กลางคืนมืดมิด ท่ามกลางแสงดาวริบหรี่ บนร่างของเขาคล้ายดั่งมีแสงดาวระยิบระยับ ดวงพักตร์หมดจดงดงาม เส้นผมกลุ่มหนึ่งไล้อยู่ข้างกรอบหน้า ราวกับคลื่นสาหร่ายที่ไหลลื่นอยู่บนหัวไหล่ของเขา กลายเป็นภาพที่งดงามจนยากจะบรรยายออกมา
ดูไปแล้วเขาผ่ายผอมไปกว่าเมื่อสามเดือนก่อนไม่น้อย
พระพักตร์มีเหลี่ยมมุมจัดเจนกว่าเดิม ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงดำลึกดุจดั่งราตรี ยามนี้กลับมองดูนางอย่างสงบนิ่ง
เขาเอาแต่จดจ้องมองดูนางอยู่อย่างนั้น
จนผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงได้เริ่มเอ่ยขึ้นมา ” เราควบคุมดูแลเจ้าไม่ได้แล้ว “
น้ำเสียงลึกต่ำนั้นออกจะแหบพร่าอยู่บ้าง ราวกับคนที่เจ็บป่วยมานานและยังไม่หายดี
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้กำแพงวัง อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวออกมาสองคำ ” ลูก….ฝ่าบาท”
เจ้าลูกชายคนนี้ต้องมีเนื้อมีหนังเสียหน่อยถึงจะน่าดู พอผ่ายผอมเสียอย่างนี้มีแต่จะปลุกความเป็นแม่ของนางขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารขาดมารดาเลี้ยงดูเอาใจใส่
พอได้ยินเสียงของนาง สายพระเนตรของจีเฉวียนก็ทอประกายสว่างวูบขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยากจะเข้าใกล้นาง แต่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่กลับฉุดรั้งเขาเอาไว้
เขาเอนตัวลงพิงต้นไห่ถางเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หลับตาหงส์ลงงำประกาย กดเสียงต่ำกล่าวว่า ” ที่เรามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาลาเจ้า “
” หืม? ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดกัน? ” ที่จริงตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาอยากจะไปที่ไหนก็ไม่จำเป็นจะต้องมาบอกนางเสียหน่อย
นางเองก็ไม่ได้สนใจจะอยากรู้
ตอนงานเลี้ยงชมพลุดอกไม้ไฟ รู้สึกว่าเขาน่าหลงใหลจนสามารถทำให้นางวิญญาณหลุดลอย พอตอนนี้กลับรู้สึกว่าทั่วทั้งตัวของเขาหนาวเย็นจนเสียดกระดูก ชนิดที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าเข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น
จะให้ชื่นชอบจีเฉวียนหรือ? เป็นไปไม่ได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางเป็นไปได้
” เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจบอกเจ้าได้ ” จีเฉวียนตรัส ” ช่วงเวลาที่เราไม่อยู่ในวัง เจ้าต้องเก็บตัวอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงให้ดี ห้ามปีนกำแพงออกไปโดยเด็ดขาด “
ที่ผ่านมา เขาพูดไปแล้วแต่นางก็ไม่เคยยอมฟัง ตลอดสามเดือนมานี้ พวกที่เฝ้าเวรล้วนคอยรายงานมาโดยตลอด นางปีนกำแพงออกไปในยามดึกเกือบทุกคืน
เขาก็ได้แต่ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น
ขอเพียงเขายังอยู่ในวัง ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรกับนางได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาจำเป็นต้องไปจากวังหลวงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งยังไม่อาจปล่อยให้นางก่อเรื่องได้
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้วก็กล่าวว่า ” หม่อมฉันขอถามคำหนึ่ง ฝ่าบาททรงเกลียดชังหม่อมฉัน ถึงได้สั่งให้ขังเอาไว้หรือไม่? “
