บทที่ 1971+1972

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1971 พบหน้าสหายเก่า

กู้ซีจิ่วพยักหน้า กระเรียนมงกุฎแดงเป็นสัตว์พาหนะธรรมดาทั่วไปและเป็นที่นิยมมากที่สุดในดินแดนนี้ เจ้าวังน้อยท่านนั้นขี่กระเรียนหนีไป หากต้องการไล่ล่าตามหาเกรงว่าจะยาก

เห็นทีเจ้าวังน้อยท่านนี้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้มากมาย ไม่ยอมให้จับได้ง่ายๆ

ที่แห่งนี้รายล้อมด้วยภูเขา หน้าผาลึกชันรอบด้าน มีต้นท้ออยู่ไม่น้อยบนหน้าผา น้ำตกพุ่งออกจากป่าท้อ ไหลรวมมาบรรจบกับแอ่งลึกเบื้องล่าง กลีบดอกท้อสีแดงสดปลิวไปตามสายลม ลอยล่องบนผิวน้ำ กลิ่นดอกท้อจางๆ อบอวลภายในอากาศ

เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็มีไอหมอกสีชมพูกลางอากาศ บดบังทำให้มองไม่เห็นท้องฟ้าที่แท้จริงด้านบน

พิษดอกท้อ!

ไอหมอกสีชมพูนั้นก็คือพิษดอกท้อในตำนาน

พิษดอกท้อในที่แห่งนี้เป็นพิษร้ายแรง หากไม่มียาแก้พิษ สัตว์ใดๆ ที่เดินผ่านตรงนั้นจะตายลงเพราะถูกพิษ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงเงียบสงบ ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวของสัตว์ใดๆ เลย

แน่นอนว่าสถานที่ที่เป็นพิษเช่นนี้ย่อมไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด กู้ซีจิ่วกล่าว

“แยกกันตามหาเถิด”

บางทีอาจตามหาเบาะแสอะไรที่นี่ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือสวนดอกไม้ลับของเจ้าวังน้อยท่านนั้น

เสินเนี่ยนโม่พยักหน้าเล็กน้อย พลันหันกายแล้วเดินจากไป

ดูเหมือนหลังจากที่เขารู้ตัวตนของเธอ เขาก็เย็นชากับเธอไม่น้อย ระหว่างทางแทบจะไม่พูดคุยอะไรกันอีกเลย

อันที่จริงกู้ซีจิ่วรู้สึกเสียใจภายหลังที่กลับคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริงเร็วถึงเพียงนี้ เขาไม่หยอกเหย้าเธอแล้ว ทว่าดูระแวดระวังเธออยู่ลึกๆ และก็ไม่มีทีท่าว่าจะกินโอสถที่เธอมอบให้เขาเลย เขาต้องไม่เชื่อใจเธอเป็นแน่…

เห็นทีท่าจะลำบากสักเล็กน้อยถ้าอยากจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดีในภายภาคหน้า…

ช่างเถอะ เรื่องของอนาคตก็ค่อยว่ากัน น้ำมาใช้ดินต้านทหารมาใช้ขุนพลตั้งรับก็เท่านั้น

ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเดือนสามเดือนสี่ในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าดอกท้อกลับผลิบานสะพรั่งพอดิบพอดี เมื่อคนเดินย่ำไปในป่าท้อ กลีบท้อปลิวไหวใต้ฝ่าเท้า บรรยากาศช่างหวานซึ้งเสียเหลือเกิน

หากคู่รักเดินควงแขนชื่นชมทิวทัศน์ที่นี่ ก็น่าจะมีความสุขอย่างที่สุดกระมัง?

กู้ซีจิ่วนึกถึงภาพลวงตาที่เธอเคยเห็น ภายในนั้นเธอก็เคยเดินเที่ยวในป่าท้อด้วยกันกับหวงถู…

ตัวเธอในตอนนั้นก็น่าจะมีความสุขมากกระมัง? เพราะในภาพลวงตาท่าทางของเธอและเขาสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ เธอก้าวเดินพร้อมคล้องแขนอีกฝ่ายไว้ตลอด

หวงถู…

ตัวเองกับเขาคงจะรักกันมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาหายตัวไป ส่วนเธอก็ลืมเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว…

หวังว่าหลังจากที่เสินเนี่ยนโม่ผู้เป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ท่านนี้ฝึกฝนจนสำเร็จลุล่วง จะมีวิธีทำให้หวงถูฟื้นคืนชีพได้…

