บทที่ 471 พุทราหวาน

บัลลังก์พญาหงส์

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากพูดว่า “ตอนนี้เพิ่งทำพิธีฝังพระชายาไปไม่นาน ทำอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมหรือไม่เพคะ? ข่าวกระจายออกไปแล้วชื่อเสียงของท่านอ๋องคงไม่ดีแน่เพคะ”

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง หัวเราะออกมา “เรื่องนี้ข้าย่อมต้องเข้าใจ แต่ตอนนี้ก็เพียงแค่ดูเท่านั้น ตกลงกันเป็นการส่วนตัวก็ยังไม่ได้เอาเข้าประตูมาในทันใด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น คงไม่อาจรอให้พ้นปีไปก่อนแล้วถึงเริ่มพูดเรื่องแต่งงานได้ ถ้าเช่นนั้นกว่าจะแต่งเข้าเรือนมาต้องรอนานถึงขนาดไหนกัน? ตอนนี้จวนตวนชินอ๋องไม่มีนายหญิง ช่างไม่ถูกต้องเสียจริง”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งกล้ำกลืนฝืนทน ความหมายของไทเฮานั้นเห็นได้ชัดว่ารอจนชายาเอกคนใหม่เข้ามาในเรือนแล้ว ก็จะยกอำนาจดูแลจวนในมือของนางให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ผิด อย่างไรนางก็เพียงแค่จัดการชั่วคราวเท่านั้น ย่อมไม่อาจสู้ชายาเอกตวนอ๋องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมได้

 

 

“หากไทเฮาเห็นว่าหม่อมฉันตัดสินใจรอบคอบ หม่อมฉันเองก็ช่วยดูได้เพคะ” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ทำได้แค่เพียงพูดเช่นนี้ ในใจของนางรู้ดี ที่ไทเฮาพูดมามากมายเช่นนี้ ก็เพียงต้องการฟังคำนี้ของนางเท่านั้น แต่นางกลับไม่ยินยอมพูดอย่างถ่อมตัวมากเกินไป

 

 

ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันยอมพูด รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นชายาเอก ตำแหน่งของซวนเอ๋อร์ก็ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ เจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดซวนเอ๋อร์ ย่อมต้องไม่ได้รับความอยุติธรรมเป็นแน่”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะทันที นี่ถือว่าตบหัวแล้วลูบหลังมิใช่หรือ? สมแล้วที่เป็นไทเฮา พูดเรื่องนี้ไหลลื่นราวสายน้ำ เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

 

 

หากนางเป็นกังวลแค่ตำแหน่งของซวนเอ๋อร์จะถูกโค่น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ย่อมต้องดีใจอย่างถึงที่สุด แต่เหตุผลหลักที่นางไม่อยากให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา กลับเป็นเพราะใจของนางเอง ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ไม่เพียงแค่ไม่ดีใจ แต่กลับรู้สึกเย้ยหยัน

 

 

แต่คำพูดเหล่านี้นางย่อมไม่อาจให้ไทเฮารู้ได้ หากไทเฮาได้ยิน คงจะคิดว่านางคิดเพ้อเจ้อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มิใช่หรือ?

 

 

ดังนั้น สุดท้ายแล้วนางก็ทำได้แค่ก้มหัว พูดเสียงเบา “ขอบพระทัยไทเฮาที่สงสารหม่อมฉันเพคะ”

 

 

หลังจากนั้นไทเฮาก็นำภาพเหมือนของหญิงสาวสองสามคนมาให้ถาวจวินหลันดู แต่ละคนหน้าตางดงาม ตระกูลโด่งดัง พูดได้ว่าทุกคนห่างกับถาวจวินหลันไกลจนมองไม่เห็นฝุ่น

 

 

ถาวจวินหลันไม่เพียงแแค่พูดว่าใครดี แต่ยังเอ่ยชมทุกคนสองสามคำ และเก็บคำพูดไม่ดีไว้ในใจ นางรู้ดี หากนางกล้าจับผิด ไทเฮาจะต้องไม่พอใจเป็นแน่ ดังนั้นไม่สู้เอ่ยชมออกมาทุกคน แสดงท่าทีที่ดีออกมายังจะดีกว่า

 

 

