ตอนที่ 720 หยั่งเชิงนาง
เวลานี้สองนายบ่าวได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วงที่ผ่านมาปี้จูที่อยู่ในจวนก็มิได้สุขสบายเท่าไรนัก เมื่อไร้พระชายาคอยปกป้องก็เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่คอยรับใช้อันหลิงเกอ มิว่าที่ไหนและเมื่อใดก็ไม่มีใครกล้ารังแกนาง
แต่ภายในจวนอ๋องมู่ตอนที่อันหลิงเกอมิอยู่ ทัวป๋าหลิวลี่มักบีบบังคับนางให้ทำนู่นทำนี่อยู่เป็นประจำ
เรื่องนี้ปี้จูมิได้บอกอันหลิงเกอเพราะรู้นิสัยของเจ้านายดี ตอนนี้ในจวนก็บอกว่าอันหลิงเกอมีพฤติกรรมชั่วร้าย แล้วนางจะเพิ่มปัญหาให้อีกหรือ
ปี้จูเล่าเรื่องในจวนที่เกิดขึ้นตอนอันหลิงเกอมิอยู่ให้ฟังคร่าว ๆ นางรู้ว่าอันหลิงเกอไม่มีทางโง่งมถึงขั้นลงมือกับทัวป๋าหลิวลี่อย่างแน่นอน ต้องเป็นทัวป๋าหลิวลี่ที่ตั้งใจใส่ร้ายมากกว่า
เห็นสาวใช้ตัวเล็กยอมเชื่อใจกันถึงเพียงนี้ แต่มู่จวินฮานสงสัยนางได้ทุกเรื่อง ภายในใจของอันหลิงเกอก็อดปวดร้าวมิได้ ต่อให้นางทำดีมากกว่านี้ แต่มู่จวินฮานก็ยังเห็นนางใจคอโหดเหี้ยมอยู่ดี
ใบหน้าของอันหลิงเกอปรากฎรอยยิ้มเอือมระอาขึ้นมา แต่จู่ ๆ ก็เห็นปี้จูลุกขึ้นยืนราวกับตกใจอันใดบางอย่าง เมื่อหันไปก็พบมู่จวินฮานที่เวลานี้ถูกทัวป๋าหลิวลี่เกาะแขนเอาไว้กำลังเดินมาทางพวกนาง ท่าทางมีความสุขนั้นทิ่มแทงหัวใจของอันหลิงเกอยิ่งนัก
“คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอย่อตัวลงเล็กน้อย แต่ทัวป๋าหลิวลี่คำนับให้นางอย่างเป็นทางการด้วยการคุกเข่าลงที่พื้น
แม้อันหลิงเกอจะรู้สึกตกใจแต่มิได้ห้ามปรามและปล่อยให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงเช่นนั้น
มู่จวินฮานเห็นปฏิกิริยาของอันหลิงเกอก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเข้าไปประคองทัวป๋าหลิวลี่ขึ้นมา
เหตุใดเขาจะมองมิออกว่าทัวป๋าหลิวลี่ตั้งใจทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอึดอัด แต่อันหลิงเกอหาได้ตอบโต้แม้แต่น้อย ทำให้มู่จวินฮานรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
อันหลิงเกอแม้เป็นคนข่มอารมณ์ได้ดี แต่สำหรับสถานการณ์เช่นนี้เหมือนจะรับมือได้มิค่อยดีนัก เพราะเมื่อครู่นางแค่มองด้วยสายตาราบเรียบปราดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่สนใจทัวป๋าหลิวลี่อีก
นึกถึงตรงนี้แล้วมู่จวินฮานจึงโบกมือให้ทัวป๋าหลิวลี่เพื่อเป็นสัญญาณให้ถอยออกไปก่อน
วันนี้เขาพาทัวป๋าหลิวลี่มาเพราะอยากลองหยั่งเชิงอันหลิงเกอ คาดมิถึงว่านางไม่รู้สึกละอายใจหรืออึดอัดต่อทัวป๋าหลิวลี่แม้แต่น้อย ยังคงมองอย่างตรงไปตรงมาเสียด้วยซ้ำ
