บทที่ 470 พระชายาคนใหม่

บัลลังก์พญาหงส์

ที่บอกว่าเมื่อโรคมาก็มาอย่างรุนแรง นานมากกว่าโรคจะหาย แม้ว่าจะบำรุงอย่างดี แต่เมื่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูตามจิ้งหลิงกลับมา ถาวจวินหลันก็ยังคงไม่หายดี

 

 

ยังดีที่ท่าทีผ่ายผอมหมือนโครงกระดูกไม่มีให้เห็นแล้ว มิเช่นนั้นนางคงเป็นกังวลว่าจะทำให้ลูกหญิงชายทั้งสองคนตกใจ

 

 

ลองคำนวณเวลาดูแล้ว ซวนเอ๋อร์และหมิงจูจากไปเกือบสามเดือน ซวนเอ๋อร์ยังดี อย่างไรก็ยังจดจำคนได้ แต่หมิงจูกลับลืมไปแล้วว่าบิดามารดาของตนเองหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อเจอหน้าถาวจวินหลันยังดี บางทีอาจพอมีสายสัมพันธ์แม่ลูก สุดท้ายก็ไม่ได้ห่างเหินขนาดนั้น แต่เมื่อเจอหน้ากับหลี่เย่ แม้แต่อุ้มก็ยังไม่ยอมให้หลี่เย่อุ้ม

 

 

เมื่อคิดว่าไทเฮาคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูมาก ถาวจวินหลันให้หมิงจูปรับตัวอยู่สองสามวัน ก็พาพวกเขาพี่น้องเข้าไปในวังหลวง นี่ก็เป็นการเข้าวังทำความเคารพไทเฮาครั้งแรกหลังจากนางหายป่วย

 

 

ถาวจวินหลันก็ตั้งใจไปรับเซิ่นเอ๋อร์กลับมา นี่คือคำร้องขอของเจียงอวี้เหลียน หลายวันมานี้ เจียงอวี้เหลียนคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์จนไม่อยากกินอาหารแล้ว ถ้าไม่พากลับมาเกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงจะก่อเรื่องอีกแน่

 

 

แน่นอนว่านางเองก็เห็นแก่ตัว ด้วยเป็นแม่ของซวนเอ๋อร์ นางไม่ดีใจที่จะเห็นไทเฮาเอ็นดูหรือโปรดปรานเซิ่นเอ๋อร์ นางหวังจากใจจริงให้ซวนเอ๋อร์เป็นที่หนึ่ง

 

 

พูดถึงเจียงอวี้เหลียนก็ถือว่าโชคดีมาก อาการหนักมากขนาดนั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายยังรอดมาได้ แม้จะบอกว่ามีผลข้างเคียง ต่อจากนี้ไปในฤดูหนาวจะไอง่ายขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังรักษาชีวิตได้มิใช่หรืออย่างไร?

 

 

อาการของคนในจวนที่พอๆ กับเจียงอวี้เหลียน แต่มีเพียงเจียงอวี้เหลียนที่ทนมาได้ แม้แต่ชิงอวิ๋นที่ถาวจวินหลันลงแรงไปมากถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยไว้ได้

 

 

เดินทางเข้ามาในวังหลวง ถาวจวินหลันย่อมต้องเดินตรงไปที่วังหย่งโซ่วของไทเฮาก่อน

 

 

ไทเฮาเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ จางหมัวหมัวกำลังช่วยเช็ดเหงื่อให้ไทเฮา ก็ได้ยินเสียงรายงานจากข้างนอกว่าชายารองถาวมา

 

 

ไทเฮาได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มให้จางหมัวหมัวออกไปรับ “ซวนเอ๋อร์จะต้องกลับมาแล้วเป็นแน่ เจ้ารีบไปดูเร็วเข้า” หลายวันที่ไม่ได้พบ ไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์ยังจำย่าคนนี้ได้หรือไม่?

 

 

จางหมัวหมัวได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ ก็ถอนหายใจ รีบยิ้มพลางพูดว่า “เพคะ ไทเฮาอย่าเร่งรีบไป ซวนเอ๋อร์ยังอยู่ข้างนอกเป็นแน่ บ่าวจะรับซวนเอ๋อร์เข้ามาเพคะ”

 

 

พูดไปพลาง ในใจของจางหมัวหมัวก็คิดไปพลาง ก่อนหน้านี้ยังเป็นกังวลว่าไทเฮาจะพาลไม่ชอบใจซวนเอ๋อร์เพราะเรื่องของถาวจวินหลันไปด้วย ตอนนี้มาคิดดูแล้วคงกังวลมากเกินไป ไม่แน่ว่าเพราะเห็นแก่หน้าซวนเอ๋อร์ เลยไว้หน้าถาวจวินอยู่บ้างด้วยซ้ำไป

