ตอนที่ 184 พี่ไก่ดำกับม้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

” เวลาก็ผ่านไปถึงสามเดือนแล้ว งานของท่านยังไม่สำเร็จเลยสักอย่าง หากข้ายังไม่มา เกรงว่าท่านคงจะลืมเป้าหมายของท่านไปหมดแล้ว ” คนชุดดำตอบเสียงเย็น ” อันหร่วนกูกู ข้าจะขอเตือนท่านสักหน่อย ความอดทนของนายท่านนั้นมีอยู่อย่างจำกัด “ 

 

 

อันหร่วนขมวดคิ้วขึ้นมา ” พวกเจ้าประเมินฮ่องเต้ต้าโจวต่ำไปแล้ว เขาใช่ว่าจะถูกหลอกลวงได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ “ 

 

 

 

 

 

คนชุดดำตอบว่า “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า” 

 

 

อันหร่วนได้ยินแล้วก็เถียงว่า ” ตั้งแต่ตอนแรกที่การครอบงำองค์หญิงใหญ่ล้มเหลว พวกเจ้าก็แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว ตอนนี้ข้าก็เพียงแต่ซ่อนเร้นแสวงหาโอกาสในความเงียบ การจะได้โอกาสมาย่อมต้องรู้จักอดทนรอ “ 

 

 

ตอนแรกพวกเขาคิดจะควบคุมองค์หญิงใหญ่เอาไว้ เพื่อคอยกระตุ้นความขัดแย้งระว่างฮ่องเต้และตระกูลตู๋กู แต่ว่าแผนนี้กลับถูกขัดขวางเสียจนเละเทะหมดแล้ว 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น พอหว่านจรือมาถูกขังอยู่ในคุก นางก็รู้ดีว่า ฮ่องเต้เกิดความสงสัยในตัวนางขึ้นมาแล้ว ถึงได้จับหว่านจรือเอาไว้ในมือเป็นตัวประกัน 

 

 

นางย่อมไม่กล้ากระทำการใดๆ อย่างวู่วาม 

 

 

ฮ่องเต้องค์นี้ ยังลึกล้ำมากกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก แม้ภายนอกจะดูคล้ายกับว่าพระองค์ถูกสตรีครอบงำจนหลงใหล แต่ที่จริงแล้วหมากทุกตาที่ทรงก้าวเดินล้วนผ่านการคิดคำนึงมาอย่างดีแล้ว 

 

 

มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยความห่วงหาที่พระองค์มีต่อฉางซุนฮองเฮา ไม่มีทางเลยที่เมื่อได้ยินว่าอดีตฮองเฮาถูกวางยาพิษแล้วก็จะยังสงบนิ่งได้เช่นนั้น 

 

 

บางที พระองค์อาจจะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าพวกนางจะพูดออกไปเช่นนี้ 

 

 

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังดูไม่ออกว่าฮ่องเต้ทรงมีพระดำริใดอยู่ในพระทัย 

 

 

” นายท่านไม่มีเวลาจะรอคอยมากขนาดนั้น ” คนชุดดำกล่าวขึ้นมาอีก ” นายท่านปรารถนาให้ต้าโจวพินาศย่อยยับ ให้ผู้ครองต้าโจวต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บปวดมิสู้ตายไป “ 

 

 

พอพูดออกมาแล้วบนร่างของเขาก็ปรากฏหมอกดำกำจายออกมา ” อันหร่วน ท่านมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น คิดจะให้อันหร่วนกลายเป็นสตรีของฮ่องเต้ คลอดโอรสออกมา ครองแผ่นดินต้าโจวแทน เรื่องนี้นายท่านทราบดี ขอเพียงท่านทำสำเร็จ ก็นับว่านี้เป็นผลงานของท่าน แต่ว่าอันหว่านจือนั่นกลับใช้การไม่ได้ “ 

 

 

” ก็แค่หมากตัวหนึ่ง ในเมื่อไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังถูกฮ่องเต้เอามาใช้ข่มขู่ท่าน ท่านเองก็ใช้การไม่ได้เหมือนกัน “ 

 

 

อันหร่วนไร้คำพูดจะกล่าว นางได้แต่กำลูกประคำในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น 

 

 

คนชุดดำผู้นั้นยังคงพูดต่อไปอีกว่า ” อุทกภัยในลี่โจวรุนแรงหนักขึ้น ฮ่องเต้ต้องเสด็จไปลี่โจวด้วยพระองค์เอง นี่กลับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเราแล้ว “ 

 

 

” เจ้าคิดจะทำอะไร? ” อันหร่วนถามออกไป 

 

 

” โอรสสวรรค์เสด็จไปบรรเทาทุกข์ด้วยพระองค์เอง แต่กลับกระตุ้นทำให้ฟ้าดินพิโรธ เกิดฝนตกหนัก โรคระบาดแพร่กระจาย ผู้คนล้มตายจำนวนมาก เช่นนี้เขาจะยังครองใจชาวประชาได้อีกหรือ? ” คนชุดดำหัวเราะเสียงเย็นเฉียบ ” เจ้าล่วงรู้เวลาตกฟากของเขาเป็นอย่างดี ขอเพียงร่ายคาถาสาปแช่งอีกครั้ง ทำให้เขากลายเป็นตัวประหลาดต่อหน้าประชาราษฎ์ เช่นนี้แล้วแคว้นต้าโจวจะยังสงบสุขได้อีกหรือ? “ 

 

 

ว่าแล้วเขาก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง ” ครั้งนี้ ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว “ 

 

 

 

 

 

………………………….. 