เธอเดินเยื้องย่างไปในป่าท้อ ไม่ปล่อยสิ่งที่น่าสงสัยใดเล็ดรอดไปได้

จากนั้นเธอก็พบถนนสายหนึ่ง

อันที่จริงป่าท้อแห่งนี้ไร้การปรุงแต่ง เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เบื้องล่างเนืองแน่นด้วยพุ่มไม้ เป็นสภาพดั้งเดิมของป่า

ทว่าถนนสายนี้กลับปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด มันไม่ใช่ถนนที่ก่อสร้างขึ้น แต่เป็นถนนที่ใครบางคนมักจะมาเดินย่ำเหยียบด้านบน

หรือว่าเจ้าวังน้อยท่านนั้นมักจะมาที่นี่?

กู้ซีจิ่วยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อตรวจสอบรอยเท้าบนถนนสายนั้น

ถนนสายนี้ไม่เพียงแต่มีรอยเท้าคน กลับยังมีร่องรอยของรถเข็นเคลื่อนผ่าน…

เธอเดินหน้าค้นหาตามถนนสายนี้ซึ่งคดเคี้ยวเลี้ยวลด ทอดคดโค้งภายในป่าท้อ ในที่สุดก็หายไปภายในหน้าผาลึกชันแห่งหนึ่ง

บนหน้าผาแห่งนี้มีน้ำตกไหลเอื่อย ทว่าละเอียดถี่ยิบดังม่านมู่ลี่ บดบังหน้าผาทั้งหมด…

สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนหน้าผานั้น มองดูจากทิศทางนี้ กลับมองไม่ออกว่าหน้าผานั้นมีสิ่งใดพิเศษ แต่กู้ซีจิ่วกลับรู้สึกว่าหน้าผานี้ต้องมีบางสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน!

เรือนกายเธอพลันเหินทะยาน กระโดดไปบนก้อนหินในแอ่งเล็กๆ ใต้น้ำตก เธอยกมือขึ้นเคาะกำแพงภูเขา ด้านหลังกำแพงว่างเปล่า จะต้องมีถ้ำอยู่อย่างแน่นอน!

———————————————————————————

บทที่ 1972 พบหน้าสหายเก่า 2

กู้ซีจิ่วเคาะตรงนั้น ตบตรงนี้ดู ในที่สุดก็พบกลกลไกเล็กๆ อยู่บนนั้น พอกดลงไป ผนังหุบเขาแยกออกเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง กู้ซีจิ่วมองผ่านม่านน้ำสลัวเลือนรางเข้าไป

ภายในถ้ำมืดมิดยิ่ง มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนไปชั่วขณะ

“ผู้ใด?!” มีเสียงซักถามแว่วออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงซักถามนี้ยังมีเสียงโซ่ตรวนลากระพื้นดังแกรกกรากด้วย

กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงแวบหนึ่ง เสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู…

เธอพุ่งทะยานเข้าไป ถ้ำนี้ลึกยิ่งนัก เธอหักเลี้ยวภายในถ้ำอยู่สามสี่ครา ในที่สุดก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งท่ามกลางแสงสลัว!

แสงสลัวนั้นมาจากไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่บนผนังถ้ำ แน่นอนว่าคุณภาพของไข่มุกราตรีนี้ธรรมดายิ่งนัก ส่องสว่างพื้นที่ภายในถ้ำได้เพียงหนึ่งตารางนิ้วเท่านั้น และแสงก็ไม่สว่างนัก

ส่วนคนผู้นั้นนั่งอยู่บนรถเข็นตัวหนึ่ง สวมอาภรณ์ขาวที่ซีดหมอง เรือนผมยาวแผ่สยายยุ่งเหยิง มีสองสามปอยที่ปรกหน้าผากอยู่ แทบจะบดบังใบหน้าของเขาแล้ว ส่วนใหญ่ถูกปัดไปไว้ด้านหลังเขา บนข้อมือข้อเท้าของเขามีตรวนเหล็กไหลหนาขนาดเท่าหัวแม่มือล่ามอยู่ ปลายโซ่อีกด้านถูกตอกไว้บนผนังถ้ำสูงขึ้นไป

เมื่อเขาเคลื่อนไหว ตรวนเหล็กไหลนั้นก็จะส่งเสียงกราวๆ คนผู้นั้นคล้ายจะได้ยินเสียงกู้ซีจิ่วเข้ามาแล้ว ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงเยียบเย็น “เจ้าเป็นใคร? นางส่งเจ้ามาเกลี้ยกล่อมอีกแล้วหรือ…”

กล่าวมาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงักไป ดวงตาทั้งคู่จับจ้องร่างกู้ซีจิ่ว “ซะ…ซีจิ่ว”

กู้ซีจิ่วก็เบิกตากว้างเช่นกัน ตกตะลึงอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก “อวิ๋นเยียนหลี?!”

ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นั้นก็คืออวิ๋นเยียนหลีที่หายสาบสูญไปหลายปี!

ไม่พบกันหลายปี องค์ชายผู้สง่างามปานหยกในปีนั้นตกอับจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว ทำให้กู้ซีจิ่วที่มีความสามารถด้านการจดจำคนมาตลอดมองแวบแรกก็ยังจำไม่ได้

เวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่งก้านธูป

กู้ซีจิ่วทราบสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอในหลายปีมานี้จากคำบอกเล่าของอวิ๋นเยียนหลี

สิ่งที่เขาประสบพบพานเรียบง่ายและน่าเวทนาอาดูรยิ่งนัก

ปีนั้นเขาได้รับบาดเจ็บจนสลบไปในสนามรบ เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้แล้ว มีแม่นางน้อยแต่งกายแบบบุรุษที่เรียกขานตนว่าเจ้าวังน้อยคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขา

เขาบาดเจ็บสาหัส เกือบสิ้นชีพไปแล้ว เป็นเจ้าวังน้อยผู้นั้นที่รักษาให้เขา แรกเริ่มเขายังเห็นเจ้าวังน้อยผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอยู่ นึกไม่ถึงว่ารอจนเขาหายดี นางก็เริ่มหลอกล่อถามถึงสถานการณ์ภายในแดนสวรรค์

ในใจเขาเกิดความระแวดระแวง ย่อมไม่พูดออกมา เจ้าวังน้อยผู้นั้นค่อยๆ หมดความอดทนไป นำเขามาขังไว้ที่นี่ สามวันห้าวันจะมาทรมานเขาครั้งหนึ่ง บางครั้งก็ทำการทรมาน บางครั้งก็พูดจาเยาะเย้ยถากถาง แถมบางครั้งยังหาถ้อยคำที่สวยหรูมาเกลี้ยกล่อม ถึงขั้นที่ส่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศมากล่อมเขาด้วย…

ต่อมาเจ้าวังน้อยผู้นั้นไม่บีบคั้นถามเรื่องราวในแดนสวรรค์จากเขาแล้ว กลับบอกกับเขาว่า แผ่นดินภายใต้การปกครองของสกุลอวิ๋นเขาล่มสลายแล้ว เสด็จพ่อและเสด็จพี่ของเขาล้วนสิ้นชีพด้วยน้ำมือของหนิงเสวี่ยโม่ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแตกสานซ่านเซ็นกันไป ที่ตายก็ตาย ที่ยอมจำนนก็ยอมจำนน จักรพรรดิเซียนองค์ใหม่ในยามนี้คือเย่เทียนหลีอดีตสหายสนิทของเขา…

เจ้าวังน้อยผู้นั้นบอกว่าตอนนี้สกุลอวิ๋นเหลือเขาเพียงคนเดียว ต้องการให้เขาเขียนสารถึงลูกน้องเก่าแก่ ให้ก่อสงครามไปทั่วหล้าอีกครั้ง และฟื้นฟูอำนาจของสกุลอวิ๋นกลับมา…

เจ้าวังน้อยบอกว่าใต้หล้าโกลาหลวุ่นวาย แต่อวิ๋นเยียนหลีกลับไม่เชื่อเลย เมินเฉยต่อคำพูดของนาง

เจ้าวังน้อยโมโหแล้ว บอกว่าเขาไร้ค่า ไม่คู่ควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เริ่มทดลองยาบางอย่างกับร่างกายเขา ให้เขากลายเป็นมนุษย์โอสถ…

เขาถูกขังไว้ที่นี่ในสภาพเช่นนี้มาหลายปี เนื่องจากถูกใช้เป็นตัวลองยามาเนิ่นนาน สองขาของเขาพิการเพราะถูกธาตุไฟเข้าแทรก เคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว

เจ้าวังน้อยผู้นั้นน่าจะคิดว่าเขายังใช้ประโยชน์ได้ จึงไม่ปล่อยให้เขาตาย นานๆ ทีก็เข็นเขาออกไปรับแสงตะวันบ้าง…

———————————-