 

 

จางหมัวหมัวออกจากห้องไป ก็เห็นถาวจวินหลันพาแม่นมและบ่าวสองคนยืนรออยู่ด้านนอกตามที่คาดไว้ เด็กทั้งสองคนถูกจูงเอาไว้คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอุ้มเอาไว้ น่ารักบอบบางเหมือนก้อนหยก ทำให้หัวใจของคนละลาย

 

 

จางหมัวหมัวคิดในใจ ไม่แปลกใจที่ไทเฮาจะลำเอียงเอ็นดูซวนเอ๋อร์ เพียงแค่มองซวนเอ๋อร์ก็ดีกว่าเซิ่นเอ๋อร์ อีกอย่างชายารองถาวก็เลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ

 

 

แม้แต่หมิงจูที่เด็กกว่าเซิ่นเอ๋อร์ แต่ก็เลี้ยงให้คนรู้สึกชอบใจได้มากกว่าเซิ่นเอ๋อร์ ท่าทีไม่ร้องไม่โวยวาย หัวเราะอารมณ์ดีนี้จะไม่ให้คนชอบใจได้อย่างไร?

 

 

เมื่อเข้าไปในห้อง ไม่ทันรอให้ถาวจวินหลันพาเด็กๆ ทำความเคารพไทเฮา ไทเฮาก็โบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ก่อน “มา ซวนเอ๋อร์มาเร็วเข้า มาหาย่าเร็ว”

 

 

ซวนเอ๋อร์จำไทเฮาได้ จึงรีบสะบัดมือของแม่นมออกอย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว พุ่งเข้าไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม วิ่งไปพลางตะโกนเสียงดังไปพลาง “เสด็จย่า!”

 

 

ไทเฮาที่ชื่นอกชื่นใจก็พูดตอบรับติดๆ กัน เอ่ยชมว่า “ซวนเอ๋อร์น่ารักนัก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พูดชัดกว่าแต่ก่อนแล้ว แค่ได้ยินเสียงก็รู้ ซวนเอ๋อร์จะต้องตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ”

 

 

ถาวจวินหลันยืนอยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้ม ไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ออกข้างนอกไปครั้งหนึ่ง นิสัยของซวนเอ๋อร์ยิ่งดื้อรั้นขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน แม้แต่เสียงก็ดังมากยิ่งขึ้น สองวันก่อนหน้านี้ก็ร้องไห้หนัก แทบจะกระชากผนังห้องพัง

 

 

แต่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้มีท่าทีเหมือนเด็กมากขึ้น

 

 

พูดไปพลาง ไทเฮาก็หยิบขนมพุดตานที่อยู่ข้างมือส่งให้ซวนเอ๋อร์ “เอาไปกินเถิด”

 

 

ซวนเอ๋อร์ไม่เกรงใจ รับไปถือเอาไว้ในมือ ตอนที่กำลังจะกัดเข้าไป ฉับพลันก็สังเกตเห็นดวงตาดำเป็นประกายของหมิงจูมองมาที่ตน จึงรีบหยิบออกมา ส่งไปให้ “ให้น้อง”

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกใจ รอยยิ้มยิ่งมายิ่งมีเมตตา “ซวนเอ๋อร์รู้จักแบ่งปันน้องสาวแล้ว รู้ความมากจริงๆ”

 

 

แต่หมิงจูยังเล็ก ถาวจวินหลันไม่กล้าให้หมิงจูกิน จึงพูดกล่อมซวนเอ๋อร์เสียงอ่อนว่า “ซวนเอ๋อร์กินเองเถิด นี่ไม่ใช่น้ำตาล ไม่อาจให้น้องสาวกินได้”

 

 

ซวนเอ๋อร์ถึงได้พยักหน้าส่งเข้าปากตัวเองไปคำหนึ่ง อาจด้วยอร่อย ดวงตาจึงหรี่ลง

 

 

ไทเฮามองอยู่ รู้สึกน่ารักน่าเอ็ดดูยิ่งนัก จึงโอบซวนเอ๋อร์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

 

สุดท้ายแล้วก็เป็นจางหมัวหมัวที่เตือนไทเฮา “จะให้อุ้มคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกมาหรือไม่เพคะ? ให้พวกเขาพี่น้องได้พบกัน”

 

 

แล้วแม่นมก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา ถาวจวินหลันมองทีหนึ่งก็อดมองไปทางหมิงจูไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์ดูแล้วไม่ได้มีเรี่ยวแรงแข็งแรงเท่าหมิงจู

