จีเฉวียนทรงได้ฟังแล้ว สายพระเนตรก็ มืดครึ้มลง ร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระกรยิ่งทีก็ยิ่งร้อนระอุขึ้นมา
สองมือโอบกอดไปรอบพระศอ ส่งเสียงครางหงิงๆ ออกมา ” จีเฉวียน ข้าทรมานมากเลย “
หากว่าเป็นในยามปกติ พอนางได้ฟังอันหว่านจือกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องพุ่งเข้าไปกระโดดถีบและตบหน้านางเป็นแน่
แต่ว่านางในตอนนี้ได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมพระอุระอย่างเชื่อฟัง สองแก้มแดงเปล่งปลั่งราวกับอาทิตย์อัสดงที่งดงาม ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองเห็นแต่พระองค์อยู่เพียงผู้เดียว
ทั้งผู้อื่นและเรื่องใดๆ ล้วนถูกปฏิเสธไปจนหมดสิ้น
เมื่อได้รับสายตาเช่นนี้ ทันใดนั้นจีเฉวียนทรงรู้สึกคล้ายดั่งเป็นทรราชย์ผู้ทรงอำนาจขึ้นมาในทันที
” ฝ่าบาท พระองค์ทรงดูนางสิเพคะ นี่ยังจะไม่เรียกว่าล่อลวงอีกหรือ? ” อันหว่านจืออากจะพุ่งเข้าไปแทงตู๋กูซิงหลันสักสองดาบ
เดิมที……เดิมทีคนที่ฝ่าบาทสมควรจะอุ้มเอาไว้ก็คือนางต่างหาก
ยิ่งกว่านั้นนางเปิดเผยความลับที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมา ไยฝ่าบาทจึงไม่ทรงโยนมันทิ้งไป กลับยังโอบอุ้มมันไว้ในอ้อมพระกรอีก
อันหร่วนที่อยู่ด้านข้าง แทบจะทำเข็มดำเล่มนั้นตกลงพื้น นางไม่รู้เลยว่าสมควรจะด่าอันหว่านจืออย่างไรดี
ใจร้อนเกินไปแล้ว!
เรื่องเช่นนี้สมควรจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมฝ่าบาทถึงจะถูก!
เดิมทีคิดจะรอให้นางได้กลายเป็นพระสนมเสียก่อน จากนั้นทุกๆ วันยามอยู่เคียงข้างฝ่าบาทก็ค่อยๆ คอยเป่าหูไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งฝ่าบาทย่อมจะทรงหลงเชื่อโดนสนิทใจขึ้นมาเอง
ตอนนี้กลับดีนัก แผนกลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้อาจจะกลายเป็นตรงกันข้าม
แต่ว่าเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนก็ได้แต่ฝืนผลักดันต่อไปเท่านั้น ” ฝ่าบาท อดีตฮองเฮาทรงมีรับสั่งกับบ่าว เพื่อความสงบสุขของต้าโจว ให้เก็บความลับนี้ลงหลุมไปกับตัว หว่านจรือเด็กคนนี้ไม่รู้จักเรื่องหนักเบา …..ถึงได้พูดโพล่งออกมา ขอฝ่าบาททรงโปรดวินิจฉัยด้วยเพคะ “
” ฝ่าบาทเพคะ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะเพคะ ที่ตระกูลตู๋กูกล้ากระทำการวางแผนปลงพระชนม์อดีตฮองเฮา เช่นนี้ต่อให้ประหารพวกเขาทั้งตระกูลก็ไม่ถือว่าเกินไปนะเพคะ ” ในหมู่พระสนมย่อมมีผู้ที่กล้าพอจะออกมาสนับสนุน
แต่ว่ายามนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่เหลือสติใดๆ อยู่กับตัวแล้ว เพียงรู้แต่ว่าตนเองใกล้จะจะถูกแผดเผาตาย นางยิ่งกอดคอของจีเฉวียนให้แนบแน่นเข้าไปอีก คิดแต่จะทาบตัวเข้าหาความเย็นดุจน้ำแข็งบนร่างกายของเขาจะได้เอามาชโลมความร้อนที่แผดเผาในร่างกายและจิตใจของนาง
น่าเสียดายที่นางปวดศีรษะเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกมึนงงอย่างทรมาน
ยิ่งอยากออดอ้อนเขามากว่าเดิม ” จีเฉวียน ให้ข้ากอดท่านนอนสักครู่ได้หรือไม่? “
จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรมองดูท่าทีที่ทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงของนาง พระทัยก็อ่อนลง
สองพระหัตถ์ที่แข็งแกร่งและเย็นยะเยือกของพระองค์กอดนางแน่นเข้า หันพระพักตร์กลับไปเหลือบมองอันหร่วนและอันหว่านจือคราหนึ่ง ” หวังว่าพวกเจ้าจะมีดีพอที่จะรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเองเมื่อครู่ “
” บ่าวเฒ่าของสาบานต่อฟ้าดิน ไม่มีโป้ปดเลยสักคำ! ” อันหร่วนยกนิ้วขึ้นสาบาน
