ตอนที่ 181 เรารักเจ้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางอ้าปากงับลงที่ปลายคางของเขา ” อืม ท่านก็หวานนิดๆ อยู่เหมือนกันนะ “ 

 

 

คราวนี้ จิตใจของจีเฉวียนก็พุ่งพล่านขึ้นมา สติสัมปชัญญะและเหตุผลทั้งหมดพลันเลือนหายไป  

 

 

 

 

 

แต่ตู๋กูซิงหลันกลับยังคงกระทำอย่างไม่รู้ตัวต่อไป นางกดเขาเอาไว้ เมื่อครู่งับคางเข้าไปแล้ว คราวนี้ก็ขบปลายจมูกเขาคำหนึ่งอย่างกล้าตาย 

 

 

จีเฉวียนทรงดื่มไปไม่น้อย ทำให้ทั่วทั้งร่างมีกลิ่นหอมของสุราอบอวล 

 

 

” เสี่ยวฉวนฉวน ท่านน่ากินจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันโถมอยู่บนตัวเขา นางคลี่ยิ้มงดงามดุจบุปผา 

 

 

ลมหายใจอุ่นร้อนของนางเป่าลงบนพระพักตร์ จนร้อนวูบ วูบเข้าไปถึงในพระทัยของพระองค์ 

 

 

จีเฉวียนทรงพยายามฝืนดึงเอาพระสติกลับมา ตอนนี้พระองค์ทรงถูกรังแกอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกจุดไฟจนลุกโชนขึ้นมา กลับต้องพยายามฝืนอดทนเอาไว้ 

 

 

แต่ว่าสตรีที่ไม่รู้สึกตัวผู้นี้กลับยังจะไปต่อ 

 

 

นางลูบไล้พระเกศากลุ่มหนึ่ง ปลายนิ้วไหลผ่านเส้นพระเกศาที่เรียบลื่นช้าๆ ใบหน้ารูปไข่ที่ผุดผาดงดงามนั้นสัมผัสเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์ ทั้งยังถูไถเบาๆ 

 

 

” ตู๋กูซิงหลัน เจ้าอย่าได้สำนึกเสียใจภายหลัง ” จีเฉวียนไม่อาจจะทรงปล่อยให้นางได้วุ่นวายอีก ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะน้ำแกงสร่างเมาชามนั้น แต่ก็กลับปฎิเสธไม่ได้ 

 

 

พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงห่วงใยนางเท่านั้น แต่ยัง….ชอบนาง 

 

 

ชอบ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มหลงรักนางเข้าแล้ว? 

 

 

พอจะครุ่นคิดดูให้ละเอียด กลับคิดอะไรไม่ออก ราวกับว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่านางกับจีเย่ยังมีเยื่อใยต่อกัน หัวใจของเขาก็พลันไม่มีความสุขหรือ? 

 

 

หรือว่าตั้งแต่ตอนที่นางเลือกไข่มุกได้อย่างถูกต้องในพระตำหนักจิ่นซิ่ว? 

 

 

ใช่สิ คล้ายกับว่านับตั้งแต่นั้นมา เขาก็อดที่จะคอยสังเกตมองดูนางอยู่ตลอดไม่ได้ 

 

 

ยิ่งเฝ้าดู ก็ยิ่งค้นพบ นางเดินใกล้เข้ามาในจิตใจของเขาเรื่อยๆ 

 

 

ทีละนิด ทีละนิด ราวกับยาพิษที่ผสมอยู่ในอาหารได้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจของเขา 

 

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่เขากลับสูญเสียการความคุมจนหมด สถานการณ์เช่นคืนนี้ เขาควรที่จะระเบิดโทสะปานฟ้าผ่าใส่นาง จับนางไปคุมขังเอาไว้ในตำหนักเย็นถึงจะถูก 

 

 

แต่ว่าเขากลับเรียกใช้กระทั่งราชองครักษ์เงา เพื่อปิดปากคนเหล่านั้น นำนางกลับมายังตำหนักเฟิ่งหมิง 

 

 

สติและเหตุผลของจีเฉวียนกำลังตีกันอย่างวุ่นวาย เขาไม่อาจสัมผัสนาง 

 

 

เพียงแต่สัมผัส ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเรียกย้อนกลับมา 

 

 

เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่จีเฉวียน แต่ว่ายังเป็นถึงฮ่องเต้ของต้าโจว เขาสาบานเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก ว่าชีวิตนี้จะทุ่มเทพลังอำนาจที่มีไปครองครองแผ่นดินทั้งหมดให้จงได้ ดังนั้นชีวิตนี้จึงถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่อาจมีสัมพันธ์รักชายหญิงที่ยั่งยืน 

 

 

ไม่อาจหยุดอยู่เพื่อใครคนหนึ่งได้ตลอดไป 

 

 

จีเฉวียนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายๆ รอบ พยายามเอาความคิดความมุ่งมั่นที่จะต้องได้ครองแผ่นดินทั้งหมด มากดทับความรู้สึกพุ่งพล่านในยามนี้เอาไว้ 

 

 

พอพึ่งจะสงบลงได้ ริมพระโอษฐ์ก็ถูกประทับด้วยรอยจูบเบาๆ ” เสี่ยวฉวนๆ ชอบท่านที่สุดเลย ~” 

 

 

อะไรคือความทะเยอทะยานของผู้ครองแผ่นดิน อะไรคือความกังวลต่อผลที่จะตามมา พระทัยที่เคยแต่หยิ่งทนงของจีเฉวียนยามนี้ถึงกับทลายลงมาแล้ว 

 

 

นางบอกว่าชอบเขา! 

