ตอนที่ 506 ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น / ตอนที่ 507 คุณชอบเขาใช่ไหมครับ

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 506 ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น

 

 

           เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “ตกลงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับมั่วไป๋คืออะไรกันแน่ ทำไมคุณถึงเอาแต่อยู่ที่นี่ครับ”

 

 

           “คือความสัมพันธ์แบบเพื่อน ผมอยากอยู่ครับ”

 

 

           พูดจบในสองประโยค ตอบได้อย่างตรงไปตรงมาชัดเจน

 

 

           เหยียนอวี้กุมขมับ ที่แท้เป็นเพื่อนของมั่วไป๋ไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติจริงๆ  

 

 

           เห็นท่าทีเย็นชาของไป๋จิ่งแบบนี้ คิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีแววที่เขาจะตอบคำถามเรื่องส่วนตัวได้อีกแล้ว

 

 

           เวลานี้เองเหยียนอวี้ถึงได้ล้มเลิก แล้วเดินจากไป

 

 

           หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ไป๋จิ่งก็เฝ้าอยู่หน้าประตูต่อ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งถึงได้ลุกขึ้นยืน

 

 

           ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็กลับมาจากข้างนอก ในมือหิ้วอาหารบำรุงที่ตั้งใจให้ร้านอาหารทำให้มั่วไป๋เป็นพิเศษ

 

 

           เขายกมือขึ้นเคาะประตู แล้วเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเพียงแค่มั่วไป๋นั่งพับขาอยู่บนโซฟา เคาะแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กอยู่

 

 

           สำหรับการกระทำของไป๋จิ่ง เหมือนจะเห็นจนไม่แปลกมาตั้งนานแล้ว

 

 

           เขาไม่ชายตามองไป๋จิ่งเลยสักนิด สายตาจดจ่อแต่โน้ตบุ๊กในมือ

 

 

           ไป๋จิ่งวางของลงบนโต๊ะที่อยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ มองมั่วไป๋อย่างจดจ่อสักพัก ถึงค่อยได้เตรียมตัวจะออกไป

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งหันหลังเตรียมจะเดินออกไป ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา “ต่อไปไม่ต้องมาส่งให้ฉัน ฉันไม่กิน”

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น เขาหันหลังให้มั่วไป๋อยู่ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “คุณจะกินหรือไม่กิน ผมก็มาจะส่ง”

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้ รู้สึกรำคาญใจทีเดียว “ถ้าฉันเป็นนาย จะไม่มาทำเรื่องที่เกินความจำเป็นพวกนี้เลย”

 

 

           “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกินความจำเป็น”

 

 

           “ไป๋จิ่ง ตอนนี้นายทำแบบนี้ ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนความสัมพันธ์กับนายในตอนนี้ซ้ำใหม่อีกครั้งจริงๆ”

 

 

           “ผมไม่ได้อยากให้คุณเปลี่ยน ผมก็แค่อยากอยู่เคียงข้างคุณ”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกปวดหัวไม่เบา “ฉันเคยพูดไปแล้ว ฉันไม่ต้องการนายแล้ว…

 

 

           …ตอนนั้นฉันก็ผ่านมันมาคนเดียว แรกๆ ไม่ชิน หลังๆ ก็ชินแล้ว นายอยู่ที่นี่ช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”

 

 

           เขาหยุดสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดใดจากนายด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งหันหลังให้มั่วไป๋อยู่ ดังนั้นมั่วไป๋จึงไม่ได้เห็นว่าใบหน้าของเขาปรากฏความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างหนักหน่วงขึ้นมาแล้ว

 

 

           เขาไม่พูดอะไรสักคำ ยืนอยู่ตรงนั้นแบบนี้

 

 

           ทั้งสองคนเงียบงันกันนานมาก มั่วไป๋เอ่ยต่อ “ไป๋จิ่ง หลินฝานในตอนนั้นได้ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าถือทิฐิแล้ว”

 

 

           เขาอยากปล่อยวางแล้ว ไม่อยากจะพัวพันกับไป๋จิ่งไปเรื่อยๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว

 

 

           ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่มีความหมายอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ตอนนั้นเพื่อไป๋จิ่ง เขาเกือบจะตายไป

 

 

           คนที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งก็จะเห็นค่าชีวิตมากกว่าเดิม ระหว่างเขากับไป๋จิ่ง ในเมื่อลงเอยกันด้วยดีไม่ได้ เช่นนั้นก็แยกกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่าดี

