ตอนที่ 182 สักวันหนึ่งเขาจะแต่งงานกับนาง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ที่ด้านนอกวัง ตู๋กูจุนส่งองค์หญิงใหญ่สองแม่ลูกกลับถึงตำหนักอย่างปลอดภัยแล้ว 

 

 

ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำเดียว 

 

 

กระทั่งรถม้าขององค์หญิงใกล้จะเข้าไปในตำหนักประจำพระองค์แล้ว ตู๋กูจุนถึงได้กล่าวว่า ” ทูลองค์หญิง อีกไม่กี่วันกระหม่อมก็ต้องไปเป่ยเจียงแล้ว หากว่าพระองค์ทรงมีเรื่องร้อนพระทัยอันใด แม้จะไกลถึงพันลี้กระหม่อมก็จะเร่งรุดกลับมา “ 

 

 

จีฉุนประทับอยู่ในรถม้า สีพระพักตร์เย็นชา ” หากว่ามีโอกาสผ่านไปถึงริวกิวละก็ หวังว่าท่านจะช่วยจุดธูปให้กับสามีของข้าด้วย “ 

 

 

ตู๋กูจุนถอนลมหายใจลึกเบาๆ ได้แต่ตอบว่า ” ได้ “ 

 

 

” ขอให้ท่านมีอายุยืนยาวร้อยปี เราต้องการให้ท่านอยู่กับความสำนึกผิดนี้ไปทั้งชีวิต ทุกค่ำคืนต้องตกอยู่ในฝันร้าย ไม่อาจปลดเปลื้องไปได้ชั่วชีวิต “ 

 

 

นางสาปแช่งด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ รุนแรงยิ่งกว่าการแทงคนด้วยดาบเสียอีก 

 

 

สายตาของตู๋กูจุนทอประกายอมทุกข์ ” จีฉุน พวกเราเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ท่านเกลียดข้าเข้ากระดูกดำถึงเพียงนี้? “ 

 

 

ยามเยาว์วัย เขามักติดตามอยู่ด้านหลังของนาง ชอบเรียกนางเป็นพี่สาวองค์หญิง 

 

 

พอเขาเติบโตขึ้นจนสูงกว่านางแล้ว ก็ไม่เรียกนางเป็นพี่สาวอีกแล้ว 

 

 

แต่เขามักจะทำเช่นยามนี้ คอยดูแลปกป้องนาง 

 

 

ยามนั้นอายุยังน้อยไม่ประสีประสา ทั้งยังไม่เคยมีความรักมาก่อน 

 

 

เขาเป็นคนหยาบ ไม่รู้จักความอ่อนหวานอย่างพวกดอกไม้ผลิบานหรือจันทราในฤดูสาทร ทั้งยังไม่มีความงามสง่าหรูหราอย่างพวกคุณชายตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เขาเพียงรู้จักตวัดดาบรำทวน ฆ่าล้างศัตรูในสนามรบ 

 

 

กับคนเดียวที่หลงรัก เขาเพียงเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่กล้าเปิดเผยออกมาโดยง่าย 

 

 

ตอนอายุสิบหกปีนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เป็นหัวหน้ากองทะลวง เขาได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ สามารถปลิดศีรษะของแม่ทัพฝ่ายศัตรูลงได้ด้วยตนเอง 

 

 

หัวหน้ากองที่ออกรบครั้งแรกก็ได้รับชัยชนะ ว่ากันตามธรรมเนียมแล้ว สามารถทูลขอความต้องการกับฮ่องเต้ได้ 

 

 

ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็คิดเอาไว้อย่างดีแล้ว รอจนกลับมาถึงเมืองหลวง จะขอให้ฮ่องเต้ประทานสมรสพระราชทาน เขาจะสู่ขอนาง จะปกป้องนางไปชั่วชีวิต 

 

 

แต่ว่าวันที่เขากลับมาถึงเมืองหลวงนั้น ทั่วทั้งเมืองประดับประดาด้วยดอกไม้แดง 

 