เป็นเพราะนางก่อเรื่องให้กับเขาในงานเลี้ยงพระราชทาน ถึงต้องโดนขังไว้เหมือนตอนแรกที่ถูกขังในตำหนักเย็น
เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เป็นตำหนักเฟิ่งหมิงเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าขัง แต่ทุกวันก็ยังมีให้กินให้ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย หลี่กงกงก็คอยนำของเล่นแปลกๆ ใหม่ๆ จากนอกวังมาให้นางมิได้ขาด
ทั้งยังให้ความเคารพต่อนางราวกับเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง นี่จะเรียกว่ากักขังได้อย่างไร
จีเฉวียนทรงฟังแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะตรัสตอบนางอย่างไรดี
คืนนั้นเขารู้ตัวแล้วว่า ตนเองประเมินความรู้สึกที่มีให้นางต่ำเกินไป
เพื่อบัลลังก์แล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมาควบคุมตนเองได้ เขารู้ตัวดีว่าตนเองเข้าใกล้นางมากเกินไปแล้ว
ดังนั้นเขามีแต่จะต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเอาไว้
หากว่าเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง เขาไม่กล้ารับประกันตนเองเลยว่าจะทำสิ่งใดกับนางบ้าง
ก่อนหน้านี้เขาผลีผลามเกินไป ครั้งแรกที่ชอบใครสักคน ทุกสิ่งล้วนพุ่งพล่านจนเกินของเขตของตน
ยามนี้พอสงบลงได้แล้ว ก็ยิ่งรู้ดีว่า สำหรับเขาแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นแผ่นดินต้าโจว
ยังมีการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา ยังคงเป็นปมปัญหาอยู่ในใจของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เขาได้สืบทราบไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ปมในใจนี้ก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายออก ถึงแม้ว่าเขาจะชอบนาง แต่ก็ยังคงต้องยับยั้งเอาไว้
นี่เป็นปมปัญหาที่ย้อนแย้งอยู่ในใจของเขา
ดังนั้นสามเดือนที่ผ่านมานี้ เขาทุ่มเทให้กับงานราชกิจอย่างสุดชีวิต มีแต่ทำตนเองให้ยุ่งจนไม่มีเวลา จะได้ไม่ต้องคิดถึงนาง
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เขาถึงได้ตรัสตอบปัญหาของตู๋กูซิงหลัน ” ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบ “
ครึ่งประโยคหลังนั้น ดูจะเน้นอยู่เป็นพิเศษ
ตู๋กูซิงหลันนึกรู้อยู่แล้ว ละครฉากใหญ่ที่วิญญาณทมิฬเล่นอยู่นั้นเพราะตั้งใจจะเอามาหลอกนาง ที่ว่า ‘เรารักเจ้าเพียงผู้เดียว’ อะไรนั่น ก็แค่หาคำพูดลวงๆ มาหลอกนางเท่านั้น เจ้าตัวแสบนั้นมีชีวิตอยู่มายาวนานไปแล้ว
พอตอนนี้ได้ยินจีเฉวียนพูดออกมาจากปากของเขาว่าไม่ได้ชอบนาง นางก็รู้สึกว่าสามารถวางใจลงได้แล้ว
จึงทอดถอนใจออกมาอย่างยืดยาว “เช่นนี้ก็ดี เช่นนี้ก็ดี “
ไม่ได้ชอบก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นพอคิดว่าถูกลูกเลี้ยงมาหลงรักตนเองเข้าให้ นางก็เป็นต้องปวดหัวขึ้นมาอีก
เหล่าลูกสะใภ้ที่มีอยู่อย่างมากมายในวังหลังก็คงจะมีแต่พากันมารุมเกลียดนาง แม้แต่เสี่ยวซูเฟยก็คงจะพลอยคิดสู้ตายกับนางด้วย
ตอนนี้ละดีแล้ว รากเหง้าของปัญหาที่นางกังวลใจสลายไปแล้ว
พอตรัสออกไปแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเห็นว่านางแย้มยิ้มให้พระองค์อย่างยินดี ” ฝ่าบาท เดินทางปลอดภัยนะเพคะ ฝ่าบาทสู้ๆ นะเพคะ”
จีเฉวียน “……..”