 

 

ซวนเอ๋อร์พุ่งเข้าไปดู เซิ่นเอ๋อร์ไม่สนใจเขา เขาเองก็ไม่ได้ตื้ออีก เดินออกไปเล่นอีกทางหนึ่ง

 

 

ไทเฮาเห็นว่าซวนเอ๋อร์คิดแต่จะออกไปเล่นไปข้างนอก จึงสั่งให้นางกำนัลและแม่นมพาซวนเอ๋อร์ออกไปอย่างจนปัญญา และให้เซิ่นเอ๋อร์กับหมิงจูตามไปด้วย เหลือเพียงแค่ถาวจวินหลันเอาไว้พูดคุย เรื่องนี้ ถาวจวินหลันคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว

 

 

เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ไทเฮาคงไม่อาจไม่ถามอะไรแม้แต่น้อย

 

 

“ตอนนี้ใครเป็นคนถือสิทธิ์ขาดดูแลจวนอ๋อง?” คำถามแรกที่ไทเฮาเปิดปากถามคือสิ่งนี้อย่างที่คาดเอาไว้

 

 

ถาวจวินหลันตอบตามตรง “ยังคงเป็นหม่อมฉันเพคะ แต่ตอนนี้ร่างกายของหม่อมฉันไม่ค่อยสมบูรณ์พร้อมนัก จึงให้อี๋เหนียงคนอื่นภายในจวนคอยช่วยเหลือ ไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ถือว่าเป็นเรื่องดีภายในเรื่องไม่ดีเพคะ”

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” นี่ก็เป็นเพราะว่าคนในจวนตวนชินอ๋องมีน้อย มิเช่นนั้นแล้วไฉนเลยจะสงบเงียบเช่นนี้? ดังนั้นพูดได้ว่ามีอนุภรรยาเยอะก็มีข้อดีของมัน รับอนุภรรยาน้อยก็มีข้อดีของมันเช่นกัน

 

 

ข้อดีที่หลี่เย่หัวแข็งไม่รับอนุภรรยาเยอะได้แสดงให้เห็นตอนนี้แล้ว

 

 

“เรื่องงานศพของหลิวซื่อจัดการอย่างเหมาะสมหรือไม่?” ไทเฮาถามเรื่องอื่นอีก

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “จัดการอย่างเหมาะสมแล้วเพคะ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาด”

 

 

“หลิวซื่อโชคร้ายนัก” ไทเฮาขมวดคิ้ว “ตายในช่วงเวลานั้นพอดี แม้แต่งานศพเองก็ยังจัดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้เจ้าถึงต้องจัดการให้ดีเสียหน่อย อย่าให้คนอื่นคิดว่าจวนตวนชินอ๋องเย็นชาเกินไป แม้แต่งานศพก็ยังทำให้ดีไม่ได้”

 

 

แม้จะบอกว่าเป็นงานศพ แต่ถ้าพิธีเล็กเกินไปก็ทำให้หลี่เย่เสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร? “ข้าได้ยินว่าไม่ได้เอาไปฝังที่สุสานตะวันตกหรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

ถาวจวินหลันอธิบายอย่างละเอียด “นี่เป็นคำร้องขอสุดท้ายของพระชายาเพคะ บอกว่าอยากฝังที่เดียวกับลูกชาย เพื่อไม่ให้เด็กเหงา จิตใจความเป็นแม่ของนางนี้ ท่านอ๋องเองก็เข้าใจดีเพคะ จึงได้อนุญาต ดังนั้นถึงไม่ได้ไปฝังที่สุสานตะวันตก” สุสานตะวันตกถือเป็นสุสานของสมาชิกราชวงศ์ นอกจากฮ่องเต้ในรัชกาลก่อนแล้ว สมาชิกของราชวงศ์ก็จะฝังอยู่ที่นั่นเช่นกัน ตามหลักการแล้วหลิวซื่อเองก็ต้องถูกฝังอยู่ที่สุสานตะวันตกเช่นเดียวกัน แต่ด้วยลูกชายของนางยังไม่ครบปีก็เสียชีวิตไปก่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถฝังที่สุสานตะวันตกได้ ดังนั้นหลิวซื่อเองก็ไม่อาจฝังที่สุสานตะวันตก

 

 

ไทเฮาพยักหน้า ถอนหายใจทีหนึ่ง “ช่างน่าสงสารจิตใจคนเป็นแม่เหลือเกิน”

 

 

ถาวจวินหลันก็ทอดถอนหายใจเช่นเดียวกัน

 

 