 

นางแต่งออกไปแล้ว ผ้าแดงสิบลี้ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูวังไปจนถึงจวนตระกูลฉางซุน ผู้คนทั้งหลายต่างร่วมอวยพรงานมงคลสมรสขององค์หญิงใหญ่ 

 

 

เหลือเพียงเขาคนเดียว……….ที่ไม่เต็มใจ 

 

 

เดิมทีเขาคิดเอาไว้ ว่าในโลกนี้คนเดียวที่สามารถมอบความสุขให้กับนางได้ก็คือตนเอง 

 

 

เดิมทีเขาคิดเอาไว้ สักวันหนึ่งเขาจะแต่งงานกับนาง 

 

 

แต่เขาช้าไปแล้ว และพ่ายแพ้ไปแล้ว 

 

 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ตัดสินใจอย่างชัดเจน ชีวิตนี้จะขอทุ่มเทอยู่กับสนามรบ ปกป้องประเทศชาติของนาง ให้นางได้มีความสงบสุขปลอดภัยไปชั่วชีวิต 

 

 

แต่ใครจะไปรู้ ว่าจะเกิดเรื่องของราชบุตรเขยขึ้นมา ทำให้นางชิงชังเขาถึงเพียงนี้ 

 

 

ที่ต่อมาเขาเกิดความคิดจะก่อกบฎนั้น ก็เพราะคิดถึงหนทางในอนาคตเพื่อนาง 

 

 

ตู๋กูจุนแสนทุกข์ทรมาน 

 

 

หลายปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขามีใจรักใคร่องค์หญิง แม้แต่น้องสาวที่สนิทสนมใกล้ชิดที่สุด เขาก็ยังไม่เคยปริปากสักครึ่งคำ 

 

 

ถึงวันนี้คนพยายามปกป้องในทุกทางมาตลอดกลับกลายเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง ตัวเขานี้มันช่างน่าขำเสียเหลือเกิน 

 

 

ภายในรถม้า จีฉุนปิดตาแนบแน่น พอคิดถึงภาพบุรุษหนุ่มเยาว์วัยที่องอาจหล่อเหลา ในใจก็ทวีความเจ็บปวดขึ้นมา 

 

 

นางไม่สนใจเขาอีก รถม้าเคลื่อนเข้าไปในจวน ทอดทิ้งตู๋กูจุนไว้ที่ประตูเพียงลำพัง 

 

 

หยวนเฟยที่แอบตามมาอย่างเงียบๆ เฝ้ามองตู๋กูจุนที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสาร 

 

 

…………………………………………. 

 

 

เพียงพริบตาเดียวเวลาสามเดือนก็ผ่านพ้นไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิมาถึง อากาศเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา 

 

 

ต้นไห่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงล้วนแต่แตกยอดใหม่ เพิ่มพูนความมีชีวิตชีวา 

 

 

ข่าวที่กระพือโหมเรื่องที่ไทเฮาทรงยั่วยวนฝ่าบาทในงานเลี้ยงพระราชทานวันสิ้นปี ก็ค่อยซาลงไปในที่สุด 

 

 

เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฝ่าบาทก็ทรงใส่พระทัยในราชกิจมากขึ้น ทุกวันเริ่มทรงงานตั้งแต่ยามเหมา (05.00 – 07.00 น.) จนมาถึงยามจื่อ (23.00-01.00น.) ถึงได้เข้าบรรทม ชนิดที่เรียกว่าแทบจะทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดลงไปกับงานในราชสำนัก 

 

 

เหล่าพระสนมในวังหลังเดิมทีก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่แล้ว คราวนี้แม้แต่เวลาที่จะได้เห็นพระพักตร์ก็ยังน้อยลงไปอีก 

 

 

เดือนๆ หนึ่งเพียงได้พบพระพักตร์เพียงแค่ครั้งสองครั้ง ทั้งยังเป็นเพียงแค่มองผ่านไป 

 

 

ไม่เพียงแค่นี้ กระทั่งตำหนักเฟิ่งหมิงฝ่าบาทยังไม่ค่อยได้เสด็จไปแล้ว สุดท้ายแล้วพระองค์ก็ยังทรงเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดิน มิอาจไม่คำนึงถึงสายตาของผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นต่อให้ทรงมีพระทัยโปรดปรานคนผู้นั้นจริง แล้วจะอย่างไร? 

