บทที่ 469 คดเคี้ยว

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อเจอกับสายตาคาดหวังของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็พูดอย่างหมิ่นเหม่คลุมเครือ “ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความโมโหเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทอยู่ในวัง คง…”

 

 

เรื่องนี้ไม่ใช่คำโกหก ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทอยู่ในวังหลวง ทำให้เขาหาวิธีลงมือกับองค์รัชทายาทได้ยาก เขาเองก็คงไม่เลือกโต้กลับไปเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ

 

 

หลี่เย่คิดในใจ นี่คือลิขิตสวรรค์

 

 

หลี่เย่นอกจากปลอบประโลมถาวจวินหลันแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรมากกว่านั้น ในค่ำคืนที่สงบนี้ทั้งสองคนพูดจากันอยู่ครู่หนึ่ง จนขอบฟ้าเริ่มสว่าง ถาวจวินหลันถึงได้มีปฏิกิริยา “ท่านจะกลับไปตอนไหน?”

 

 

หลี่เย่รู้ดีว่าตนเองสมควรไปแล้ว มิเช่นนั้นถ้าคนอื่นเห็นว่าตนอยู่ที่นี่ก็จะต้องสร้างความเดือดร้อนมากมาย เขาจึงพูดอย่างตัดไม่ขาดว่า “สมควรต้องไปแล้วจริง”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบไปเถิด ข้าเองก็ง่วงแล้ว อยากจะพักเสียหน่อย” ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้หลี่เย่จากไปอย่างสบายใจ แน่นอนว่านางเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วจริง อย่างไรนางก็ป่วยมานานขนาดนี้ร่างกายอ่อนแรงไปมาก เพราะว่าตัดใจไม่ลงถึงได้ยืนหยัดอยู่ ตอนนี้ย่อมต้องรู้สึกเหนื่อยเป็นแน่

 

 

คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดกำชับว่า “ต่อไปนี้อย่าเข้ามาเช่นนี้อีก ไม่ว่าอย่างไรผ่านไปอีกไม่กี่วันข้าก็จะหายดีแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่ส่งเสียงตอบรับ แต่ก็ไม่ได้เก็บไปคิด แผนการของเขาคือจะต้องเว้นระยะอีกสักสองสามวันแล้วค่อยมาหาถาวจวินหลันอีก เรื่องครั้งนี้ทำให้เขาตกใจมาก เขากลัวว่าถาวจวินหลันจะปิดบังเขาเอาไว้อีก เขากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก

 

 

อย่างเช่นหากฮองเฮารู้ว่าถาวจวินหลันเริ่มหายดี แล้วจะรู้สึกเช่นไร? แล้วยังจะทำเรื่องอะไรอีก?

 

 

ถาวจวินหลันรอจนหลี่เย่กลับไป ก็ส่งเสียงเรียก “ชุนฮุ่ย!”

 

 

ชุนฮุ่ยได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามา ถามว่า “ชายารองมีอะไรหรือเจ้าคะ?”

 

 

“ท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันหรี่ตามองชุนฮุ่ย “ทำไมเจ้าไม่ห้ามเขาเอาไว้? ทำไมถึงได้ปล่อยเขาเข้ามา?” ครั้งที่แล้วที่หลี่เย่เข้ามา อย่างน้อยก็ยังยืนอยู่นอกหน้าต่าง แต่คราวนี้กลับตรงเข้ามาในห้องเลย เพราะเหตุผลที่ว่ามีเทียบยารักษาโรคแล้ว แต่นี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้ายามด้วย

 

 

ชุนฮุ่ยแสดงท่าทีใจฝ่อ รีบคุกเข่าลงในทันใด “ชายารองได้โปรดระงับโทสะ บ่าว…”

 

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนของท่านอ๋อง เชื่อฟังเขาก็ถือเป็นเรื่องสมควร แต่เจ้าจะต้องรู้จักแบ่งแยกมีหนักมีเบา มีช้ามีด่วน เขาวุ่นวาย เจ้าไม่ยับยั้งเกลี้ยกล่อมแล้วยังลอยน้ำตามเขา ในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะติดเชื้อโรคระบาดอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องระวังเอาไว้บ้าง” สุดท้ายถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดรุนแรง “ในเมื่อต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องปรนนิบัติข้างกายข้า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียนกับหงหลัวและปี้เจียวให้มาก”