 

 

           จะได้ไม่ตกลงไปในจุดจบที่บอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย

 

 

           ไป๋จิ่งไม่พูดจาอยู่นานมาก ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำขึ้น “หลินฝานตายแล้ว งั้นผมต้องการมั่วไป๋”

 

 

           สำหรับเขาแล้ว หนี้ที่ติดค้างหลินฝานไม่มีทางจะเอากลับคืนมาได้แล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องการมั่วไป๋ เอาหนี้ที่ติดค้างทุกอย่างในตอนนั้นส่งกลับคืนมั่วไป๋ทั้งหมด

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงันไปพักหนึ่ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

 

 

           เวลาผ่านไปนาน เขาหลับตาลงแล้ว เอ่ยอย่างจนใจ “แล้วแต่นาย”

 

 

           ไม่ว่าไป๋จิ่งจะคิดอย่างนี้ก็ตาม เขาไม่มีทางจะเปลี่ยนได้

 

 

           ถ้าไป๋จิ่งยังยืนกรานจะทำแบบนี้ให้ได้ เขาก็ไม่มีวิธีใดใดแล้ว ทำได้เพียงรอไป๋จิ่งพบเจอกับอุปสรรคไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปนานเดี๋ยวก็รู้ว่ายากแล้วถอนตัวไปเอง

 

 

           ส่วนเขาเพียงแค่จำเป็นต้องควบคุมดูแลลหัวใจตัวเองให้ดีๆ อย่าถูกไป๋จิ่งจูงจมูกอีก

 

 

           อาหารที่ไป๋จิ่งมาส่งยังคงวางอยู่ด้านข้าง มั่วไป๋มองดูแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

           ทำเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

           ช่วงบ่ายไป๋จิ่งกลับไปที่พักรอบหนึ่ง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปซื้อของให้มั่วไป๋ทันทีหลังจากนั้น พร้อมไปส่งถึงที่โรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

           ถึงแม้มั่วไป๋จะไม่ยอมรับ แต่ไป๋จิ่งก็จะยังซื้อให้ไม่มีขาดมือ

 

 

            

 

 

ตอนที่ 507 คุณชอบเขาใช่ไหมครับ

 

 

           กว่าเขาจะกลับมาถึงที่โรงพยาบาลอีกที ท้องฟ้าก็มืดลงพอสมควรแล้ว

 

 

           เขาไม่รอช้า มุ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ทันที หลังจากผลักประตูเปิดเข้าไป ถึงได้พบว่าข้างในไม่มีใครสักคน

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย วางข้าวของอยู่ตรงนั้น แล้วลงไปตามหามั่วไป๋

 

 

           เขาไปตามหาอยู่หลายที่ตลอดทาง จนในที่สุดก็หามั่วไป๋เจอที่สวนดอกไม้เล็กๆ ข้างหลังโรงพยาบาล

 

 

           เขานั่งใต้ต้นไม้อยู่คนเดียว ข้างๆ มีเด็กๆ อยู่ด้วย เล่นลูกบอลกันอยู่ตรงนั้น

 

 

           มั่วไป๋นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง มองเด็กๆ เหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

           ใบหน้าแสนเย็นชาแต่งแต้มรอยยิ้มทีละนิดๆ ดวงไฟข้างทางสาดส่องตกกระทบใบหน้าแสนดูดีของเขาเจือความอ่อนโยนเบาๆ

 

 

           มั่วไป๋ในมาดเช่นนี้ทำให้ไป๋จิ่งมองจนลุ่มหลง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเลยสักนิด

 

 

           เขาไม่เคยเห็นมั่วไป๋ยิ้มแบบนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นลังเลสองจิตสองใจอยู่ไม่เบา ไม่กล้าเดินเข้าไป ทำได้เพียงมองมั่วไป๋จากที่ไกลๆ กลัวว่าการปรากฏตัวของเขาจะรบกวนมั่วไป๋

 

 

           เขายืนอยู่จากที่ไม่ไกลนัก มองดูมั่วไป๋อย่างเงียบสงัด แต่มั่วไป๋กลับมองเด็กๆ ที่อยู่รอบข้างอย่างเงียบสงบ

 

 

           มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าเหยียนอวี้เดินมาอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มของมั่วไป๋ “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้มได้มีความสุขขนาดนี้”

 

 

           ไป๋จิ่งหันหน้ามอง เห็นเหยียนอวี้ยืนอยู่ข้างๆ พอดี

 