 

 

ไหนเลยจะสามารถมอบฐานะที่ชัดเจนให้นางได้กัน? 

 

 

ดูเอาเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ว่าทรงเย็นชาใส่มาหลายเดือนแล้วหรอกหรือ? 

 

 

แม้เหตุการณ์วันนั้นนับว่าทำเอาพวกนางตระหนกตกใจกันไปแล้วจริงๆ นึกว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงสนใจสิ่งใดอีก จะรับตู๋กูซิงหลันเป็นพระสนมให้ได้เสียแล้ว 

 

 

ยังโชคดี……..ที่เป็นเพียงแค่ตกใจกันไปเองเท่านั้น 

 

 

ถึงวันนี้ตู๋กูจุนเองก็ไปจากเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพิง 

 

 

ตำหนักเฟิ่งหมิงเรียกได้ว่าเงียบเหงาวังเวง เพราะนอกจากหยวนเฟยและองค์หญิงใหญ่ที่นานๆ ทีจะไปเยี่ยมเยียนบ้างแล้ว แม้กระทั้งหวงกุ้ยเฟยซูเม่ยยังน้อยครั้งที่จะเสด็จไป 

 

 

ฟังว่านะ ซูเม่ยกลายเป็นอริกับตู๋กูซิงหลันเพราะฝ่าบาท 

 

 

หึ หึ เป็นใครจะไม่คิดอริกันละ? 

 

 

……………………….. 

 

 

ในตำหนักเฟิ่งหมิง ตู๋กูซิงหลันกำลังจดจ่อกับการวาดยันต์ 

 

 

วิญญาณทมิฬเดินไปเดินมาอยู่รอบๆ ตัวนาง ” อร๊าย เสี่ยวฉวนฉวน ท่านน่ากินมากเลย “ 

 

 

” เสี่ยวฉวนฉวน ข้าชอบท่านม๊ากมาก~ “ 

 

 

มันทำซุ่มเสียงประหลาดเลียนแบบนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขว้างรองเท้าไปข้างหนึ่ง นับตั้งแต่ที่นาง ‘ตื่น’ขึ้นมา วิญญาณทมิฬเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อนางอยู่ทุกวัน 

 

 

เรื่องในวันนั้น นางเพียงแต่รู้สึกว่าเมามายอย่างหนักไปรอบหนึ่ง จำได้แต่เพียงเลาๆ ว่าได้เห็นจีเฉวียนที่สุดแสนจะน่าหลงใหล หลังจากนั้น ร่างกายก็ร้อนวูบวาบ พอเจอกับเขาที่เนื้อตัวเย็นยะเยือกอยู่ตลอด ก็คิดจะไปอิงแอบความเย็นจากเขา 

 

 

หลังจากนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ 

 

 

” อย่าได้เอาแต่ตีหัวอั๊วจะได้ไหม เดี๋ยวก็กลายเป็นโง่กันพอดี ” วิญญาณทมิฬกุมหัวประท้วงนาง ” คำพูดพวกนี้เป็นเจ้าพูดออกจากปากกับฮ่องเต้สุนัขนั่นเอง ยังจะไม่ให้ข้าเลียนแบบสักหน่อยอีกหรือ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช่พู่กันที่เขียนยันต์ตวัดลงบนหน้าผากของมันครั้งหนึ่ง 

 

 