แต่ที่จริงแล้วก็ไม่มีข้อให้จับผิด ในเมื่อส่งมาถึงมือของไทเฮาแล้ว สตรีทุกนางที่อยู่ในสมุดภาพของไทเฮาย่อมหาเรื่องจับผิดได้ยาก ต่อให้มีก็ถูกข้อดีกลบไปหมด

 

 

พอดูภาพเหมือนของสตรีที่เป็นตัวเลือกชายาเอกตวนชินอ๋องแล้ว ไทเฮาก็ทอดถอนใจ “ว่าไปแล้ว หลิวซื่อส่งฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมา แสดงความคิดเห็นหนึ่งต่อข้า พอมาคิดดูให้ละเอียดแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้พูดถึงหลิวซื่อ? หรือจะบอกว่าฎีกาของหลิวซื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?

 

 

เมื่อคิดถึงคำพูดของหลิวซื่อตอนนั้น ถาวจวินหลันพลันใจเต้นเร็ว หรือว่า…หากเป็นจริงตามที่นางคาดเดา ไทเฮาจะมีความเห็นเช่นไร?

 

 

ขณะที่ถาวจวินหลันใจเต้นดั่งกลองรัว และความคิดสับสนวุ่นวาย ไทเฮาก็พูดออกมา “หลิวซื่อให้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง”

 

 

นี่เหมือนกับสิ่งที่ถาวจวินหลันคาดเดาเอาไว้ แต่ถาวจวินหลันกลับมองไม่เห็นว่าไทเฮาจะเห็นด้วย

 

 

เมื่อเจอกับสายตานิ่งของไทเฮาที่มองมา ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของไทเฮา ไทเฮาคิดจะให้นางเอ่ยปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตนเอง จึงอดแค่นหัวเราะในใจไม่ได้ ปกติไทเฮาก็ดูถูกนางอยู่แล้ว

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับแสร้งเป็นไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา เพียงแค่แสดงท่าทีแปลกใจ “พระชายาเขียนเรื่องเช่นนั้นในฎีกาหรือเพคะ!”

 

 

ไทเฮาหรี่ตาลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา ถามออกมาตามสบายว่า “อะไรกัน เจ้าไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หม่อมฉันก็เพิ่งรู้ตอนที่ฎีกาถูกส่งไปแล้ว ส่วนเนื้อหานั้นหม่อมฉันย่อมไม่รู้แม้แต่น้อยเพคะ”

 

 

ไทเฮาพยักหน้า แต่กลับไม่ได้พูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ จากที่ถาวจวินหลันดูแล้ว เกรงว่าไทเฮาคงไม่เชื่อคำพูดนี้แม้แต่น้อย

 

 

แต่ไทเฮาจะเชื่อหรือไม่แล้วเกี่ยวข้องอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่มีทางให้นางเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องเป็นแน่ ดังนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร

 

 

“ตวนชินอ๋องมีนิสัยเรียบง่าย เกรงว่าหลายเรื่องคงจะขัดกัน เจ้ากลับไปเกลี้ยกล่อมเขาเสียหน่อย” ไทเฮาถอนหายใจ ฉับพลันก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

 

หากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ไทเฮา หากนางไม่ได้เคารพไทเฮา เกรงว่าตอนนี้นางคงหัวเราะเยาะออกมา ไทเฮาวางแผนมาดีตามที่คาดไว้ ตบหัวแล้วลูบหลัง ปล่อยให้นางดิ่งลึกลงไปอีกครั้ง สุดท้ายก็ให้นางไปเกลี้ยกล่อมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่

 

 

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ของไทเฮาก็เป็นการลอบสังเกตการณ์ หากนางเชื่อฟังไทเฮากล่อมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา ก็แสดงว่านางไม่มีความคิดทะเยอะทะยานนั้นจริง แต่หากนางพูดอย่างอื่นต่อหน้าหลี่เย่ หรือไปเป่าหูหลี่เย่ให้แต่งตั้งนางเป็นชายาเอก เช่นนั้นก็ถือว่าแสดงความทะเยอทะยานของนางอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก หลุบตาลงปิดบังอารมณ์ของตนเองเอาไว้ พูดเสียงเบา “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในใจของท่านอ๋องย่อมต้องมีความคิดอยู่แล้วเพคะ ไม่ใช่เรื่องที่หม่อมฉันเข้าไปแทรกได้ แต่หม่อมฉันจะนำความตั้งใจของไทเฮาไปถ่ายทอดให้ท่านอ๋องฟัง ท่านอ๋องกตัญญูมาโดยตลอด คิดว่าจะต้องเชื่อฟังไทเฮาเป็นแน่เพคะ”

