ตอนที่ 508 พูดแล้วไม่คืนคำ / ตอนที่ 509 เขารังเกียจเขา

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 508 พูดแล้วไม่คืนคำ

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว ไป๋จิ่งถึงค่อยคลายขากรรไกรที่ขบกันแน่นสนิท

 

 

           เขาเอ่ยให้คำมั่นสัญญาอย่างตั้งใจจริงทุกคำทุกประโยค “ผมไม่มีวันจะทำร้ายเขา แล้วก็จะไม่มีวันให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเขา”

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง “คำพูดนี้ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนเวลาทำก็เป็นหนังคนละม้วนไปแล้ว”

 

 

           “ครั้งนี้ผมพูดแล้วไม่คืนคำ”

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ได้ยิน เขาไม่ได้แสดงความความเห็นใดใด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขายักไหล่เดินจากไป

 

 

           เหลือเพียงแค่ไป๋จิ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว มองมั่วไป๋ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ราวกับอยากจะมองวันเวลามากมายในตอนนั้นกลับมาทีละนิดๆ จากวันนี้เป็นต้นไป

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็หันกลับมามอง เหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

           เขาหันหน้ามา แต่กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าตัวเองคงจะมองผิดไป จึงเบนสายตากลับมา

 

 

           ข้างนอกสายลมพัดโชยมาแล้ว เหมือนฝนจะตกอย่างไรอย่างนั้น ค่อนข้างจะหนาวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเดินเข้าไปหา พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ฝนใกล้จะตกแล้ว กลับเข้ามาก่อนเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าที่ไป๋จิ่งมาพัวพันกับเขาตอนนี้ ตกลงแล้วหมายความว่ายังไงกันแน่

 

 

           ‘เพราะรู้สึกผิดบาปในใจ เลยอยากจะชดเชยให้เขาเหรอ’

 

 

           แต่บนโลกนี้ สิ่งที่ไม่ต้องการที่สุดก็คือการชดเชยหลังจากที่เรื่องราวทุกอย่างจบไปแล้ว

 

 

           เรื่องราวในตอนนั้น เขาทนทุกข์ทรมานผ่านมันมาคนเดียวไปแล้ว ตอนนี้มาห่วงใยกันหลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้น แล้วมันจะมีความหมายอะไร

 

 

           เขานั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ไป๋จิ่งเห็นเขาใส่ชุดตัวบาง ก็อดไม่ได้ที่จะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก แล้วคลุมตัวมั่วไป๋ไว้

 

 

           อุณหภูมิอุ่นร้อนทำให้มั่วไป๋อึดอัดไม่น้อย รีบเบี่ยงตัวหลบ ไม่อยากสวมชุดของไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปกดมั่วไป๋ไว้ ช่วยมั่วไป๋สวมเสื้อคลุมอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมติดกระดุมให้เขาเสร็จสรรพ

 

 

           “คุณสุขภาพไม่ดี เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลงมองเสื้อคลุมที่อยู่บนตัว คิดไปคิดมาแล้ว ก็อดทนไว้ไม่ได้ลงมือทำอะไร

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้ต่อให้เขาถอดออกมา ไป๋จิ่งก็ยังจะช่วยสวมให้เขา ทำไมเขาต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นกับไป๋จิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงยังคงแสดงท่าทีเย็นชากับเรื่องนี้ ไม่ทำอะไรโต้ตอบ

 

 

           เห็นเขาสวมเสื้อคลุมแล้ว ไป๋จิ่งถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           ในเมื่อมั่วไป๋ไม่กลับไป เขาก็จะอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนมั่วไป๋ ถึงอย่างไรขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่มั่วไป๋อยากทำ เขาก็จะอยู่ด้วยตลอด

 

 

           ท่าทีของไป๋จิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

 

 

           มั่วไป๋เองไม่เข้าใจว่าไป๋จิ่งกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเป็นเพียงเพราะว่าละอายใจ เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องละอายใจแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งทำเขาเจ็บครั้งหนึ่ง เขาแก้แค้นไป๋จิ่งครั้งหนึ่ง

 

 

           นี่ก็ควรจะจบสิ้นกันไปแล้ว

 

 

           เพียงแต่ว่าเขาพูดมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ยังคง ‘ทำตามใจฉัน’ เหมือนเดิม

 

 

           พูดกันกับไป๋จิ่งไม่รู้เรื่องอย่างเห็นได้ชัด

 

 

           คิดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขายืนขึ้นมา ตัวเองก็ยืนขึ้นมาด้วย เดินตามมั่วไป๋อยู่ข้างหลัง เดินกลับไปด้วยกัน

 

 

           เงาของคนสองคนทอดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ดวงไฟข้างถนน

 

 

           เงาร่างทับซ้อนกันเล็กน้อย แต่กลับยังมีความรู้สึกราวสนิทชิดเชื้อกันซึมซับออกมาด้วย

 

 

           กลับมาห้องพักผู้ป่วยไม่ถึงห้านาที เป็นอย่างที่คิดฝนได้ตกลงมาจริงๆ

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง มองดูสายฝนนอกหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียงใด จนกระทั่งยืนจนเหนื่อยแล้ว ถึงได้กลับขึ้นเตียงปิดไฟนอน

 

 

           โถงทางเดินเงียบมาก นอกจากบางครั้งจะมีเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียง มองเพดานด้วยสายตาเลื่อนลอย ห้วงความรู้สึกอดจะโผบินไปดั่งใจนึกไม่ได้

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนสมองจะไม่เชื่อฟังเขาอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าไป๋จิ่งฉายสะท้อนผ่านมา ค่ำคืนที่ฝนตก อุณหภูมิลดลงมากทีเดียว

 

 

           อุณหภูมิในโถงทางเดินยิ่งลดต่ำลงไปกว่านั้น

 

 

           เสื้อคลุมของไป๋จิ่งยังคงวางบนโซฟา มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเปิดไฟมองดูเสื้อคลุมที่เขาโยนใส่โซฟา ในใจก็เริ่มตีกันยุ่ง

 

 

           ราวกับในหัวมีคนตัวจิ๋วสองคนกำลังดึงกันไปดึงกันมาอยู่

 

 

           คนหนึ่งให้เขาโยนเสื้อคลุมไปให้ไป๋จิ่ง ส่วนอีกคนให้เขาไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของไป๋จิ่ง

 

 

           

 

 

         ตอนที่ 509 เขารังเกียจเขา

 

 

           มั่วไป๋มองเสื้อคลุมตัวนั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี

 

 

           จู่ๆ ข้างนอกก็มีเสียงเคาะประตูเข้ามา มั่วไป๋มองตามเข้าไปดู ก็เห็นไป๋จิ่งเปิดประตูมาครึ่งบาน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

           ที่แท้ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เปิดไฟกะทันหัน ก็คิดว่าเขามีตรงไหนไม่สบาย จึงตั้งใจมาดูด้วยความเป็นห่วง

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่ง ความไม่ยินดีในหัวใจก็เพิ่มขึ้นในพริบตา

 

 

           เขามองไป๋จิ่งด้วยความรำคาญ “เปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ทำได้เพียงเอ่ยว่า “งั้นคุณก็พักผ่อนดีๆ นะ ผมจะอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนคุณ”

 

 

           เขาพูดจบก็จะออกไปทันที มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังของเขาไป จู่ๆ ก็เอ่ยร้องเรียกเสียงดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าทันที หันกลับอย่างรวดเร็ว

 

 

           “เป็นไรไป มีเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทีรังเกียจ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หยิบเสื้อคลุมของนายออกไปด้วย วางอยู่ที่นี่ มันขวางหูขวางตาฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเสื้อคลุมบนโซฟา หัวใจก็บีบคั้นในทันใด

 

 

           แต่ก็ยังขานรับ หยิบออกไปอย่างว่าง่าย

 

 

           “งั้นผมออกไปก่อนแล้ว คุณนอนเถอะ”

 

 

           เขาปิดประตูลงอย่างเบามือ ไป๋จิ่งยืนบีบเสื้อคลุมตัวนั้นอยู่หน้าประตู ในหัวใจมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           ที่แท้ตอนนี้มั่วไป๋รังเกียจเขาจนถึงขั้นนี้ แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ไม่อยากเห็น

 

 

           ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่ตัวเองเอาเสื้อคลุมไหล่ให้เขา เขาคงจะรู้สึกขยะแขยงมากใช่ไหม

 

 

           เพราะว่านั่นคือไป๋จิ่งคนระยำที่เอาเสื้อคลุมไหล่ให้เขา จึงยิ่งเพิ่มความน่ารังเกียจขึ้นอีก

 

 

           คิดถึงตรงนี้ หัวใจของไป๋จิ่งบีบรัดตัวแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ‘ต้องทำยังไงกันแน่ เขาถึงตามมั่วไป๋กลับมาใหม่ได้อีกครั้ง’