 

           เหยียนอวี้ยิ้มหัวเราะแล้วเอ่ยต่อ “คุณชอบเขาใช่ไหมครับ”

 

 

           “ครับ” เขายอมรับอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังซ่อนเร้น

 

 

           “สองปีก่อน ตอนที่เขาถูกส่งมา อยู่คนเดียวทั้งวัน ไม่พูดจาสักคำ…

 

 

           …ผมใช้เวลาหนึ่งเดือน ทำให้เขาไม่ขับไล่ผม ไม่เห็นผมแล้วปฏิเสธ…

 

 

           …ใช้เวลาสองเดือน ทำให้เขายอมเปิดปากพูดคุยกับผม…

 

 

           ..ผมใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ เขาถึงได้เหมือนคนปกติทั่วไปโดยพื้นฐานได้”

 

 

           เหยียนอวี้หยุดสักพัก ก่อนที่เสียงต่ำจะเอ่ยถามกลับ “คุณรู้จักความรู้สึกทำนองนั้นบ้างไหมครับ รู้สึกว่าโลกทั้งใบเป็นสีดำ แม้แต่ตัวคุณเองก็เป็นสีดำ”

 

 

           ตอนนั้นที่มั่วไป๋ถูกส่งตัวมา เขาปิดกั้นตัวเองจากทุกคน เขารู้สึกว่าทุกคนมีเจตนามุ่งร้ายกับเขา จะทำร้ายเขาได้

 

 

           เขามักจะนั่งขดตัวทำตัวเล็กๆ อยู่ที่มุมๆ หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           ราวกับว่าแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจปลอดภัยได้

 

 

           “ในปีครึ่งนั้น ยังดีที่เขาไม่ได้อยู่คนเดียว…

 

 

           …เจียงมู่เฉินใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ มาอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอด ถ้าไม่มีเจียงมู่เฉิน มั่วไป๋อาจจะเดินออกมาไม่ได้ทั้งชีวิตของเขา”

 

 

           เหยียนอวี้หยุดลงกะทันหัน เขามองมาที่ไป๋จิ่ง “คุณไม่เคยเห็นว่าเมื่อก่อนเขามีสภาพเป็นยังไง ดังนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าเขาเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน…

 

 

           …ผมเองก็ไม่ได้อยากให้คุณเข้าไปสะกิดแผลของเขา แต่มั่วไป๋เป็นคนไข้ของผม ผมเป็นหมอและเพื่อน…ของเขา…

 

 

            …ดังนั้นขอเพียงแต่เป็นคนที่สร้างบาดแผลให้เขาได้ ผมก็ไม่มีวันจะปล่อยให้คนคนนั้นเข้าใกล้มั่วไป๋ได้ง่ายๆ”

 

 

           คำพูดลอยๆ ไม่กี่ประโยคนั้นของเหยียนอวี้กลับฝังใจคนที่ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชนได้

 

 

           ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ก็เพียงพอจะทำให้ไป๋จิ่งรู้สึกผิดบาปในใจจนไม่ไหว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนกำมือแน่นอยู่ข้างๆ เพราะออกแรงมากเกินไป ข้อต่อกระดูกจึงขาวซีดขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           นาทีนั้นเขาแทบอยากจะย้อนอดีตกลับไป ตบหน้าตัวเองสองฉาดใหญ่ให้หนักๆ แรงๆ

 

 

           ต้องโทษตัวเองทั้งนั้นที่ตอนนั้นไม่รู้จักทำตามความรู้สึกของตัวเอง ถึงได้ทำตัวเองห่างเหินกับมั่วไป๋มาเสมอ

 

 

           ทั้งหมดเป็นเพราะเขา ถึงได้ก่อเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมา

 

 

           แล้วก็เซียวเย่ว์ เรื่องที่เธอหลอกหลินฝานในตอนนั้น เขาจะต้องทำให้เซียวเย่ว์ชดใช้ในสิ่งที่เธอควรจะจ่ายคืนอย่างสาสมแน่นอน

 

 

           ความทุกข์ทรมานที่หลินฝานได้รับในตอนนั้น เขาก็จะทำให้เซียวเย่ว์ได้ลิ้มรสทีละนิดๆ จนถึงที่สุด

 

 

           และแน่นอนคนที่ควรจะโดนตีมากที่สุดคือตัวเขาเอง

 

 

           ‘เขานี่แหละคนระยำที่ทำผิดจนไม่มีทางจะให้อภัยได้’