บทที่ 1969+1970

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1969 ข้าในยามนี้ไม่ใช่เด็กน้อยมาตั้งนานแล้ว

“เจ้าในชุดสตรีตอนที่อยู่กับหลงซือเย่ เจ้ายังส่งข้ากลับบ้านด้วย พี่สาว”

เสินเนี่ยนโม่ยิ้มมิเชิงยิ้ม

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ในที่สุดเธอก็นึกออกแล้ว

“เจ้าใช้ตัวตนมากมายมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าต้องการสิ่งใดจากตัวข้า? เปลี่ยนตัวตนมากมายขนาดนี้…เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?”

เสินเนี่ยนโม่เขยิบเข้าใกล้นางก้าวหนึ่งอย่างเยือกเย็น

กู้ซีจิ่วบีบนวดหน้าผาก

“เนี่ยนโม่…”

“เรียกข้าว่าฝูอี!”

กู้ซีจิ่วยกมือข้างหนึ่งขึ้น

“เอาเถอะ ฝูอี เจ้าน่าจะมีเรื่องเข้าใจข้าผิด เมื่อก่อนที่ข้าปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหลายครั้งนั้นก็เป็นเพราะตอนนั้นข้าสงสัยว่าเจ้าคือเป้าหมายของภารกิจข้า ดังนั้นจึงทดสอบเจ้าอยู่หลายครั้ง ทำให้เจ้าตกใจบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่เคยทำให้เจ้าบาดเจ็บจริงๆ ใช่หรือไม่? ส่วนเรื่องที่ส่งเจ้ากลับบ้านครั้งนั้น ตอนนั้นพวกเราบังเอิญพบกัน ข้าไม่ได้จงใจแสดงตัวตนต่อหน้าเจ้า อีกอย่างครั้งนี้ ข้าเปลี่ยนเป็นเด็กสาวเพียงแค่ให้พวกเขาลักพาตัวข้ามา เพื่อมาตรวจสอบความจริงของเรื่องราว ข้านึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้พบเจ้า ยิ่งคาดไม่ถึงอีกว่าไม่ได้พบกันเพียงห้าปี เจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว!”

เธอเองก็ตกใจไปยกใหญ่หลังจากที่รู้ว่าเขาก็คือเสินเนี่ยนโม่

จวบจนบัดนี้เธอยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง ยังคงสงสัยว่าเขากินฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตอะไรเข้าไป…

เสินเนี่ยนโม่กล่าวอย่างเรียบเฉย

“ข้าคือบุตรแห่งเทพมาร ย่อมไม่เหมือนคนทั่วไป เป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุสามขวบ ข้าในยามนี้ไม่ใช่เด็กน้อยมาตั้งนานแล้ว”

กู้ซีจิ่วอดส่งเสียงทอดถอนใจไม่ได้

“เช่นนั้นพันธุกรรมเทพมารของเจ้าก็ทรงพลังจริงๆ เป็นผู้ใหญ่รวดเร็วถึงเพียงนี้”

“บิดาของข้าเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุหนึ่งขวบ นี่มันไม่มีอะไรน่าแปลกเลย”

เกิดเป็นเทพมารช่างพิเศษเสียจริง!

ไม่เหมือนเธอ จากคนธรรมดาคนหนึ่งค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละขั้น ลำบากตรากตรำมากมายนับไม่ถ้วน

ทว่าเขาเติบโตได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ บางทีอาจไม่ใช่เพราะเป็นบุตรของเทพมารเพียงอย่างเดียว อย่างไรเสีย เขาก็เป็นถึงเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์กลับชาติมาเกิด

กู้ซีจิ่วจำเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ที่เธอเห็นในความฝันครั้งนั้นได้ ถึงแม้จะไม่เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน ทว่าอากัปกิริยาเรียบง่ายงามสง่า มีอำนาจทรงพลังยิ่ง คล้ายกับเสินเนี่ยนโม่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก…

แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ท่านนั้น เสินเนี่ยนโม่ยังคงด้อยกว่าเล็กน้อยด้านพลังอำนาจ อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นแค่เด็กน้อย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาจะต้องกลายเป็นผู้ทรงพลังอำนาจอย่างแท้จริงเป็นแน่…

เขาฝึกฝนจนถึงขั้นจินเซียนได้ในระยะเวลาหกปี ด้วยความสามารถของเขา บางทีเขาอาจจะฝึกฝนจนถึงขั้นซ่างเซียนได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบปีแปดปี

ส่วนภารกิจของเธอก็คือช่วยเหลือเขาให้ฝึกฝนบรรลุขั้นซ่างเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการคืนชีพของหวงถู

เมื่อคิดถึงตรงนี้ทรวงอกเธอพลันร้อนผ่าว มองไปทางสายตาอันแรงกล้าของเสินเนี่ยนโม่

“เนี่ยนโม่…ไม่ใช่สิ ฝูอี เจ้าต้องการเพิ่มพลังยุทธ์ของเจ้าได้อย่างรวดเร็วหรือไม่?”