 

 

ให้นางไปพูดอะไรต่อหน้าหลี่เย่ก็ได้ แต่ถ้าจะให้นางไปกล่อมหลี่เย่ยอมรับผู้หญิงคนอื่น นางไม่ยินยอม! ต่อให้ต่อจากนี้ไปจะต้องสูญเสียความช่วยเหลือจากไทเฮา นางเองก็ยินยอม!

 

 

บางทีถ้าเป็นแต่ก่อนนางคงลังเลแล้วสุดท้ายก็จะยอมให้เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นไทเฮา แต่ตอนนี้…ความเป็นความตายก็ผ่านมาแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากไทเฮา หรือว่านางจะทำเรื่องที่ตนเองอยากทำไม่ได้หรืออย่างไร?

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องทั้งที่เข้าใจดีของถาวจวินหลัน ไทเฮาย่อมไม่อาจทำอะไรต่อไปได้ เพียงแค่สีหน้าเย็นลงหลายส่วน ออกคำสั่งไล่แขก “ให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ในวังอีกสักสองสามวันก่อนเถิด ข้าไม่ได้พบพวกเขามานาน คิดถึงเป็นที่ยิ่ง”

 

 

แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่ได้คิดว่าไทเฮาจะเอาซวนเอ๋อร์และหมิงจูมาข่มขู่นาง จึงยิ้มและพูดว่า “ไทเฮาไม่รังเกียจพวกเขาว่าดื้อรั้นก็ไม่เป็นอะไรเพคะ สามารถคลายความไม่สบายใจของไทเฮาได้ ก็ถือว่าซวนเอ๋อร์มีประโยชน์แล้วเพคะ”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “แต่ชายารองเจียงคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์มาก ให้เซิ่นเอ๋อร์กลับไปหานาง ถือว่าทำให้นางมีความสุขเพคะ ไม่แน่ว่าเมื่อดีใจสุขภาพก็จะดีตามมาด้วยนะเพคะ ไทเฮาว่า…”

 

 

สำหรับเซิ่นเอ๋อร์นั้นไทเฮาย่อมไม่ได้ชื่นชอบขนาดนั้น จึงไม่ค่อยสนใจ โบกมือให้ทันที “พากลับไปเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันกำลังจะทูลลากลับจวนไป แต่ด้านนอกกลับมีนางกำนัลเข้ามารายงานกะทันหัน “อี๋เฟยเหนียงเหนียงพาองค์ชายน้อยมาเพคะ บอกว่ามาทำความเคารพไทเฮา”

 

 

อี๋เฟยกลับมาแล้ว? ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ หลายวันมานี้นางไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่อี๋เฟยได้ลูกชายกลับมา คิดว่าจะต้องมีอนาคตดีเป็นแน่

 

 

แต่เหตุผลตอนแรกที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นเป็นเพราะว่ามีดวงชะตาขัดกับไทเฮา ตอนนี้กลับเข้ามาเสนอตัวต่อหน้าไทเฮา ไม่กลัวว่าคนจะเอาไปนินทาหรืออย่างไร? หรือถ้าไทเฮาเป็นอะไรไป แล้วถูกผลักความรับผิดชอบไปที่นางเล่า?

 

 

คำพูดที่จะขอตัวลาตอนแรก ย่อมต้องกลืนเข้าไปอีกครั้ง พูดตามจริง นางอยากเห็นว่าอี๋เฟยเป็นอย่างไรบ้าง?