” รบกวนอย่าได้มาตอกย้ำข้าอยู่ทุกวัน ข้ายอมรับว่าทำเรื่องน่าอับอายไปแล้ว “ 

 

 

” เรื่องที่ทำไปแล้วจะไปลบทิ้งได้อย่างไร? ” วิญญาณทมิฬพยายามใช้มือสั้นๆ ของมันถูหมึกสีแดงบนหน้าผากออกไป 

 

 

มันยังไม่กล้าบอกนางเลยว่า คืนนั้นเจ้าฮ่องเต้สุนัขเกือบจะหักห้ามความต้องการจะกลืนนางลงไปเอาไว้ไม่อยู่ขนาดไหน 

 

 

แต่ว่าประโยคที่บอกว่า “เรารักเจ้า ” มันกลับฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจน 

 

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่นั้นมา เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นถึงไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักเฟิ่งหมิงเลยสักก้าวเดียว 

 

 

ตลอดสามเดือนมานี้ ก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย 

 

 

ที่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งหมิงยังคงมีทหารยามเฝ้ารักษาดังเดิม ดูแลอย่างขึงขังแน่นหนา เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นไม่มาพบนางก็แล้วไปเถอะ แต่นี้กลับยังถึงขั้นขังคนเอาไว้ด้วย 

 

 

ครั้งนี้กลับกักขังอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก 

 

 

วิญญาณทมิฬถึงกลับดูไม่ออกว่าเขากำลังทำไปเพื่ออะไรอยู่ ” เจ้าบอกมาสิว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นป่วยหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่มาสารภาพรักกับเจ้าไปแล้ว ดูเอาสิ ที่อยู่แบบนี้มันใช่คนหรือ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงสงบนิ่ง วาดยันต์ของนางต่อไป 

 

 

คำพูดของเจ้าวิญญาณทมิฬตัวยุ่งล้วนไม่อาจเอามาเชื่อถือได้ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นไม่มีทางชอบนางอย่างเด็ดขาด 

 

 

เรื่องที่ควรจะรู้จักประมาณตนเช่นนี้นางยังมีอยู่ 

 

 

เขาสั่งขังของเขาไป นางก็แค่รอจนดึกสงัดไร้ผู้คนค่อยออกไปก็ใช้ได้แล้ว 

 

 

ประเด็นสำคัญคือต้องจับตาดูตำหนักชางอู่ทางนั้นให้ดี อันหร่วนพอถูกขังเอาไว้แล้ว วันทั้งวันก็เอาแต่กินเจสวดมนต์ ไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษอันใด 

 

 

อันหว่านจือจนถึงวันนี้ก็ยังถูกขังอยู่ในคุก ไม่มีโอกาสออกมาสำแดงฤทธิ์อีก 

 

 

และด้วยอุปนิสัยของอันหว่านจือแล้ว การขังนางเอาไว้เท่ากับเป็นการปกป้องนางอย่างหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสามารถเข้าอกเข้าใจการกระทำของจีเฉวียนได้ จะอย่างไรอันหร่วนก็เป็นแม่นมของอดีตฮองเฮา สำหรับจีเฉวียนแล้ว ก็เป็นดั่งยายคนหนึ่ง เขาย่อมต้องให้ความเคารพ 

 

 

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ ที่ผ่านมาฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด เพียงแต่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกนั้น ชาจนช้า ไม่รู้สึกหรือไงว่าอันหร่วนนั้นมีปัญหา? 

 

 

ตกดึกแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เล็ดลอดพวกเวรยามออกไปอีก นางเร้นกายออกไปเงียบๆ 

 

 

แต่ครั้งนี้ พอพึ่งจะออกจากประตูตำหนักมาได้ ก็เห็นเงาของชุดสีทองที่คุ้นเคยรออยู่ใต้ต้นไห่ถางนอกตำหนักแล้ว 

 

 

ร่างที่สูงใหญ่นั้นขวางนางเอาไว้ ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องมองมาที่นาง