 

 

ชุนฮุ่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

 

 

“ท่านอ๋องเข้ามาทางประตูหลักหรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันนึกเรื่องนี้ได้ จึงเอ่ยปากถาม

 

 

“เข้ามาจากประตูหลักเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง แล้วค่อยตอบคำถาม

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ ส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก ทำไมคนเหล่านี้ถึงได้เล่นตามหลี่เย่ตลอดเลย

 

 

“ข้ายังมีเรื่องอยากถามเจ้า” ฉับพลันถาวจวินหลันก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอีกครั้ง

 

 

ชุนฮุ่ยรีบตอบ “ชายารองถามเลยเจ้าค่ะ ถ้าบ่าวรู้บ่าวจะตอบให้ละเอียดแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

“เจ้าลุกขึ้นมาตอบก่อน” เห็นว่าชุนฮุ่ยยังคุกเข่าแสดงความจงรักภักดี ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ นางชี้ไปที่เก้าอี้ “เขยิบเก้าอี้มานั่งแล้วฟังข้าพูด”

 

 

ชุนฮุ่ยรู้ว่าถาวจวินหลันสงสารตนเอง จึงรีบเอ่ยขอบคุณ แล้วทำตามคำสั่งของถาวจวินหลัน

 

 

“เจ้าเป็นเส้นสายที่ท่านอ๋องจัดเตรียมเอาไว้อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันอยากถามเรื่องนี้

 

 

ชุนฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าหลี่เย่โปรดปรานเอ็นดูถาวจวินหลันมากขนาดนี้ จะต้องพูดไว้ก่อนแล้ว จึงพูดอย่างสบายใจ “เจ้าค่ะ ท่านอ๋องจัดการให้บ่าวไปอยู่ข้างกายชายาเอกเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้ถามว่าหลี่เย่จัดให้ชุนฮุ่ยไปอยู่ข้างกายหลิวซื่อเพื่ออะไร หากอยากถามก็ต้องไปถามหลี่เย่ ไม่ใช่ถามชุนฮุ่ย ที่นางอยากถามก็คือ “ข้าถามเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ คิดว่าเจ้าเองก็ต้องปรนนิบัติข้างกายชายาเอกมาตลอด ทำไมถึงไม่พบความผิดปกติของชายาเอกเลยเล่า? นางติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร เจ้าไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ชุนฮุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ กลัวว่าถาวจวินหลันจะสงสัยตนเอง จึงรีบพูดอธิบายว่า “แม้จะบอกว่าได้รับเบี้ยหวัดของบ่าวรับใช้ใหญ่ แต่ความจริงแล้วบ่าวรับใช้ข้างกายมีเพียงชิงอวิ๋นเจ้าค่ะ บ่าวเข้าไปช่วยบ้างเป็นบางครั้ง พระชายาไม่เชื่อใจบ่าว ดังนั้นทุกเรื่องจึงปิดบังบ่าวเอาไว้ คราวนี้ที่พระชายาล้มป่วย ชิงอวิ๋นก็บอกว่าเป็นโรคเก่ากำเริบ พระชายาไม่อนุญาตให้ไปเชิญหมอหลวง ทุกวันเพียงแค่ทานยาเม็ดเท่านั้นเจ้าค่ะ เป็นยาเม็ดที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งคนมามอบให้เจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันจำได้ว่าฮองเฮาประทานยาเม็ดมาให้จำนวนหนึ่ง และเพราะว่าครั้งนั้นหลี่ว์หลิ่วถึงได้ทำให้จวนอ๋องหลายที่ต้องถูกกักตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง จวงอ๋องก็ล้มป่วยเพราะว่าสาเหตุนี้

 

 

ยาเม็ดนั้นนางไม่ได้แตะแม้แต่น้อย ทว่าให้คนเอาไปเก็บไว้

 

 

“ตั้งแต่ฮองเฮาเริ่มประทานยามาให้ ด้านชายาเอกก็ไม่มีคนอื่นมาอีกแล้วใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันยังคงอึดอัดมาก แม้เรือนของหลิวซื่อจะไม่ได้แน่นหนา แต่·ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะเข้าไปก็ได้

