการมาอย่างไร เขาเพียงเอ่ยถามออกไปเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ต้องแสดงออกต่อหน้าทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังต้องรอคำสั่งจากฉินอวี้โม่

“ส่าวชิง ปล่อยวางความเจ้าเล่ห์ของเจ้าไปก่อนเถอะ เราทั้งหมดต้องร่วมมือกันเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู แม้ว่ากองทหารหงเฟิงจะทรงพลัง แต่คนของพวกเขาก็เข้ามาในซากปรักหักพังเพียงไม่มาก หากพวกเราร่วมมือกัน การจัดการกับพวกเขาก็มิใช่ปัญหา”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินส่าวชิง ฉินหวยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หลังจากไตร่ตรองดูเขาก็ไม่อาจค้นพบได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมาจากเหตุผลใด

“เหอะ เจ้าคิดว่าเราไม่รู้แผนการของฉินเหยียนงั้นรึ !? คิดว่าเราจะยอมให้พวกเจ้าจัดการได้ง่าย ๆ งั้นรึ !?”

ท่ามกลางกองทหารหงเฟิง หงเย่เป็นผู้กล่าวตอบโต้โดยไม่หวาดหวั่นเลยสักนิด คนอื่น ๆ จากกองทหารหงเฟิงเองก็มีสีหน้าเรียบเฉยบ่งบอกว่าไม่ยี่หระต่อความตายใด ๆ ทั้งสิ้น

“หึ เห็นทีว่าพวกเจ้าคงจะไม่ได้อยู่เห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้”

ฉินหวยยิ้มอย่างไม่แยแสขณะขยิบตาส่งสัญญาณให้กับฉินขุยและฉินส่าวชิงซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือเลี่ยหยางปลอมตัวมา

แน่นอนว่าฉินขุยเข้าใจความหมายของฉินหวยในทันทีและนำคนของตนเข้าไปยืนข้างฉินหวยและพวก พวกเขาทั้งหมดจ้องมองกองทหารหงเฟิงด้วยสายตาที่เกลียดชังเหมือน ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม เลี่ยหยางยังไม่ขยับเขยื้อนขณะรอคำสั่งของฉินอวี้โม่

“ส่าวชิง นี่เจ้ากำลังทำอะไร ? ยังไม่รีบมานี่อีก !”

เมื่อเห็นเลี่ยหยางยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ฉินหวยก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความรู้สึกกังวลในใจ

“เหตุใดเราจะต้องไปด้วยล่ะ ?”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็กล่าวแทรกออกไปทันที

“เหอะ อวี้โม่ เราเรียกฉินส่าวชิง มิใช่เจ้า นี่ไม่ใช่ธุระกงการที่เจ้าจะมาขัดจังหวะได้”

เซวียเม่ยแค่นเสียงเย็นชา ในที่สุดนางก็สบโอกาสสาดวาจาใส่ฉินอวี้โม่ นางจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน

“ฮิ ๆ ๆ เรียกฉินส่าวชิงงั้นรึ ? เชิญพวกท่านลงไปเรียกเขาในนรกอเวจีได้เลย ที่นี่ไม่มีผู้ใดนามว่าฉินส่าวชิง”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นและพยักศีรษะให้เลี่ยหยาง

เมื่อเห็นเช่นนั้น เลี่ยหยางก็เข้าใจความหมายของนางเป็นอย่างดี เขาหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมากลืนกินและเปิดเผยรูปลักษณ์เดิมของตน

“เจ้าเป็นใครกัน !?”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของ ‘ฉินส่าวชิง’  สีหน้าของฉินหวยก็บิดเบี้ยวทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าฉินส่าวชิงยังไงล่ะ”

เลี่ยหยางยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป

“เหอะ ข้าทราบดีว่าฉินส่าวชิงมีรูปลักษณ์อย่างไร !”

ฉินหวยแค่นเสียงในลำคอและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“ฮ่า ๆ ๆ ช่างตลกจริง ๆ !”