 

 

ครั้งนี้ นางเป็นฝ่ายบอกออกมาเอง! 

 

 

คำพูดนี้เขารอมานานเพียงไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะน้ำแกงสร่างเมาถ้วยนั้นหรือไม่ แต่ในเมื่อนางพูดออกมาเอง เขาก็จะถือว่ามันเป็นจริง 

 

 

ที่แล้วมา หัวใจที่มอบให้ไปเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นความทุกข์ระทม 

 

 

แต่เมื่อได้รับมา ก็รู้สึกราวกับหัวใจได้ทะยานขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นเก้าเช่นนี้น่ะเองหรือ? 

 

 

ร่างกายที่เย็นยะเยือกของจีเฉวียนราวกับได้รับการหลอมละลาย หัตถ์ของเขาแรกเข้าไปในมุ่นผมของนาง ตรึงท้ายทอยของนางเอาไว้ จากนั้นก็ประทับจูบลงไปอย่างดูดดื่ม 

 

 

คนทั้งสองที่แตกต่างกันราวกับอยู่คนละขั้ว เหมือนดั่งการปะทะกันของน้ำแข็งและกองไฟ จูบนี้จึงงดงามตราตรึงอย่างที่สุด 

 

 

” เรารักเจ้าเพียงผู้เดียว “ 

 

 

ใบหน้าดำๆ ของวิญญาณทมิฬที่เอาแต่หมอบอยู่ด้านข้างมาตลอด คราวนี้กลายเป็นแดงจนดำกว่าเดิม 

 

 

โว้ย! เจ้าพวกหน้าไม่อาย! 

 

 

เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่ไร้ยางอาย เจ้าคนฉวยโอกาสตีตามไฟ! 

 

 

นังหนูตู๋กูซิงหลันผู้นั้นเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจต่างหาก นางไม่มีทางชอบผู้ใดได้หรอก! 

 

 

ตอนนี้มัน……..ก็แค่อุบัติเหตเท่านั้น 

 

 

ใช่ เป็นแค่เหตุบังเอิญ 

 

 

มันรีบพุ่งเข้าไปที่ตะโกนใส่ริมหูของนาง 

 

 

” หากว่ายังไม่ตื่นขึ้นมาอีกละก็ เจ้าจะได้เปลี่ยนจากสาวน้อยกลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้วนะ! “ 

 

 

” รบกวนช่วยตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม ขอบคุณ! “ 

 

 

” +++++++ เจ้าฮ่องเต้สุนัขมันจะลงมือแล้วนะ! “ 

 

 

น่าเสียดายที่ตู๋กูซิงหลันยังคงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอยู่อีกเช่นเดิม วิญญาณทมิฬพยายามแล้วพยายามอีกอยู่หลายรอบก็ยังคงไม่ได้ผล 

 

 

ทำยังไงดี ดูท่าจะหมดหวังเสียแล้ว 

 

 

มันร้อนใจเสียจนเหงื่อออกท่วมหัว ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าที่ด้านนอกหน้าต่างมีไอหยินที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่ง ทำให้มันต้องหันไปมองในทันที 

 

 

พอมองไปก็เห็นว่าที่นอกหน้าต่างมีเงาสายหนึ่งไหววูบ เงาดำนั้นโฉบลงมาในทันที 

 

 

จีเฉวียนเองก็ทรงรู้สึกพระองค์เช่นกัน 

 

 

ทันทีที่เขากวาดตาออกไปมองดูนอกหน้าต่าง ฝ่ามือก็แปรเป็นสันดาบสับลงบนหลังท้ายทอยของตู๋กูซิงหลัน ทำเอานางถึงกับสลบหมดสติไปในทันที 

 

 

จากนั้นพอสบัดพระหัตถ์ออกไป ม่านมุ้งบนเตียงก็ร่วงลงมา คลุมตัวตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งหมด 

 

 

พระองค์ก็เสด็จลงจากเตียงในทันที ประทับนั่งลงบนโต๊ะไม้ภายในห้อง ทอดพระเนตรมองออกไปที่นอกหน้าต่าง “ออกมาเถอะ “ 

 

 

ครู่หนึ่ง ก็ปรากฎเงาร่างของคนผู้หนึ่งพลิกข้ามหน้าต่างเข้ามา พลางถวายบังคมลง ” ฝ่าบาท “ 

 

 

คนผู้นั้นก็คือ ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ 

 

 