เสินเนี่ยนโม่เลิกคิ้ว นัยน์ตาล้ำลึก

“หืม? อย่างไรกัน?”

กู้ซีจิ่วประคองยาลูกกลอนสีม่วงประกายเม็ดหนึ่งไว้บนฝ่ามือ

“ข้ามียาวิเศษที่เพิ่มพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว มอบให้เจ้าก่อนเม็ดหนึ่ง เจ้าลองใช้ดู”

เสินเนี่ยนโม่ไม่เกรงใจ ยกมือขึ้นหยิบเอามาดูแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง

“เจ้าหลอมโอสถนี้เองหรือ?”

“ใช่สิ”

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าหลอมโอสถขั้นแปดได้ ในทวีปเสินโม่ไม่มีปรมาจารย์หลอมโอสถอย่างเจ้ามากนัก”

กู้ซีจิ่วหยักโค้งริมฝีปาก

“แน่นอน ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหลอมโอสถ คนที่ทำได้ถึงระดับข้าในทวีปแห่งนี้พบเห็นได้ยากราวขนหงส์เขากิเลนก็มิปาน”

สายตาเสินเนี่ยนโม่พลันวาบไหว มองดูยาลูกกลอนเม็ดนั้นอีกหลายครา ลูกกลอนเม็ดนั้นส่องสว่างประกายหลากสี เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถ ทว่ากลับดูส่วนผสมของยาลูกกลอนนี้ไม่ออก

เขานำยาลูกกลอนเม็ดนั้นใส่ในช่องมิติเก็บของของตัวเอง เตรียมที่จะกลับไปศึกษาสักหน่อย

—————————————————————

บทที่ 1970 เป็นภารกิจจริงๆ หรือ?

เขาเคยพบเห็นยาลูกกลอนที่เพิ่มพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่เคยพบเห็นชนิดนี้

ในความเป็นจริงเมื่อฝึกฝนพลังวิญญาณไปจนถึงระดับหนึ่ง จะต้องพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมากกว่าการใช้โอสถเร่งรัด มิเช่นนั้นจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่าย ล้มเหลวในขั้นสุดท้าย

อีกทั้งโอสถประเภทนี้โดยส่วนมากเป็นสิ่งชั่วร้ายและมีผลข้างเคียง

เสินจิ่วหลีผู้เป็นบิดาของเขาทิ้งโอสถวิเศษไว้ให้เขามากมาย ทว่าล้วนเป็นโอสถบำรุงร่างกาย ไม่ใช่โอสถเร่งพลังวิญญาณ

เสินจิ่วหลีเคยบอกว่าการฝืนใช้โอสถเร่งพลังวิญญาณก็เหมือนกับดึงต้นกล้าให้โต มักจะมีผลข้างเคียงกลับมาภายหลัง

ยามนี้กู้ซีจิ่วกลับให้เขามาหนึ่งเม็ด นางคาดหวังให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น?

“ข้าจำได้ว่าเจ้าอยากรับข้าเป็นศิษย์?”

จู่ๆ เสินเนี่ยนโม่ก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ใช่แล้ว แต่เจ้าไม่ยินยอม…ทำไมหรือ? เจ้าเปลี่ยนใจแล้ว?”

สายตากู้ซีจิ่ววาบไหว

“แน่นอนว่าไม่!”

เสินเนี่ยนโม่โพล่งออกมาสี่คำ ปิดกั้นจินตนาการของนาง

กู้ซีจิ่วมองเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง

“เพราะอะไร? ตอนนี้เจ้าก็รู้ตัวตนของข้าแล้ว ข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์คนอื่นๆ ของเจ้าเลย ถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ ข้าเชี่ยวชาญวิชาพิษ เคล็ดคาถา ค่ายกล…”

กู้ซีจิ่วยกตัวอย่างความสามารถของตัวเอง น้ำเสียงแฝงความภาคภูมิใจ

“อาจารย์ทั้งสิบคนของเจ้ารวมกันแล้วก็อาจจะรอบรู้ไม่เท่าข้า หากข้าได้เป็นอาจารย์เจ้า จะทำให้เจ้าทะลวงขั้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่ ฝึกฝนได้สำเร็จลุล่วง…”

เสินเนี่ยนโม่ตัดบทนาง

“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดแล้ว! ข้าไม่มีทางเป็นศิษย์ของเจ้าเด็ดขาด!”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน เอาเถิด เช่นนั้นเธอก็จะเป็นศิษย์พี่ของเขาต่อไป…

ในเมื่อเขาไม่ต้องการกราบเธอเป็นอาจารย์ แล้วเมื่อกี้เขายังจะถามอะไรอีก? ทำให้เธอคิดว่ามีความหวังแล้ว

“ข้าว่าเจ้าสนใจการเพิ่มพลังวิญญาณของข้าเหลือเกิน หรือว่านี่ก็คือภารกิจของเจ้าเช่นกัน?”