 

 

หากมีคนอื่นเข้าไปในเรือนของหลิวซื่อ นางจะต้องรู้ข่าวในทันที

 

 

ชุนฮุ่ยพยักหน้า “ไม่มีคนอื่นเข้ามาเจ้าค่ะ”

 

 

คราวนี้ถาวจวินหลันยิ่งอึดอัดขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อไม่มีคนอื่นเข้าไป แบ้วพระชายาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร”

 

 

ชุนฮุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกรายละเอียดเรื่องหนึ่งได้ “กล่องยานั้นของพระชายา จะพูดให้น้อยก็มีกว่ายี่สิบเม็ด แต่พอพระชายาล้มป่วยแล้ว บ่าวเคยเห็นพระชายาทานยาครั้งหนึ่ง ภายในกล่องนั้นกลับเหลือยาเพียงสามสี่เม็ดเจ้าค่ะ เกรงว่าคงจะทานมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันคำนวณเวลาอย่างละเอียด ในใจก็กระตุกวูบ “ความหมายของเจ้าคือโรคระบาดของพระชายาปรากฏอยู่บนยานั้น” เมื่อพูดเช่นนี้ก็อธิบายได้ หลังจากครั้งแรกที่ไม่มีคนติดเชื้อโรคระบาด หลิวซื่อคงเริ่มลงมือ ถ้าหากกินตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี

 

 

“ยานั่นยังเหลืออยู่หรือไม่?” ในเมื่อเกิดความสงสัย ถาวจวินหลันย่อมต้องตรวจสอบอย่างละเอียด

 

 

แต่ชุนฮุ่ยกลับส่ายหน้า “พระชายากินหมดก็ให้ชิงอวิ๋นเผากล่องไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้ว กล่องยายังจำเป็นต้องเผา? เพียงแค่ดูจากเรื่องนี้ ก็รู้ได้ว่าในนี้จะต้องแอบแฝงอะไรเป็นแน่

 

 

“ชิงอวิ๋นก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้วหรือ?” ถาวจวินหลันถามขึ้นอีก

 

 

ชุนฮุ่ยพยักหน้า “ติดโรคระบาดแล้วเจ้าค่ะ อาการรุนแรงมาก เห็นว่าใกล้จะทนไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย หากชิงอวิ๋นทนไม่ได้ เบาะแสก็จะขาดตอน ไม่สามารถสืบได้ว่าฮองเฮาทำอะไรเอาไว้บ้าง ไม่ได้การ จะต้องคิดหาวิธีรักษาชิงอวิ๋นเอาไว้ให้ได้

 

 

“เจ้าคิดให้ละเอียดอีกที ยังมีอะไรน่าสงสัยอีกหรือไม่” ถาวจวินหลันกำชับชุนฮุ่ย จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าเองก็หิวแล้ว ทานข้าวเช้าเสร็จก็จะไปนอนเลย เจ้าไปบอกให้ห้องครัวจัดโต๊ะเถิด”

 

 

พอกินข้าวเช้าเสร็จ ถาวจวินหลันก็ไปนอน

 

 

นางตื่นอีกทีก็เป็นตอนบ่าย นางเพิ่งตื่น ก็ได้ยินหงหลัวและปี้เจียวคุยอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาเรื่องอะไรกัน

 

 

เห็นว่านางตื่นขึ้นมา ทั้งสองคนก็รีบหยุดพูด ปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตาทานยา และทานอะไรอีกเล็กน้อยก็ถือว่าหมดหน้าที่

 

 

“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดอะไรกันอยู่หรือ?” ถาวจวินหลันเอียงพิงหมอน พลางมองไปทางปี้เจียวที่ใช้ไม้ทุบนวดขาให้ตนเองอยู่ แล้วเอ่ยถาม

 

 

หงหลัวส่ายหน้า “คุยเล่นเรื่องจิปาถะภายในจวนเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสำคัญเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันเห็นว่าหงหลัวไม่ยอมพูด จึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้า “ทางด้านชายารองเจียงเป็นอย่างไรบ้าง?” อาการของเจียงอวี้เหลียนรุนแรงกว่านางมากนัก ในเมื่อมียา แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะทนต่อไปได้หรือไม่ หากผ่านไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานศพ ต่อจากนี้ไปเซิ่นเอ๋อร์จะให้ใครดูแลก็ยังเป็นปัญหา