 

 

ตำหนักเฟิ่งหมิง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ได้รับทราบข่าวคราว ว่าในช่วงหลายวันนี้แม่น้ำลี่เหอท่วมท้น ผู้คนบาดเจ็บล้มตายตามกันเป็นจำนวนมาก อาณาประชาราษฏ์เดือนร้อนไปทั่ว 

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือ พี่รองที่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายบรรเทาทุกข์ หายตัวไป 

 

 

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ราชสำนักก็ร้อนระอุขึ้นมา เหล่าขุนนางต่างก็พากันวิพากวิจารณ์ว่าพี่รองทำงานไม่สำเร็จ พอเกิดปัญหาก็ม้วนเสื่อวิ่งหนีหายไป 

 

 

” คุณชายรองไม่มีทางเป็นคนเช่นนั้นเด็ดขาด! ” เชียนเชียนโมโหถึงขั้นจะตะโกนด่าบรรพบุรุษของคนพวกนั้นทีเดียว ” นายหญิง แต่ไหนแต่ไรคุณชายรองห่วงใยชาวบ้าน เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เขาย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องไร้ความรับผิดชอบอย่างวิ่งหนีไปโดยเด็ดขาด “ 

 

 

” คนเหล่านั้นรู้จักแต่ความสุขสบายจนเคยชิน รู้ดีว่าเรื่องน้ำท่วมนั้นหนักหนาเพียงไร พอเกิดเรื่องขี้นมาก็โยนความผิดใส่คุณชายรอง คุณชายรองของพวกเราช่างโชคร้ายจริงๆ “ 

 

 

ในมือของตู๋กูซิงหลันยังคงถือจดหมายจากแดนไกลที่พี่ชายใหญ่ส่งมา สั่งให้นางสงบใจอยู่แต่ในวัง ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องของพวกพี่ชาย 

 

 

แต่ว่าทางลี่โจวกับส่งข่าวมา ว่าพี่รองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

พี่ใหญ่และท่านปู่ต่างก็ยังอยู่ที่เป่ยเจียง นางไม่อาจอยู่ในวังรอคอยไปวันๆ  

 

 

พอใคร่ครวญดูแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจจะไปลี่โจวด้วยตนเอง 

 

 

ก่อนที่พี่ใหญ่จะออกเดินทาง ได้ทิ้งสมบัติกองใหญ่เอาไว้ให้นาง เพียงพอให้นางใช้จ่ายระหว่างเดินทางได้อย่างสบาย 

 

 

นอกจากซื้อมาแล้ว ยังต้องมีของใช้ในชีวิตประจำวัน ตะเตรียมชุดบุรุษสักหลายชุด ในคืนที่ไร้แสงจันทร์สายลมพัดแรงนางก็ออกจากวังไป 

 

 

เชียนเชียนถูกนางทิ้งเอาไว้ที่ตำหนักเฟิ่งหมิง ให้นางสวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง ยามว่างๆ ก็เดินผ่านหน้าต่างสักหลายๆ รอบ แกล้งทำเป็นว่าไทเฮายังทรงอยู่ในวัง 

 

 

นางสวมใส่ชุดบุรุษสีดำ เกล้าผมหางม้าทรงสูง ขี่ม้าออกไปทางประตูเมืองตะวันออก 

 

 

สี่ทิศรอบด้านของเมืองหลวงล้วนแล้วแต่เป็นป่าหนาทึบ ในป่ามีถนนหลวงอยู่เส้นหนึ่ง มีรถม้าและผู้คนผ่านไปมาอยู่ตลอด 

 

 

ตลอดทางมีคนมองนางไม่น้อย ความหล่อเหลาของตู๋กูซิงหลันนั้นจัดว่าพวกบุรุษทั่วไปไม่อาจเทียบได้ 

 

 

แต่ว่าวิชาขี่ม้าของนางนั้น ธรรมดาจนต่ำเตี้ยไปแล้ว 

 

 

เหล่าสาวๆ มากมายที่ได้พบนาง ต่างก็หรี่ตาลง ติดตามมาที่ด้านหลังม้าของนาง มอบทั้งดอกไม้และผลไม้ให้ทั้งยังมีที่ติดตามนางไปอีกหลายลี้ 

 

 