แต่จีเฉวียนกลับมิได้ทรงทอดพระเนตรมองนางเลยสักนิด เพียงกวาดพระเนตรไปมองดูเหล่าสนมที่กำลังชมดูอย่างสนอกสนใจ ” เรื่องในวันนี้ หากว่าเราได้ยินคำเล่าลือไร้สาระอันใดแม้เพียงครึ่งคำ ย่อมมีวิธีให้พวกเจ้าแต่ละคนอยู่มิสู้ตาย ก่อนจะพ่นน้ำลายออกมา ก็จงคิดดูให้ดีเสียก่อน “
ทันทีที่ตรัสจบ ทันใดนั้นก็ปรากฎคนชุดดำนับร้อยขึ้นมา
คนชุดดำเหล่านี้ย่อมเป็นราชองครักษ์เงาของพระองค์ แต่ละคนลึกลับดุจภูติผี ล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้นแทบพระบาท
ฉับพลันท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีเมฆหมอกพัดผ่านมา กลบแสงดาวทั้งหลายจนมืดมิดไป
สายลมพัดมาวูบหนึ่ง โบกจนฉลองพระองค์มังกรไหววูบ
สายพระเนตรเย็นชาดุจน้ำแข็ง ในชั่วขณะนั้นดูราวดั่งเป็นจอมมารในรัตติกาล ที่แฝงความน่าหวาดหวั่นยิ่งเสียกว่าพวกองครักษ์เหล่านั้นนับร้อยนับพันเท่า
ทันใดนั้นก็ทรงตรัสออกมาว่า ” อันหร่วนหมัวมัวเหน็ดเหนื่อยแล้ว จำเป็นต้องพักผ่อน ส่งนางกลับไปเสีย ไม่มีคำสั่งจากเรา ไม่อาจก้าวออกจากตำหนักชางอู๋แม้แต่ครึ่งก้าว “
” อันหว่านจือ กล่าววาจามากเรื่อง ส่งเข้าคุก ให้นางไปสงบอารมณ์ลงเสีย “
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงแล้ว
ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? ถึงแม้ผู้คนจะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าพระองค์กับตู๋กูซิงหลันมีสัมพันธ์ไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้ ทั้งที่ได้ทรงฟังว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮองเฮา เกี่ยวเนื่องกับตระกูลตู๋กู พระองค์ไม่เพียงรีบจัดการตู๋กูซิงหลัน แต่กลับให้จับอันหร่วนและอันหว่านจือไปขังหรือ?
เหล่าพระสนมชาววังทั้งหลายต่างก็เกิดหวาดผวาจนตัวสั่นขึ้นมา ไม่กล้ากล่าววาจาแม้แต่ครึ่งคำ
ราชองครักษ์เงาเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร พวกนางล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจน หากว่าผู้ใดกล่าวผิดไปครึ่งคำ เกรงว่าศีรษะคงต้องถูกย้ายลงมาในทันที
ฟังว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงขึ้นครองราชย์นั้น องครักษ์เงาเหล่านี้สังหารผู้ที่มิได้เห็นด้วยไปมากมายจนเลือดนองดังท้องธาร แม้กระทั่งกองทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอี้อ๋อง ก็ยังถูกลบออกไปจนหมดสิ้น
เดิมทีพวกนางคิดว่าราชองครักษ์เหล่านี้ล้วนห่างไกลจากพวกนาง คิดไม่ถึงว่า ที่จริงแล้วพวกนางล้วนมีชีวิตอยู่ภายใต้การจับตาของพวกเขามาตลอด
อันหร่วนตกตะลึงไปชั่วครู่ ปฎิกริยาของฮ่องเต้ทำให้การลงมือของนางผิดพลาดไปเสียหมด
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ถูกจับกลับไปตำหนักชางอู๋เสียแล้ว
อันหว่านจือยิ่งกลายเป็นลิ้นจุกปากไป แม้แต่เสียอู้อี้ยังไม่ทันได้เล็ดลอดออกมา ก็ถูกลากออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าสนมอื่นจะยังมีผู้ใดกล้ารั้งอยู่อีก ต่างก็รีบย้ายก้นออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไปตามๆ กัน
เพียงครู่เดียว ทั่วทั้งตำหนักจิ่นซิ่วก็เงียบลง
จีเฉวียนทรงประคองตู๋กูซิงหลันไว้ในอ้อมพระกร ภายใต้ค่ำคืนที่ไร้แสงดาว ดวงเนตรของพระองค์ยิ่งดำมืดลงกว่าเดิม
จากนั้นก็ทรงตรัสกับองครักษ์เงาผู้หนึ่งว่า ” ตรวจสอบดูให้ละเอียด ว่าในน้ำแกงสร่างเมามีสิ่งใด “
” พะยะค่ะ ฝ่าบาท ” ราชองครักษ์เงาที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นพลันหายลับไปในความมืดมิด
……………………………….