 

 

           นี่เป็นครั้งแรก ไป๋จิ่งไม่มีทิศทาง ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร ถึงจะตามมั่วไป๋ในวันวานนั้นกลับคืนมาได้สักที

 

 

           ถึงจะทำให้พวกเขากลับไปยังตอนแรกเริ่มนั้นได้

 

 

           ไฟข้างในห้องดับลงอีกครั้ง

 

 

           ครั้งนี้ไม่สว่างเป็นเวลานานมาก ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตู ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

           สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร กลับไปนั่งบนเก้าอี้ข้างนอกทั้งคืน

 

 

           ช่วงสองสามวันนี้จู่ๆ อุณหภูมิก็ลดลงอย่างกะทันหัน ทั้งฝนยังตกติดต่อกันอีกหลายรอบ

 

 

           มั่วไป๋โดนเหยียนอวี้สั่งห้ามไม่ให้ออกข้างนอก ดังนั้นก่อนที่อุณหภูมิจะกลับมาเพิ่มขึ้น จะออกไปนอกเขตอาคารพักฟื้นผู้ป่วยของโรงพยาบาลไม่ได้ อยู่ในห้องพักผู้ป่วยจะดีที่สุด

 

 

           ด้วยคำสั่งกักบริเวณนี้ มั่วไป๋จึงทำได้เพียงอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอย่างว่าง่าย

 

 

           ยังดีที่มั่วไป๋คนนี้เดิมก็เป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่คนเดียวกี่วันเลย ต่อให้อยู่เป็นสิบวันเป็นครึ่งเดือน เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

 

           เขาว่างๆ รู้สึกเบื่อๆ ก็นั่งวาดรูปหน้าโต๊ะ

 

 

           มั่วไป๋ขลุกตัวอยู่ในโซฟา หยิบสมุดพกวาดรูปขึ้นมา เพิ่งจะเปิดดู มั่วไป๋ก็ตะลึงค้างไปโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ในนั้นเป็นรูปที่เขาวาดลวกๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ใบหน้าด้านข้าง แต่มั่วไป๋มองแวบเดียวก็ดูออก

 

 

           นั่นเป็นรูปใบหน้าด้านข้างของไป๋จิ่ง

 

 

           วันนั้นไม่รู้เขาเป็นอะไรไป หยิบดินสอขึ้นมาก็วาดออกมาเลย เป็นจังหวะที่เหยียนอวี้ทำให้เขาสะดุ้งตกใจพอดี

 

 

           ถึงแม้ว่าเหยียนอวี้จะดูไม่ออกอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังหวั่นใจ กลัวเหยียนอวี้จะมองอะไรออก

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองภาพนั้น จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาฉีกกระดาษหน้านั้นออกมากะทันหัน

 

 

           ราวกับว่าไม่กล้าจะยอมรับมัน รีบเอามือฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทันที

 

 

           ข้างนอกมีเสียงไอดังขึ้นมาตลอด สะเทือนความรู้สึกของมั่วไป๋

 

 

           พวกเขาไม่ไปข้างนอกมาค่อนวันแล้ว นอกจากไป๋จิ่ง ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย อดจะคาดเดาไม่ได้

 

 

           แต่กลับกดกลั้นการคาดเดาของตัวเองไว้ทันที

 

 

           ไป๋จิ่งจะเป็นหวัดหรือไม่เป็น ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด

 

 

           คิดอย่างนี้ มั่วไป๋ก็รีบปาเศษกระดาษในมือทิ้ง ทำให้สมองตัวเองว่างเปล่า ไม่ต้องคิดเรื่องข้างนอกอีก

 

 

           ข้างนอกยังคงมีเสียงไอต่อเนื่องที่พยายามจะกดเอาไว้ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนคนอื่น กดเสียงต่ำลงอย่างชัดเจน

 

 

           หัวใจมั่วไป๋อยู่ไม่เป็นสุข ถูกเสียงไอเสียงนั้นทำให้อารมณ์สงบไม่ลงเลยสักนิด

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมหัว ทำอะไรไม่ถูก

 

 

           มั่วไป๋ไม่ยอมรับไม่ได้ ว่าตัวเองดูเหมือนไม่มีทางที่จะทำเป็นมองข้ามไป๋จิ่งไปได้จริงๆ

 

 

           อย่างเช่นตอนนี้ แค่เพียงเสียงไอเสียงเดียว ก็สะกิดใจเขาจนเตลิดไปแล้ว