คำถามของเสินเนี่ยนโม่จี้จุดตรงประเด็น

กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา

สายตาเสินเนี่ยนโม่จ้องมองนาง

“เป็นภารกิจจริงๆ หรือ?”

เจ้าเด็กแสบนี่ฉลาดเกินไปแล้ว

เหตุใดจึงคาดเดาถึงจุดสำคัญได้ในทันที?!

กู้ซีจิ่วหยุดชะงักเล็กน้อย

“จะเป็นภารกิจหรือไม่ก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วข้าก็หวังดีต่อเจ้า ทำให้พลังวิญญาณของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ดีหรือไง?”

เป็นภารกิจจริงๆ ด้วย

หากไม่มีภารกิจค้ำคอ นางคงไม่มีทางมาอยู่ด้วยกันกับเขากระมัง?!

เสินเนี่ยนโม่จ้องมองนางครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันกายแล้วเดินจากไป

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง

นี่คือถูกเหย้าแหย่เข้าแล้ว? แต่ว่าทำไมล่ะ? เธอสับสนงงงวย

อย่างไรก็ยังเป็นเด็กน้อย อารมณ์แปรปรวน บางที่เขาอาจอยู่ในช่วงวัยต่อต้านก่อนวัยอันควร?

การคาดเดาต่างๆ นานาแวบขึ้นในหัวของกู้ซีจิ่ว ท้ายที่สุดเธอก็ไม่คาดเดาแล้ว ตามหางูดอกท้อสำคัญกว่า ยังมีอีกสองคนที่กำลังแช่น้ำเย็นรอให้เธอไปช่วยนี่!

เธอกับเสินเนี่ยนโม่เดินอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้มาครึ่งชั่วยามเต็มๆ ระหว่างนั้นเสินเนี่ยนโม่ก็โยนมุกอสรพิษเพื่อล่องูอีกสองครั้ง ในที่สุดครั้งสุดท้ายก็ล่องูดอกท้อตัวนั้นออกมาได้…

งูตัวนั้นเป็นสีชมพู ยาวไม่เกินหนึ่งชุ่น ลำตัวเรียวยาวดังตะเกียบ ทว่ากลับเป็นพญางู เคลื่อนตัวไปมาดุจสายฟ้า อีกทั้งยังพ่นพิษออกมาได้ พิษที่พ่นออกมาก็เป็นสีดอกท้อจางๆ

งดงามก็งดงามอย่างเป็นที่สุด ทว่าก็มีพิษร้ายแรงที่สุดเช่นกัน

โชคดีที่กู้ซีจิ่วมีประสบการณ์ ในที่สุดก็จับมันได้แล้ว

รอบนี้นับว่าไม่ได้มาเสียเปล่า

เนื่องจากยังพอมีเวลา กู้ซีจิ่วจึงสำรวจภายในอุโมงค์แห่งนี้ทั้งหมดสักหน่อย ระหว่างน้ันก็ทำลายกลไกสังหารคนที่เหี้ยมโหดมากมายนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเดินมาสุดทางแล้ว

สุดทางกลับเป็นผืนน้ำอันเย็นเยือก บนพื้นผิวน้ำมีกลีบดอกท้อลอยล่อง

เธอออกมาจากวังพฤกษานั้นแล้ว และด้านนอกก็เป็นโลกอีกใบหนึ่ง

กู้ซีจิ่วรู้สึกคล้ายมาถึงธารดอกท้อ หมู่พฤกษามวลผกาเรียงรายสองฝั่งข้างทาง ป่าท้อเป็นทิวแถว เป็นทิวทัศน์ที่สวยสดงดงาม

“นางหนีไปจากตรงนี้แล้ว! สัตว์พาหนะก็คือกระเรียนตัวหนึ่ง”

เสินเนี่ยนโม่เดินสำรวจบริเวณใกล้เคียงรอบหนึ่ง ไม่นานก็ตามหาเบาะแสที่เจ้าวังน้อยท่านนั้นเหลือทิ้งไว้

————————————–