หงเย่ซึ่งอยู่ด้านข้างชะงักไปเล็กน้อยเช่นกันก่อนหัวเราะพรวดออกมา

“ฉินหวย เจ้าควรจะรู้สึกอับอายสักหน่อยที่บอกใครต่อใครว่าเจ้ารู้จักกับฉินส่าวชิง ผู้บัญชาการของเราค้นพบความจริงตั้งแต่แรกแล้วว่าฉินส่าวชิงผู้นี้คือตัวปลอม ทว่าเจ้ากลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ เลย ฮ่า ๆ ๆ”

แม้ว่าเขายังไม่เข้าใจแน่ชัดนักว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายต้องการทำสิ่งใด แต่เขาก็ทราบดีว่าตนเองและพวกนางมีศัตรูเป็นฝ่ายฉินหวยเหมือน ๆ กัน

ในเมื่อมีศัตรูเหมือน ๆ กัน แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกัน

“เฮ้ จอมยุทธ์อวี้โม่ เหตุใดพวกเราไม่ร่วมมือกันล่ะ ร่วมมือกันจัดการกับกลุ่มของฉินหวยที่นี่และจากนั้นท่านก็เอาสมบัติทุกอย่างในซากปรักหักพังแห่งนี้ไปได้เลย พวกเราไม่ต้องการสิ่งใด”

หงเย่ยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวข้อเสนอ

ในเมื่อทุกอย่างดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเวลานี้ฉินอวี้โม่เป็นผู้นำที่แท้จริงของเมืองเพลิงมายาและคนอื่น ๆ ปฏิบัติตามคำสั่งของนาง

“ซูวั่งชวน จูเฟยชวี่ อวี้โม่ พวกเจ้าคิดจะทรยศต่อผู้นำฉินเหยียนงั้นรึ !?”

เซวียเม่ยกล่าวอย่างเย็นชาทว่าแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยมีเหตุผลรองรับในการจัดการกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ที่นางไม่ชอบหน้าเป็นที่สุด ทว่าบัดนี้ต่อให้นางลงมือสังหาร มันก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องและไม่มีใครที่จะกล่าวโทษนาง

“หากไม่เคยยอมจำนน แล้วมันจะเรียกว่าการทรยศได้อย่างไร ?”

จูเฟยชวี่กล่าวขึ้นเบา ๆ แววตาของเขาเวลานี้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาหารือกันก่อนหน้านี้แล้วและตั้งตารอวันนี้มาเนิ่นนาน

“หัวหน้าหงเย่ ข้าไม่มีปัญหากับการร่วมมือกัน ถึงอย่างไรแล้วพวกเราก็มีศัตรูเหมือน ๆ กัน ทว่าหากท่านกล่าวว่าไม่ต้องการสิ่งใด นั่นก็ดูจะไม่ยุติธรรมอยู่เล็กน้อย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หากเราร่วมมือกันจริง ๆ ข้าคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังสิ่งใดต่อกัน ถอดผ้าปิดหน้าของท่านและยืนยันข้อสันนิษฐานของข้าก่อนเถอะ”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หงเย่ก็ชะงักไปเล็กน้อยและหันไปมองผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงข้างกาย เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่มั่นใจในเรื่องนี้

เมื่อผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาก็ส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างจนปัญญา

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าปิดบังท่านไม่ได้”

เขายิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหูสำหรับฉินหวยและคนอื่น ๆ

ในขณะเดียวกันนั้น สีหน้าของเฮยรองแสดงออกถึงความตกใจอย่างสุดขีด เขาชี้นิ้วไปที่หัวหน้ากองทหารลึกลับและกล่าวอย่างติด ๆ ขัด ๆ “ท่านคือ… ท่านคือ…”

เขากล่าวเช่นนั้นหลายครา ทว่าไม่กล้าเอ่ยชื่อออกไปโดยตรง เพราะหากนั่นเป็นความจริง เรื่องนี้ถือว่าเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง !

“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้อง เป็นข้าเอง”

ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงยิ้มเย็นขณะยกมือขึ้นค่อย ๆ ถอดหน้ากากที่บดบังใบหน้าเผยให้เห็นใบหน้ารูปงาม

คนอื่น ๆ ในกองทหารหงเฟิงก็ถอดหน้ากากของตนเองเช่นกันและเผยให้เห็นใบหน้าประณีตหล่อเหลาและกล้าหาญ

“ฉินเฟิง ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหัวหน้ากองทหารหงเฟิงอย่างชัดเจน ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงทันที เขายกนิ้วชี้ตรงไปที่อีกฝ่ายด้วยใบหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกินความคาดหมายอย่างที่สุดและพวกเขาต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติคืนมา

“ใช่แล้ว ข้าเอง”

ฉินเฟิงยิ้มและค่อย ๆ เดินตรงเข้ามาอยู่ข้างฉินอวี้โม่

“สหายน้อยอวี้โม่ ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่าปิดบังท่านไม่ได้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าท่านจะค้นพบอย่างรวดเร็วเพียงนี้”

ฉินเฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ฉินอวี้โม่สามารถคาดเดาตัวตนของเขาได้อย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่านางจะเป็นศัตรูของฉินเหยียนเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถผูกมิตรกับนางได้อย่างจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น หากท่านปฏิเสธไป ข้าก็คงจะรู้สึกสับสนไม่น้อย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ เห็นทีว่านางก็ไม่ควรปิดบังตัวตนที่แท้จริงกับฉินเฟิงเช่นกัน

“เหอะ ข้าก็เคยสงสัยว่าเหตุใดเราจึงไม่เคยได้ยินข้อมูลใดเกี่ยวกับผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ แท้ที่จริงแล้วผู้บัญชาการที่ลึกลับนั่นก็เป็นหนึ่งในคนของพวกเรานี่เอง หนำซ้ำยังปิดบังตัวตนได้อย่างแนบเนียนถึงเพียงนี้ !”

ฉินขุยแค่นเสียงในลำคอ เวลานี้ใบหน้าของเขาก็เหยเกเช่นกัน ความจริงที่ว่าฉินเฟิงคือผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงทำให้เขาตกใจมากจริง ๆ

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าไม่เคยมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ที่แท้เจ้าก็แอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังพวกเรา”

ฉินจินกล่าวเช่นกัน สีหน้าท่าทางของเขาไม่ตกตะลึงมากเท่าคนอื่น

“ฉินเฟิง เจ้าไม่กลัวรึว่าเบื้องบนจะทราบเรื่องและเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นขี้เถ้าจนมลายสิ้น !”

เซวียเม่ยกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา เดิมทีนางคิดว่าจะจัดการ ‘อวี้โม่’ ได้อย่างง่ายดาย ไม่คาดคิดเลยว่าฉินเฟิงจะเปิดเผยตัวเช่นนี้ พวกนางก็ทราบถึงพลังและความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเป็นอย่างดี

ต่อให้ฉินเหยียนมาที่นี่ด้วยตัวเอง นางก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะเอาชนะเขาได้ นับประสาอะไรกับนางและคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่

“ฮ่า ๆ ๆ ต่อให้กลัวแล้วอย่างไรกัน ? บางสิ่งบางอย่างก็ไม่อาจล้มเลิกได้เพียงเพราะความกลัว การกลายเป็นขี้เถ้ามลายสิ้นก็เป็นเพียงแค่รูปแบบหนึ่งของความตาย”

ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความกลัวใด ๆ ความแข็งแกร่งของเบื้องบนทำให้เขาหวั่นใจเล็กน้อยทว่ามันก็ไม่มากพอให้เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าลงมือทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้จะหวาดกลัวจริง ๆ เขาก็ยังจะทำทุกอย่างเหล่านี้เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

นี่คือภารกิจและความรับผิดชอบของเขา สำหรับผู้ที่เขาเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจและสำหรับอาจารย์ของเขา เขาย่อมไม่เกรงกลัว

เมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของฉินเฟิง ทุกคนก็สั่นไหวเล็กน้อย ฉินเฟิงกล่าวถูกต้องทุกประการและเรื่องบางอย่างจะหยุดกลางคันเพียงเพราะความหวาดกลัวไม่ได้

“อวี้โม่ ซูวั่งชวน เราจะให้โอกาสอีกครา หากพวกเจ้ายังยืนกรานที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับกองทหารหงเฟิง พวกเราจะนำเรื่องนี้ไปรายงานผู้นำฉินเหยียน และเมื่อถึงตอนนั้น หากเมืองเพลิงมายาของพวกเจ้าถูกทำลายไป ก็อย่ามากล่าวโทษพวกเราก็แล้วกัน !”

