ตอนที่ 594 เซียงฉือย้ายที่อยู่ / ตอนที่ 595 สนทนา

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 594 เซียงฉือย้ายที่อยู่ 

 

 

ก่อนที่หรงจิงจะทำอะไรเขาจะต้องเตรียมการไว้อย่างดีเสมอ ถึงแม้วันนี้จะเพิ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าเขาได้ส่งคนไปจัดการภายในตำหนักเฟิ่งอี๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ที่เขามาหาเซียงฉือในตอนนี้ก็เพื่อจะส่งนางไปด้วยตนเอง 

 

 

เซียงฉือยังคงดึงดันคุกเข่าอยู่ หรงจิงยิ้ม 

 

 

“ตำหนักเฟิ่งอี๋ควรเป็นที่อยู่ของฮองเฮาถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังว่างอยู่ก็ตาม เราไม่ยอมปล่อยให้เจ้าถูกเหล่าขุนนางตำหนิหรอก เจ้าไปอยู่ในตำหนักหย่างซินที่เป็นตำหนักข้างชั่วคราวก่อน แบบนี้ก็จะไม่ขัดต่อระเบียบแล้ว ลุกขึ้นเถิด” 

 

 

หรงจิงพูดเช่นนี้เซียงฉือจึงได้ถอนหายใจโล่งอกและสีหน้าก็ดูดีขึ้น หรงจิงทำท่าประคองให้นางลุกขึ้นแล้ว นางพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงไตร่ตรองรอบคอบยิ่งนัก หม่อมฉันเสียอีกที่เสียขวัญไปเอง” 

 

 

เซียงฉือรำพึง หรงจิงลูบจมูกนางเบาๆ “เช่นนั้นก็ไปดูที่อยู่ใหม่ของเจ้าพร้อมเราเป็นอย่างไร” 

 

 

หรงจิงพูดเช่นนั้น เซียงฉือยิ้มเกาะแขนเขา เมื่อคลุมเสื้อนอกตัวหนาแล้วก็ออกไป 

 

 

ตำหนักเฟิ่งอี๋อยู่ใกล้ตำหนักเจิ้งหยางของหรงจิงมาก พอออกมาทางด้านหลังผ่านไปตามทางระเบียงก็จะเห็นประตูใหญ่ของตำหนักเฟิ่งอี๋แพลมออกมาให้เห็นจากที่กำบังในดงดอกเหมย ตัวอักษรตำหนักเฟิ่งอี๋ดิ้นทองแกะสลักอย่างมีชีวิตชีวา และยิ่งเจิดจ้าสว่างไสวภายใต้แสงอาทิตย์ท่ามกลางหิมะ 

 

 

หรงจิงพานางไปและมองดูนาง เซียงฉือยิ้มเกาะแขนหรงจิงไว้ เดินไปถึงประตูหน้าของตำหนักเฟิ่งอี๋ 

 

 

ทหารรักษาพระองค์จำนวนสองแถวออกมาจากด้านในทันที และยังมีสี่กงกงที่กึ่งวิ่งถือเตาอุ่นเข้ามาอันหนึ่ง ใบหน้ายินดีปรีดา เมื่อเห็นหรงจิงกับเซียงฉือก็รีบคุกเข่าลงเบื้องหน้า 

 

 

พูดขึ้นด้วยสีหน้ายินดี 

 

 

“เสี่ยวสี่จื่อถวายบังคมฝ่าบาทและอวิ๋นผิน ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี อวิ๋นผินทรงพระเจริญพันปีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เซียงฉือเห็นเสี่ยวสี่จื่อก็รู้ว่าหรงจิงเจาะจงให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนนาง 

 

 

นางจึงมองหรงจิงด้วยสายตาซาบซึ้ง หรงจิงยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ตำหนักเฟิ่งอี๋ว่างมาตลอดตั้งแต่เสด็จแม่สวรรคต ดีที่มีการบูรณะและทำความสะอาดมิได้ขาด ที่นี่อยู่ใกล้ตำหนักเจิ้งหยางที่สุด สะดวกที่เราจะได้มาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ เจ้าก็อยู่ให้สบายใจเถอะนะ” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ค้อมกายสำนึกในพระกรุณาอย่างจริงใจ 