พระตำหนัก เฟิ่งหมิง ในห้องของตู๋กูซิงหลัน
ฮ่องเต้ทรงพานางกลับมาผ่านหน้าต่างอีกครั้ง
ผ้าห่มนั้นเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นสีแดงสดใสราวกับว่าถูกฉาบไล้ด้วยไอมงคล จีเฉวียนทรงวางนางลงบนฟูก
พระหัตถ์เพิ่งจะคลายออกจากเอวของนาง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันผุดลุกขึ้นมานั่ง ผลักพระองค์ลงไปนอนอยู่ใต้ร่างแทน
ปลายคางของนางวางอยู่บนพระอุระ ดวงตาดอกท้อฉ่ำไปด้วยน้ำ จดจ้องพระองค์อย่างไม่ยอมวางตา ” จีเฉวียน กอดนอนหน่อย~ “
ท่าทางของนางเช่นนี้เป็นดั่งนางมารที่ล่อลวงวิญญาณผู้คนอยู่ชัดๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองนาง ก็สูดลมหายพระทัยเข้าไปลึกๆ จับปลายคาของนางเอาไว้ ” ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่? “
” รู้สิ กอดท่านไง ” ตู๋กูซิงหลันกำลังหลงใหลเขาจนวิญญาณหลุดลอย พูดแล้วก็กอดเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ” ตัวของท่านเย็นดีจัง อืม สบายมากๆ เลย “
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงวางท่าดังต้นไม้เหล็กมาโดยตลอด
แต่พอถูกตู๋กูซิงหลันหยอกเย้าเอาเช่นนี้ เส้นแบ่งนั้นก็เกือบจะขาดผึงอยู่รอมร่อ เขาจดจ้องตู๋กูซิงหลัน กล่าวเสียงต่ำว่า ” เจ้าคิดจะให้เรากลายเป็นทรราชย์หรือยังไง? “
แต่ว่าท่าทางของพระองค์ในยามนี้ต่างกับทรราชย์ในที่ใดกัน
หากว่าเป็นแต่ก่อน ขอแค่ตระกูลตู๋กูมีท่าทีไม่ภักดีออกมาเพียงน้อยนิด เขาจะต้องคิดหาวิธีการมาจัดการให้จบสิ้นไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ โอกาสยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับถูกเขาปัดทิ้งไปเสีย
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัย แต่หากว่าเป็นตัวเขาในยามก่อน ต่อให้รู้ว่ามีอะไรซ่อนเร้น ก็คงจะไม่สนใจอยู่ดี
ตอนนี้…..ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแล้ว?
พอทอดพระเนตรมองดูนางมารน้อยที่ยั่วยวน จีเฉวียนก็คล้ายกับจะหาคำตอบให้กับพระองค์เองได้อยู่
ตู๋กูซิงหลัน ก็จดจ้องมองดูเขา ” ท่านไม่ใช่ทรราชย์ ท่านคือจีเฉวียนที่หล่อเหลา งดงาม น่าหลงใหล อย่างไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ “
วิญญาณทมิฬ ” อ้วก ” ตู๋กูซิงหลันน้ำเน่าจนมันคิดอยากจะอ้วกอยู่แล้ว!
มันควรจะลอง ‘ปลุก’ นางดูอีกสักครั้งดีหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็เลื้อยอยู่บนร่างของพระองค์ไปด้วย นางลูบคลำวุ่นวายไปบนเสื้อผ้า ทำเอาจีเฉวียนทรงร้อนรุ่มวุ่นวายขึ้นมา
” ตู๋กูซิงหลัน! พระองค์ตรัสเรียกนางเสียงต่ำ ” ความอดทนของเรามีจำกัดนะรู้ไหม “
” ถ้าเช่นนั้นท่านก็อย่าได้อดทนไปเลย จะทำชีวิตให้ลำบากถึงเพียงนั้นเพื่ออะไร หืม? เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มงดงาม
นางอ้าปากงับลงที่ปลายคางของเขา ” อืม ท่านก็หวานนิดๆ อยู่เหมือนกันนะ “
คราวนี้ จิตใจของจีเฉวียนก็พุ่งพล่านขึ้นมา สติสัมปชัญญะและเหตุผลทั้งหมดพลันเลือนหายไป