 

 

พูดจากใจแล้ว นางอยากให้เจียงอวี้เหลียนทนต่อไป อย่างไรหากไม่มีเจียงอวี้เหลียนแล้ว หลี่เย่ก็ยังจะต้องเพิ่มผู้หญิงในจวนอีก ต่อให้เขาไม่ยินยอม ไทเฮาและฮ่องเต้ก็ไม่มีทางเห็นด้วย ถ้าจะต้องเอาสตรีตระกูลดีแต่ไม่รู้นิสัยมา ไม่สู้ให้เจียงอวี้เหลียนหายดี อย่างน้อยเจียงอวี้เหลียนก็คงจะไม่ดิ้นรนอะไรอีกแล้ว หากมีคนใหม่เข้ามา คงต้องทรมานและวุ่นวายไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแน่นอน

 

 

“อาการของชายารองเจียงไม่ดีมาก วันนี้เช้าก็ยังอาเจียนเป็นเลือด” หงหลัวถอนหายใจ เห็นชัดว่าอาการเจียงอวี้เหลียนไม่ได้ดีนัก “เกรงว่าจะทนไม่ไหวเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็อดถอนหายใจไม่ได้ หากทนผ่านไปไม่ได้ก็ไม่มีหนทางแล้ว

 

 

“ให้คนส่งยาบำรุงชั้นดีไป ยาปี้เซียวตานก็มอบไปให้ด้วย” ถาวจวินหลันพูดต่อ “ทำเรื่องที่ควรทำอย่างสุดความสามารถ นอกจากนั้นก็ฟังลิขิตสวรรค์แล้วกัน” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจอีกครั้ง “หากตายไปเช่นนี้ เซิ่นเอ๋อร์คงจะไม่ได้เห็นหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย”

 

 

หากเซิ่นเอ๋อร์โตกว่านี้หน่อย นางเองก็อาจจะกล้าตัดสินใจเสี่ยงให้เจียงอวี้เหลียนได้พบหน้าลูกชาย แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็กนัก แม้ว่านางจะคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าทำ

 

 

หงหลัวกลับคิดเรื่องหนึ่งได้ “วันนี้ตอนเช้ามีฎีกาส่งออกจากด้านพระชายา เป็นฎีกาสั่งเสียของพระชายา”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ตะลึงไป “พระชายายังเก็บฎีกาสั่งเสียเอาไว้หรือ?” ตามหลักเกณฑ์แล้วสตรีที่มีชุดตำแหน่งสามารถส่งฎีกาสั่งเสียไปได้ เหมือนกับขุนนางชราเหล่านั้นที่ส่งฎีกาสั่งเสียให้ฮ่องเต้ได้ ปกติแล้วเป็นเรื่องที่ผู้ตายยังมีห่วง และส่วนใหญ่แล้วฮ่องเต้ก็จะบรรลุความปรารถนาของพวกเขา อย่างไรก็เป็นขุนนางชรา ทำงานให้ราชสำนักมาทั้งชีวิต ฉะนั้นคงไม่ดีหากละเลยความต้องการสุดท้ายของผู้ตาย

 

 

ส่วนฎีกาสั่งเสียของสตรีจะถูกส่งไปให้ฮองเฮา แน่นอนว่าเป็นไทเฮาก็ได้

 

 

แต่ไม่รู้ว่าในฎีกาสั่งเสียของหลิวซื่อทิ้งคำพูดอะไรเอาไว้? นางมีอะไรอยากร้องขอกันแน่? ถ้าจะบอกว่าไม่แปลกใจก็เป็นเรื่องโกหก ความเป็นจริงแล้วถาวจวินหลันแปลกใจมาก

 

 

แต่ในเมื่อส่งฎีกาออกไปแล้ว นางย่อมต้องไม่รู้เป็นแน่ ไม่ว่าจะสงสัยมากเพียงใด ก็ทำได้เพียงคาดเดาอยู่คนเดียวเท่านั้น

 

 

ตอนนี้นางยิ่งเป็นกังวลอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือกำหนดการแต่งตั้งชายาเอกคนใหม่ให้หลี่เย่จะเกิดขึ้นเมื่อไร