ไทเฮาไม่ได้รำพึงรำพันอยู่นาน แล้วพูดถึงเรื่องอื่น “หลิวซื่อจากไปกะทันหัน ต้องหาชายาเอกคนใหม่ให้ตวนอ๋องแล้ว อายุขนาดนี้ก็เริ่มยากแล้ว”

 

 

ในเมื่อต้องเป็นชายาเอก ถ้าเด็กเกินไปก็ไม่เหมาะสม แต่ถ้าอายุมากเกินไปก็ไม่ได้ทำให้คนพอใจได้ พูดไม่น่าฟังก็คืออายุเยอะขนาดนั้นแล้วยังไม่แต่งงาน เกรงว่าคงจะมีอะไรที่ไม่ดี และถูกคนคัดตกไปในที่สุด

 

 

ถาวจวินหลันมองไทเฮาทีหนึ่ง รู้ดีว่าไทเฮาเริ่มพิจารณาหาภรรยาคนใหม่ให้หลี่เย่แล้ว อีกทั้งความหมายของไทเฮาก็คือหาคนใหม่จากด้านนอกมาแต่งเข้าเรือน

 

 

เรื่องนี้นางไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้ จึงก้มหน้าไม่พูดจา

 

 

กลับเป็นไทเฮาที่ยิ้มน้อยๆ พลางถามนางว่า “ถาวซื่อ เจ้ารู้ความชื่นชอบของตวนชินอ๋องมากที่สุด เจ้าว่าเขาขอบชายาเอกแบบไหนมากที่สุด?”

 

 

นิ้วของถาวจวินหลันพลันกำแน่น นางรู้ชัดว่าไทเฮาเพียงนางไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากได้คำตอบอะไรจากปากของนาง

 

 

แต่ในเมื่อไทเฮาเอ่ยปากแล้ว หากนางไม่ตอบก็จะดูไร้มารยาท ไร้กาลเทศะไปเสียหน่อย ดังนั้นจะตอบอย่างไรก็ล้วนเป็นปัญหาทั้งนั้น

 

 

ก่อนอื่น ตามเหตุตามผลแล้ว นางไม่มีคุณสมบัติไปเลือกชายาเอกแทนหลี่เย่ ยิ่งไม่ต้องพูดว่านางยินยอมหรือไม่ หากนางกล้าแสดงความคิดเห็นอะไรที่เป็นจริงมา เกรงว่าไทเฮาคงไม่ไว้หน้าอย่างแน่นอน และคงคิดว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่

 

 

อีกอย่างนางเองก็ไม่รู้จะหาชายาเอกอย่างไรให้กับหลี่เย่

 

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายถาวจวินหลันก็ส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ยังต้องพึ่งไทเฮาตัดสินใจเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบ หากเรื่องอนุภรรยา หม่อมฉันยังพูดได้บ้าง แต่นี่เป็นการตบแต่งชายาเอก ไฉนเลยจะมีพื้นที่ให้หม่อมฉันออกความเห็นเล่าเพคะ?”

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ลอบพยักหน้าพอใจ คิดว่าถาวจวินหลันเป็นคนรู้จักกาลเทศะ แต่เมื่อคิดถึงฎีกาของหลิวซื่อ ในใจของไทเฮาก็ไม่ค่อยพอใจ ความพอใจจึงค่อยๆ หายไป

 

 

ถาวจวินหลันปล่อยให้ไทเฮาพิจารณาตามใจชอบ พยายามทำท่าทีโอนอ่อนคล้อยตาม แน่นอนว่าในใจของนางต้องไม่พอใจอยู่มากนัก ถ้าพูดตามความรู้สึกในใจแล้ว นางไม่คาดหวังให้หลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา แต่ถ้าพูดตามหลักเกณฑ์แล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมากที่สุด

 

 

ไทเฮาหัวเราะ “ข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ เพียงแค่ให้เจ้าออกความเห็นเท่านั้น ในมือของข้าพอมีตัวเลือกอยู่บ้าง เจ้าช่วยข้าดูเสียหน่อย”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าไทเฮาเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว แต่เพียงแค่นางไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วไทเฮาคิดจะทำอะไรกันแน่

 

 

เรื่องการเลือกพระชายาคนใหม่ นางคิดว่าต่อให้ควรทำ แต่สุดท้ายก็ดูเร่งรีบมากเกินไปหน่อย

 

 

หลิวซื่อยังตายไม่ถึงครึ่งปีเลยด้วยซ้ำไป! หากเสนอเรื่องชายาเอกคนใหม่ขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนอื่นจะคิดอย่างไร?

 

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากว่า…