 

 

“ฝ่าบาททรงใส่พระทัย หม่อมฉันซาบซึ้งในพระกรุณาจริงๆ เพคะ” 

 

 

ฝ่ามือใหญ่โตของหรงจิงกอบมือเซียงฉือไว้ เขายิ้มกริ่มพูดว่า 

 

 

“ไป เข้าไปดูด้านในว่ามีอะไรไม่พอใจหรือไม่ เราจะสั่งคนให้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้เจ้าทันที” 

 

 

เซียงฉือถูกหรงจิงจูงเข้าไปในตำหนักเฟิ่งอี๋ ตลอดทางที่นางเดินผ่าน ดอกเหมยแดงเบ่งบานเป็นช่อ หรงจิงคอยกำบังลมและหิมะที่พัดเข้ามาให้นาง เขาเด็ดดอกเหมยจากต้นกิ่งหนึ่งวางลงในฝ่ามือเซียงฉือ 

 

 

“เราชอบดอกเหมยที่สุด ผลิดอกยามหนาวจัด เบ่งบานเมื่อหิมะจับแข็ง ช่อดอกเหมยแดงหอมกรุ่นโชยแตะจมูก” 

 

 

เซียงฉือยิ้มน้อยๆ พูดขึ้น 

 

 

“เกล็ดหิมะซุกกลีบเหมยผลิใหม่ ยากวาดได้จิตวิญญาณหยิ่งศักด์ศรี เสน่ห์รัดรึงแฝงในกลิ่นชื่นฤดี สง่าเหลือที่มิรู้ความหนาวเย็น ลมหนาวเอยควรรู้ถนอมรักษา อย่าได้คร่าทำลายไปโดยง่าย” 

 

 

เซียงฉือยิ้ม หรงจิงปัดแก้มนางแผ่วๆ 

 

 

“ก็มีเจ้านี่แหละที่รู้จิตใจเราที่สุด” 

 

 

เซียงฉือยิ้มถือดอกเหมยนั้นเดินเข้าไปในโถง ตำหนักหย่างซินเป็นตำหนักข้างในหมู่ตำหนักเฟิ่งอี๋ เมื่อจัดการให้ดีก็ดูน่าสบายยิ่ง 

 

 

ภายในจุดเตาผิงไว้รอท่าแล้ว เมื่อเซียงฉือเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมโชยมาปะจมูกจึงยิ้มแล้วถามว่า 

 

 

“หรือว่าฝ่าบาทจะทรงปลูกต้นเหมยไว้ภายในห้องเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็รู้ว่านางพูดเล่น แต่ก็ยังตอบอย่างจริงจัง 

 

 

“ถ้าหากเจ้าต้องการ เราจะสั่งคนให้ย้ายกระถางหนึ่งไปปลูกในห้องเจ้าเป็นอย่างไร” 

 

 

เซียงฉือหัวเราะคิกคักไม่ตอบ แต่สี่กงกงที่อยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกทันที 

 

 

“เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ถึงแม้ดอกเหมยจะหอมเย็น แต่ไม่อาจย้ายไปปลูกในห้องบรรทมได้ เกรงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 595 สนทนา 

 

 

เซียงฉือยิ้มแล้วยื่นมือออกไปตบศีรษะเขาพูดว่า 

 

 

“เจ้าทึ่ม แสนรู้ไปเสียหมด แต่กลับไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงพูดเล่นเสียนี่” 

 

 

หรงจิงได้ยินก็ไม่โกรธอะไร แต่เห็นสีหน้าจริงจังของเสี่ยวสี่จื่อแล้วจึงถามขึ้น 

 

 

“หรือว่ากลิ่นหอมพวกนั้นมีพิษ เราดูท่าทางของเจ้าแล้วไม่เหมือนกับพูดเล่น” 

 

 

หรงจิงถามเขายิ้มๆ เสี่ยวสี่จื่อทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มองดูเซียงฉือ ดวงตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นพิจารณาสีหน้าของนาง 

 

 

เซียงฉือหัวเราะ 

 

 