ทัวป๋าหลิวลี่กัดฟันอย่างมิพอใจนัก นางยังต้องการที่จะพูดบางสิ่งแต่ถูกมู่จวินฮานมองด้วยสายตาดุดัน ดังนั้นเพราะความหวาดกลัวมู่จวินฮาน นางจึงรีบออกไปโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา
อันหลิงเกอเห็นทัวป๋าหลิวลี่เดินออกไปอย่างเสียหน้าก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แค่ให้ปี้จูหลบออกไปก่อนเช่นกัน ปี้จูเห็นว่าเจ้านายมิได้ถูกรังแกจึงยอมถอยออกไป
“เมื่อครู่เจ้ารับการคำนับจากนาง ช่างไม่สะทกสะท้านเอาเสียเลย” มู่จวินฮานเห็นปี้จูถอยออกไปแล้วจึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามของอันหลิงเกอ ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับเย้าแหย่เล่นเท่านั้น หาได้เป็นการตำหนินางไม่
“ท่านอ๋องล้อเล่นหรือเจ้าคะ ข้าเป็นพระชายาเอก แล้วเหตุใดมิอาจรับการคำนับจากอนุภรรยาคนหนึ่งได้เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอรู้ดีว่าทุกคำพูดของมู่จวินฮานล้วนกำลังหยั่งเชิงนางอยู่
มองมู่จวินฮานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว ฝ่ามือของอันหลิงเกอก็มีเหงื่อซึมออกมา เวลานี้ในใจของนางเป็นกังวลยิ่งนัก
“หากเจ้ายังดูสบายใจดีเช่นนี้ ข้าจะพาไปพบคนผู้หนึ่ง” กล่าวจบ มู่จวินฮานก็มิได้สนใจว่าอันหลิงเกออยากไปด้วยหรือไม่ เพราะเขาลุกขึ้นก่อนจะลากนางออกไปข้างนอกทันที
อันหลิงเกอเม้มปากแน่น หากเขาแค่พานางไปหาคนผู้หนึ่งก็คงมิเป็นอันใดหรอก
อันหลิงเกอเดินตามมู่จวินฮานไปอย่างมั่นคง เขามองนางแล้วก็อดส่ายหน้าออกมามิได้ ไม่รู้ว่าอีกสักครู่พอนางเห็นคนผู้นั้นแล้วจะหนักแน่นอยู่หรือไม่
“เข้าไปเถิด” มู่จวินฮานพาอันหลิงเกอมาที่ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับห้องหนังสือของตน อันหลิงเกอเริ่มสงสัยเล็กน้อยเพราะที่นี่ไม่เคยมีคนอยู่ แต่ตอนนี้มู่จวินฮานพานางมาที่นี่ หมายความเช่นไร ?
ยังมิทันที่อันหลิงเกอจะได้ไตร่ตรองอย่างละเอียด มู่จวินฮานก็ผลักประตูห้องเข้าไปทันที นางจึงทำได้เพียงก้าวเข้าไปเท่านั้น ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายดูธรรมดายิ่งนัก มองจากภายนอกมิรู้ว่ามีใครอยู่ในนี้เลย
“คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ” เวลานี้มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในแล้วคำนับให้แก่มู่จวินฮาน อันหลิงเกอจึงอดสงสัยมิได้ นี่คือคนที่มู่จวินฮานอยากพานางมาพบหรือ ?