ต่อมา ตู๋กูซิงหลันจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้เส้นทางเล็กๆ พอพึ่งออกจากถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งไปยังถนนเล็กอีกเส้นหนึ่ง ก็เห็นไก่ขนดำฟูตัวหนึ่งขยับปีกส่ายก้น ขวางอยู่บนถนนเล็กๆ อุ้งเท้าของมันย่ำอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้น ราวแผนภูมิรูปภาพที่บอกความรู้สึกได้ มีความชอกช้ำเสียใจสามส่วน ฟ้องร้องสามส่วน และตื่นเต้นยินดีอีกสี่ส่วน  

 

 

” กุ๊ก กุ๊ก กรู้~ ” มันขวางอยู่ที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน กระทั้งเสียงขัดยังแฝงความเจ็บช้ำ 

 

 

” ติ๊งต๊องหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันรั้งม้าเอาไว้ จ้องมองดูมัน นางเกือบจะนึกว่าตนเองตาฝาดไปแล้ว 

 

 

” กุ๊ก กรู้ ” ติ๊งต๊องตอบรับอย่างคึกคัก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูมัน ในใจก็อดนึกถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นที่ตนเองดื่มติดต่อกันไปหลายวันไม่ได้ 

 

 

ตอนนี้ในใจของนางเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอยู่บ้าง ” เจ้าตัวน้อยที่น่ารัก เจ้ายังไม่ตายข้าก็ดีใจมากจริงๆ มานี่สิ ให้พี่สาวลูบหน่อย “ 

 

 

พอนางกล่าวแค่ประโยคเดียว ความทุกข์ทรมานที่เจ้าไก่ขนดำฟูได้รับมาตลอดหลายวันนี้ ก็สลายไปราวกับเมฆหมอก มันส่ายก้นวิ่งกุกๆ เข้ามาหานาง 

 

 

ท่าทางออดอ้อนร้องขอให้ลูบไล้และโอบอุ้ม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงจากหลังม้า ลูบไล้ศีรษะของมัน ทั้งยังมองออกไปโดยรอบ ตลอดทางมานี้ นางเจอะเจอสัตว์ร้ายในป่าทึบมาไม่น้อย มันที่เป็นเพียงแค่ไก่ตัวหนึ่งกลับสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้มาตั้งนาน คงจะไม่ง่ายดายเลย 

 

 

ไม่เพียงแต่อยู่อย่างดี ดูๆ แล้วก็อ้วนขึ้นไม่น้อย กระทั่งเส้นขนก็ดูงดงามระยิบระยับมากขึ้น 

 

 

โดยเฉพาะหางตรงก้นนี้ ยาวขึ้นมาเลยทีเดียว 

 

 

” ตำหนักเฟิ่งหมิงของข้าเลี้ยงดูเจ้าไม่ดีพอหรือ ถึงได้ต้องหนีออกจากบ้านมา? ” ตู๋กูซิงหลันอุ้มมันขึ้นมา ” ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้ว เสียใจอยู่ตั้งเป็นนาน “ 

 

 

วิญญาณทมิฬ “……..” มันยังจำได้นะ มีสตรีผู้ใดกันนะ ดื่มน้ำแกงไก่อย่างเอร็ดอร่อยเหลือหลาย?  

 

 

 

 

 

” กุ๊ก กุ๊ก กรู้~ ” เจ้าไก่ขนดำฟูภาคภูมิใจอยู่ในอ้อมอกของนาง 

 

 

ก็ไม่ใช่ว่าเกือบจะตายไปแล้วหรือ? เช้าวันนั้นมันนอนหลับสบายอยู่ในสวน อยู่ๆ ก็ถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคว้าคอจับไปอย่างไม่ทันระวังตัว 

 

 

หลังจากนั้นมันก็ถูกเอาไปโยนแผ่ไว้ในห้องเครื่อง อีกนิดเดียวก็เกือบจะกลายเป็นน้ำแกงไก่รสเลิศแล้ว 

 

 

ยังดีที่มันมีพละกำลังมาก วรยุทธ์สูงล้ำ พอจิกตีคนตัวโตไปได้หลายคน มันก็วิ่งหนีออกจาวังโดยไม่รู้ทิศทาง หากมิใช่ว่ามีวาสนาผูกพัน เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติคงมิอาจได้พบหน้าพี่สาวตัวน้อยอีกแล้ว 

 

 

พอคิดแล้วเจ้าไก่ขนดำฟูก็น้ำตาคลอขึ้นมา ซุกหัวลงไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลัน น้ำตารินไหลไม่หยุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปมา ก็ไม่กล้าส่งมันกลับไป ได้แต่พามันเดินทางไปด้วยกัน 

 

 

บนถนนเล็กๆ ในป่าทึบ หนึ่งคน หนึ่งไก่ ขี่ม้าท่องไป เหล่าสัตว์ป่าดุร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าทึบ เดิมทีจับจ้องพวกเขาอย่างยินดี 

 

 

แต่พอได้เห็นเจ้าไก่กุ๊กที่นั่งอย่างสง่างามอยู่บนหลังม้า หันกลับมาจดจ้องพวกมันบ้าง ก็รีบล้มเลิกความคิดไปในทันที