ฉินขุยตะลึงไปครู่ใหญ่แต่เขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วและแอบมีความสุขเล็ก ๆ ในใจ หากฉินเหยียนทราบเรื่องนี้เข้า เมืองเพลิงมายาและเมืองวารีมายาอาจจะไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป เมื่อถึงตอนนั้น เมืองไม้มายาของเขาก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นเมืองที่ทรงพลังที่สุดได้

“การจะทำเช่นนั้น พวกท่านก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมยิ้มอ่อน ในเมื่อกล้าทำเช่นนี้แล้ว นางย่อมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นางจะปล่อยให้ฉินหวยและคนอื่น ๆ ออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ มิฉะนั้นมันจะนำพาปัญหามาอย่างไม่รู้จบ

“เหอะ ยโสโอหังนัก !”

เซวียเม่ยแค่นเสียงและสบถเสียงดัง ฝ่ามือวายุของนางเหวี่ยงฟาดไปที่ฉินอวี้โม่โดยตรง

“เซวียเม่ย เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ โดยปราศจากความกลัว อึดใจต่อมา จูเฟยชวี่ผู้ซึ่งไม่เอ่ยวาจาใดก็ขยับออกมาขัดขวางฝ่ามือของเซวียเม่ยไว้

“เหอะ เจ้ากล้าสู้กับข้าตัวต่อตัวรึไม่ !?”

เซวียเม่ยแค่นเสียงเย็นชา นางไม่เชื่อว่าตนเองจะเทียบสตรีจอมยุทธ์ตรงหน้าไม่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ แล้วเหตุใดข้าจะต้องสู้กับเจ้า?”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ และไม่ต้องการลงมือทำสิ่งใดในตอนนี้

“เซวียเม่ย กลับมาก่อน”

เมื่อเห็นเซวียเม่ยก้าวออกไป ฉินหวยก็กล่าวขึ้นทันที ใบหน้าของเขาในตอนนี้เหยเกอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าเซวียเม่ยไม่กล้าขัดคำสั่งของฉินหวย นางจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชั่วร้ายดุดันก่อนเดินกลับไปอยู่ข้างฉินหวยตามเดิม

“อวี้โม่ เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

เมื่อมองฉินอวี้โม่ในเวลานี้ ข้อคาดเดาทั้งหมดของเขาก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัว อย่างไรก็ตาม เขาต้องเอ่ยถามเพื่อยืนยันความคิดเหล่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสฉินหวยคาดเดาไว้นานแล้วมิใช่รึ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มยียวนและสัมผัสได้ถึงการหยั่งเชิงในแววตาของฉินหวย

เมื่อได้ยินวาจาของทั้งสอง ทุกคนโดยรอบต่างก็ฉงนสงสัยไม่น้อย พวกเขามองฉินอวี้โม่และฉินหวยสลับกันด้วยความสนใจเป็นที่สุด

“เป็นอย่างที่คิด เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ การคาดเดาของข้าไม่ได้ผิดเลย”

ฉินหวยกล่าวเบา ๆ และยิ้มอย่างขมขื่น

“ผู้อาวุโสฉินหวย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”

สีหน้าท่าทางของฉินหวยทำให้ฉินขุยและฉินจินมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“ฮ่า ๆ ๆ นางคือคนที่เราตามหามาตลอดเวลาที่ผ่านมานี้…คือคนที่ผู้นำฉินเหยียนมีคำสั่งให้เราตามหามาให้ได้ !”

ฉินหวยยิ้มและจู่ ๆ น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นอย่างที่สุด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ถึงกับตกตะลึง

.