“เจ้าออกไปได้” แต่มู่จวินฮานมิได้เอ่ยสิ่งใดกับหญิงชราอีก แค่โบกมือให้นางออกไป อันหลิงเกอมองตามหญิงชราที่กำลังเดินออกไปก็ยังมิรู้ว่าคนที่มู่จวินฮานพามาพบเป็นใครกันแน่
“เข้าไปเถิด” มู่จวินฮานจับข้อมือของอันหลิงเกอไว้แล้วพาเข้าไปด้านใน แต่พอเข้ามาถึงด้านในแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องของเด็กทารกคนหนึ่ง เห็นเครื่องตกแต่งแล้วอันหลิงเกอก็อดนึกถึงบุตรที่ไร้วาสนาต่อกันมิได้
“นี่คือ…” ในเปลเด็กมีทารกเพศชายตัวน้อยนอนอยู่
“บุตรของทัวป๋าหลิวลี่” จู่ ๆ เสียงของมู่จวินฮานก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา เขามองหน้าอันหลิงเกอคล้ายต้องการค้นหาบางอย่างจากใบหน้าของนาง
มู่จวินฮานมิได้พูดว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของตน แต่บอกว่าเป็นบุตรของทัวป๋าหลิวลี่เท่านั้น
แต่เด็กคนนี้ตายเพราะคลอดก่อนกำหนดมิใช่หรือ ?
“เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมิน้อย เหตุใดจึงอ่อนแอเช่นนี้ ? ” อันหลิงเกอไม่รู้ว่าเหตุใดทารกถึงดูบอบบางเช่นนี้ ร่างที่นอนอยู่ดูอ่อนแอยิ่งนัก
“เป็นเพราะเจ้าอย่างไรเล่า” มู่จวินฮานอดต่อว่าอันหลิงเกอมิได้ เวลานี้เหมือนนางยังไม่สำนึกในสิ่งที่ทำลงไป มู่จวินฮานจึงเอ่ยเตือนขึ้นมา
“ข้าหรือ ? นี่คือเรื่องที่ท่านบอกว่าข้าทำในคืนนั้นน่ะหรือ ? ” อันหลิงเกอรู้สึกขบขันยิ่งนัก นางมองมู่จวินฮานนิ่ง ๆ มิได้ร้อนตัวแม้แต่น้อย
“ทำไมหรือ ? ”
อันหลิงเกอมองเด็กที่อยู่ในเปลก่อนจะเงยหน้ามองมู่จวินฮานอีกครั้ง เรื่องนี้นางมิอาจแบกรับเอาไว้ได้ เมื่อไร้ผู้ใดเป็นพยานให้นางจึงทำได้เพียงแก้ต่างให้ตัวเองเท่านั้น
“ข้ามิได้เล่นลิ้น แค่อยากบอกความจริงแก่ท่านอ๋องเท่านั้น” อันหลิงเกอหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็มองมู่จวินฮานโดยไม่หลบเลี่ยง มู่จวินฮานก็ยิ้มตอบเช่นกัน หลังจากนั้นก็ส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
เมื่อมองรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จวินฮานแล้ว อันหลิงเกอก็อดรู้สึกถึงอันตรายจากเขามิได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้คนอื่นมาทำศักดิ์ศรีของนางต้องมัวหมองจึงเลือกอธิบายต่อ
“ชีพจรของเด็กคนนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการสัมผัสยาบางชนิด มิใช่เกิดจากการกระแทกแต่อย่างใด สถานการณ์ก็เหมือนข้าตอนนั้น เพียงแต่…เหตุใดท่านอ๋องกับทัวป๋าหลิวลี่จึงมีบุตรที่อายุครรภ์กว่าเจ็ดเดือนได้เจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเด็กคนนี้มิใช่ลูกของมู่จวินฮานแน่นอน
อันหลิงเกอกล่าวจบก็เงยหน้ามองมู่จวินฮาน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเหมือนกำลังครุ่นคิดตามที่นางอธิบาย เพราะเขา…รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ ?
“พูดต่อสิ” ใบหน้าของมู่จวินฮานไร้ซึ่งอารมณ์ใด เขาเพียงพยักหน้าให้อันหลิงเกออธิบายต่อ ทว่าใบหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความสงสัยเพราะตอนนี้นางได้พูดไปหมดแล้ว เหตุใดยังต้องอธิบายต่ออีก ?