” งานเลี้ยงพระราชทานคืนนี้ กลับไม่เห็นเจ้าปรากฎตัว เราก็นึกสงสัยอยู่ ว่าเจ้าไปที่ใดแล้ว? ” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูเขาเล็กน้อย ก็ทรงริมน้ำชาเย็นให้กับพระองค์เองถ้วยหนึ่ง 

 

 

น้ำชานั้นเย็นมาก พอสัมผัสความเย็นก็แล่นเข้าสู่หัวใจ กดทับความพุ่งพล่านเมื่อครู่ของพระองค์ลงไป 

 

 

” ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่ากระหม่อมไม่ชมชอบความครึกครื้นมาโดยตลอด ” ฉางซุนซิ่วทูลพลาง ก็เหลือบตาไปทางตู๋กูซิงหลันที่ถูกม่านมุ้งคลุมเอาไว้ 

 

 

” กระหม่อมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ฝ่าบาทก็ทรงมีวันที่พระทัยหวั่นไหวขึ้นมาเหมือนกัน “ 

 

 

สายพระเนตรของจีเฉวียนเย็นยะเยือกขึ้นมา ” หากว่าเจ้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้ ก็สามารถถอยออกไปได้ “ 

 

 

” ฝ่าบาท พระองค์จะทรงโปรดสตรีคนไหนก็ย่อมได้ แต่ว่าทำไมถึงจะต้องเป็นนางด้วย? นางเป็นคนตระกูลตู๋กู ” สายตาของฉางซุนซิ่วทอประกายลึกล้ำขึ้นมา ” พี่ชายของกระหม่อมตายใต้น้ำมือของตู๋กูจุน ท่านป้าก็….” 

 

 

เขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกจีเฉวียนขัดขึ้นมา “อย่าได้พูดแล้ว “ 

 

 

” ฝ่าบาท ความจริงอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ว่าพระองค์กลับไม่ทรงยอมเชื่อหรือ? “ 

 

 

” พอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนว่าต้องทำอะไร ” จีเฉวียนประทับยื่นขึ้นมา วางพระหัตถ์ลงบนบ่าของเขา ” อาซิ่ว เรามิใช่คนโง่ “ 

 

 

วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงตากลมๆ ราวเมล็ดถั่วสองเมล็ดจับจ้องมองดูฉางซุนซิ่ว ก็สังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังของเขามีหมอกดำเคลื่อนไหวอยู่ ไอหยินที่เข้มข้นเมื่อครู่ ตอนนี้ก็เกาะกุมอยู่บนร่างของเขา 

 

 

ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้ไม่เลยพบเห็นมาก่อนนะ? 

 

 

ขณะที่ไม่มีใครสังเกตอยู่นั้นเอง บนหลังคาก็มีเงาร่างสีแดงเงาหนึ่ง ซูเม่ยย่อมมิได้กลับไปสงบเสงี่ยมอยู่ในตำหนักชุยเว่ยของเขา เพียงแค่กลับไปเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษรอบหนึ่งก็มายังที่นี่แล้ว 

 

 

จากนั้นก็ได้เห็นจีเฉวียนกับตู๋กูซิงหลันที่กำลังใกล้ชิดกันอย่างตำตา เขารู็สึกทนไม่ได้ขึ้นมาในทันที 

 

 

เขายังไม่เคยจูบอาหลันมาก่อนเลย จีเฉวียนมีสิทธ์ใดกัน? 

 

 

ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นพลันเกิดประกายสีแดงขึ้นมา วิญญาณทมิฬก็สัมผัสได้ถึงไอมารได้ในทันที 

 

 

เอาละโว้ย น่าดูละทีนี้! 

 

 

ฉางซุนซิ่วคล้ายมิได้รู้สึกถึงสิ่งใด เขาเพียงถวายคำนับจีเฉวียนเพื่ออำลา แล้วจากไปทางหน้าต่างเช่นเดิม ร่างที่เปี่ยมไปด้วยไขมันนั้นกลับคล่องแคล่วอย่างที่สุด เพียงแค่พลิกสองสามตลบเขาก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้ว 

 

 

ซูเม่ยเจอกับเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจ เพียงกล่าวเตือนเสียงเย็นชาประโยคหนึ่ง ” ท่านราชครู ทางที่ดีท่านจงเลิกความคิดจะเป็นอริกับไทเฮาไปเสีย “ 

 

 

” ท่านกับซูเม่ยเกี่ยวพันกันอย่างไร? ” ฉางซุนซิ่วมองดูเขา หมอกดำบนร่างเหมือนดั่งหมอกที่หมุนวนช้าๆ ไอมารที่เห็นนั้นทำให้รู้สึกน่าอิจฉาขึ้นมา 

 

 

ซูเม่ยเพียงตอบแค่ว่า ” ความเป็นมาของเจ้า ข้ารู้อย่างชัดเจน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้องอาหลันได้แม้สักรูขุมขน คำนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ “ 

 

 

พูดแล้ว เงาร่างสีแดงเพลิงนั้นก็หายวับไปจนไม่อาจสัมผัสได้อีก 

 

 

ฉางซุนซิ่วยืนอยู่บนหลังคาอยู่ครู่หนึ่ง สองมือก็กำหมัดแนบแน่น