 

 

ไทเฮาพยักหน้า “ให้นางเข้ามา ด้านนอกลมแรง อย่าให้พัดจนหลานข้าตกใจ”

 

 

เพียงไม่นาน อี๋เฟยก็เข้ามา อุ้มผ้าไว้ในอ้อมอก ดูแล้วคงจะเป็นองค์ชายเก้า

 

 

ถาวจวินหลันลุกขึ้นทำความเคารพอี๋เฟย “ทำความเคารพอี๋เฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

 

 

อี๋เฟยทำความเคารพไทเฮาแล้ว ถึงได้มองมาทางถาวจวินหลัน เลิกคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นชายารองถาว อาจด้วยไม่ได้พบมานาน ได้ยินว่าเจ้าติดเชื้อโรคระบาดจนเกือบเสียชีวิตมิใช่หรือ? ตอนนี้ดูแล้วข่าวลือคงไม่เป็นจริงเสียแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหกก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้นเพคะ ด้วยความดีของอี๋เฟยเหนียงเหนียง ตอนนี้หม่อมฉันเกือบจะหายดีแล้วเพคะ กลับเป็นอี๋เฟยเหนียงเหนียงหลังจากให้กำเนิดแล้วกลับมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย ดูงดงามเหลือเกินเพคะ”

 

 

ตอนที่อี๋เฟยตั้งครรภ์นั้นผอมกว่านี้มาก เมื่อเทียบตอนนั้นกับตอนนี้แทบจะเป็นคนละคน ตอนนี้อวบอิ่มมีน้ำมีนวล สีหน้าย่อมต้องดูดีขึ้นมาก ยิ่งดูสวยมากขึ้นหลายส่วน

 

 

อี๋เฟยยิ้มสดใสออกมา “ขอบใจ” ท่าทีดูสมใจมากนัก

 

 

“นี่คือองค์ชายเก้าหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า พิจารณามองในผ้า แน่นอนว่าไม่ได้ยื่นมือออกไป หลังจากมองดูแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยชม “องค์ชายเก้าดูแข็งแรงยิ่งนัก ไม่เหมือนกับเพิ่งคลอดออกมาเลยแม้แต่น้อยเพคะ ดูท่าทางอี๋เฟยจะต้องเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแน่นอนเพคะ”

 

 

ดวงตาของอี๋เฟยเป็นประกาย เม้มปากหัวเราะ “แม่นมสามคนสลับกันมาดูแล ย่อมต้องแข็งแรงอยู่แล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มแต่ไม่พูด ต่อให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูจะมีแม่นมกี่คน ก็ไม่เห็นแข็งแรงเท่าองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้ากลับดูอ้วนสมบูรณ์มากกว่าหมิงจูที่อายุเดือนด้วยซ้ำไป

 

 

แต่นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางจึงไม่พูดอะไรอีก รอให้ไทเฮาพูดคุยกับอี๋เฟย

 

 

ไทเฮากลับไม่ได้มีท่าทีตั้งใจพิจารณามององค์ชายเก้า แต่หัวเราะเอ่ย “สุดท้ายคนที่เป็นแม่คนเจอกันก็มีเรื่องพูดอยู่ตลอด ชายารองถาวเลี้ยงลูกได้ดี อี๋เฟยก็ควรเรียนรู้จากนาง”

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะอย่างถ่อมตน “ไฉนเลยจะเป็นหม่อมฉันเลี้ยงเพคะ ไทเฮาเลี้ยงซวนเอ๋อร์มากับมือ หม่อมฉันไม่กล้าแย่งผลงานเป็นแน่ ส่วนหมิงจู เวลาที่อยู่กับหม่อมฉันก็น้อยนัก คราวนี้ที่จากไปก็เกือบสามเดือน เกือบจะจำหม่อมฉันไม่ได้แล้วเพคะ”

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกโศกเศร้าและรู้สึกผิดขึ้นมา

 

 

อี๋เฟยส่งองค์ชายเก้าให้แม่นมอุ้ม อมยิ้มมองไปทางถาวจวินหลัน “ชายารองถาวมีทั้งลูกชายและลูกสาว ไม่อาจถ่อมตนได้อีกแล้ว ข้ายังคิดอยากจะศึกษาจากเจ้า แม้จะมีเจ้าเก้าแล้ว แต่ในใจของข้าก็ยังคิด หากว่ามีลูกสาวอีกสักคนก็คงจะดี”

 

 

เมื่อได้ยิน ถาวจวินหลันก็เกือบสำลัก ดูจากอายุของฮ่องเต้แล้ว ยังคิดจะมีอีกหรือ? นี่ไม่ฝืนไปหน่อยหรืออย่างไร?