พระองค์คิดว่านางจะต้องเป็นทุกข์เสียอีก
ที่แท้ เรื่องในคืนนั้นทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะฤทธิ์ของน้ำแกงสร่างเมาชามนั้น สตรีผู้นี้ไม่มีหัวใจแท้ๆ นางชอบเขาที่ไหนกัน
แต่เพราะคิดถึงคำพูดของนาง ”ชอบท่านมากเลย’ คิดถึงจูบที่ดื่มด่ำลึกซึ่งในคืนนั้น ทำให้ทรงรู้สึกว่าทั้งหมดราวกับเป็นเรื่องจริง
เดิมทีพระองค์มีคำพูดมากมายคิดจะกล่าวกับนาง แต่พอถึงริมพระโอษฐ์กลับมีเพียงประโยคเดียว ” ตู๋กูซิงหลัน กลับไปนอนหลับพักผ่อนให้ดี “
” ได้เรยยยย! “
ตู๋กูซิงหลันรับคำ ก็หมุนตัวกลับไปอย่างกระฉับกระเฉง ปีนกำแพงกลับไปอย่างเข้มแข็ง
ท่าปีนกำแพงของนางคึกคักดั่งม้าออกศึก เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ เห็นปลีน่องที่เรียวเล็กและปลายเท้าเล็กๆ ที่ดูบอบบางประหนึ่งจะหักได้ทุกเมื่อใต้กระโปรงของนาง
จีเฉวียนนวดคลึงขมับ เพื่อป้องกันไม่ให้ขาของนางได้รับบาดแผลเวลาปีนกำแพง เขาคิดว่าใต้กำแพงสมควรจะปลูกหญ้าให้มากหน่อย ชนิดที่มีใบหนานุ่มๆ พวกนั้น
แล้วก็……..เสริมกำแพงให้สูงหน่อย เอาให้นางปีนออกมาไม่ได้
” นู๋นั่ว “
เพียงแค่ได้ยินเสียงเขาเรียกออกไป
เงาดำนั้นก็ปรากฎขึ้นมาที่เบื้องหน้าของเขาโดยทันที คุกเข่าครึ่งหนึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความเคารพนบนอบ
จีเฉวียนยังคงมองดูกำแพงวังสีแดงอยู่อย่างนั้น ” ปกป้องไทเฮาให้ดี ไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายนางได้แม้แต่น้อย “
” พะยะค่ะ ” คนในชุดดำตอบ จากนั้นก็หายลับไปในความมืด
……………
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านในกำแพง ในมือก็ปรากฎยันต์ขึ้นมาอีกหลายใบ เพียงได้ยินริมฝีปากของนางท่องคาถาขมุบขมิบ ยันต์หลายใบนั้นก็โบยบินข้ามกำแพงไป
จีเฉวียนพึ่งจะหันหลังก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ยันต์เหล่านั้นก็ไล่ตามไปผนึกเข้าบนร่างของเขา
ยันต์เหลืองแต่ละใบพอสัมผัสถูกร่างของเขาก็ละลายกลายเป็นไอสีดำซึมซับเข้าไปในร่างของเขา
หลังจากสามเดือนแล้ว นางก็กระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ได้สร้างยันต์คุ้มกันขึ้นมา สามารถขับไล่ภูติผีปีศาจร้ายได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ในร่างกลับมีไอหยินรุนแรงหนักแน่น หากออกไปนอกวังก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการดึงดูดสิ่งอัปมงคลได้ หากมียันต์คุ้มครองของนางอยู่ ก็สามารถลดเภทภัยไปได้มาก
ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องการปล่อยให้เขาไปเกิดเรื่องร้ายที่ภายนอก
ไม่ว่าจีเฉวียนจะทำสิ่งใด เขาก็นับได้ว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีองค์หนึ่ง ฮ่องเต้ที่ดีสำหรับอาณาประชาราชแล้ว นับว่าสำคัญอย่างยิ่ง
ก่อนที่จะก่อกบฏ สมควรให้เขาอยู่รอดปลอดภัยจะดีกว่า
………………………
ตำหนักชางอู่ อันหร่วนที่กำลังสวดเม็ดประคำอยู่นั้นก็พลันหยุดลง ดวงตาชราที่ปิดอยู่ลืมขึ้นมา ทอประกายสว่างวาบ “
” หยกสรรพชีวิต …..ที่แท้ก็อยู่ในวัง “
ดูท่านางจะประเมินวังหลังต่ำไปเสียแล้ว
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งผ่านหน้าหน้าต่างเข้ามาในห้อง
หลังจากที่หมอกดำในห้องค่อยๆ สลายไป ก็มีคนคนชุดดำใต้ผ้าคลุมปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ
สีหน้าของอันหร่วนเปลี่ยนไปอย่างทันที นางกวาดตามองออกไปด้านนอก รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ค่อยหันมากล่าวกับคนชุดดำนั้นมา ” เจ้ามาทำไม? “