“ฝ่าบาททรงอบรมสอนสั่งคนได้เก่งจริงๆ เพคะ เสี่ยวสี่จื่อเพิ่งถูกฝ่าบาทสอนสั่งมาไม่กี่วันก็สามารถเรียนรู้ที่จะพิจารณาสถานการณ์และประเมินการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ฝ่าบาททรงต้องสอนหม่อมฉัน…” 

 

 

หรงจิงหัวเราะน้อยๆ เขาสะบัดแขนแล้วเสี่ยวสี่จื่อจึงพูดขึ้น 

 

 

“ความจริงเรื่องนี้บ่าวก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่เนื่องจากที่บ้านเดิมของบ่าวมีคหบดีอยู่คนหนึ่งชื่นชอบดอกเหมยมากจึงสั่งให้คนปลูกต้นเหมยไว้ในห้องนอนตนเองต้นหนึ่ง แม้ต้นเหมยจะไม่ออกดอก เขาก็ยังปักกิ่งเหมยเอาไว้จนเต็มห้อง 

 

 

เป็นอยู่เช่นนั้นไม่นานเท่าใดเขาก็ล้มป่วยหนักจนไม่มียาที่จะรักษาได้ ดีที่มีผู้มีความรู้ผ่านมาคนหนึ่งชี้แนะแก่เขาว่าถึงจะชื่นชอบแค่ไหนก็หลงใหลจนเกินไปไม่ได้ ให้เชยชมได้ในช่วงกลางวันก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่ควรปลูกไว้ในห้องนอน มิเช่นนั้นจะถึงแก่ชีวิต 

 

 

คหบดีเชื่อคำพูดผู้มีความรู้คนนั้น อาการป่วยจึงหายไปอย่างรวดเร็ว” 

 

 

พอเสี่ยวสี่จื่อพูดจบ หรงจิงก็พูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“ถึงจะเป็นคำพูดลืออย่างไม่มีหลักฐานแต่ก็มีความเป็นไปได้ ดอกเหมยเป็นพืชในความเหน็บหนาวที่หยิ่งทระนง มิน่าจึงไม่เคยได้ยินว่ามีใครปลูกนางไว้ในห้องมาก่อน คงจะเป็นเพราะเหตุนี้” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็ยิ้ม ห้องโถงใหญ่กว้างขวางทะลุกันได้ทั้งฝั่งซ้ายขวา ฝั่งซ้ายเป็นห้องหนังสือ ฝั่งขวาเป็นห้องนอน ทั้งเป็นห้องที่เล็ก เซียงฉือมองดู เดิมนางรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ตอนนี้รู้สึกคึกคักขึ้นมา เมื่อนางหันกลับมา บรรดาคนจอแจกลุ่มนั้นหายไปหมดแล้ว มีเพียงหรงจิงคนเดียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้านาง 

 

 

“เราจัดการให้เช่นนี้ เจ้าชอบหรือไม่” 

 

 

หรงจิงแนบสนิทกับร่างเซียงฉือแล้วกระซิบถามเบาๆ ข้างหูของนาง ลมหายใจร้อนๆ พุ่งเข้าไปในหูของเซียงฉือทำให้หน้าแดงไปครึ่งหน้า นางก้มหน้าลงด้วยความอาย อิงอยู่บนตัวหรงจิงผงกศีรษะเบาๆ 

 

 

“หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาเพคะ หม่อมฉันชอบที่นี่มาก ทำให้ฝ่าบาทต้องใส่พระทัยไปไม่น้อยแล้ว” 

 

 

หรงจิงหันกลับมาจูบแก้มนางเบาๆ ร่างเซียงฉือราวมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน นางลอบมองรอบด้านแล้วทุบหน้าอกหรงจิงเบาๆ หมุนกายหมายจะวิ่งออกไป 

 

 

หรงจิงยิ้มแล้วตามไปจับนางชิดข้างฝาแล้วใช้แขนยันไว้ ล้อมนางไว้ในอ้อมแขนตน เขายิ้มอย่างหาได้ยาก พูดเบาๆ ว่า 

 

 

“ชอบก็ดีแล้ว เราชอบดูเจ้าตอนที่ยิ้ม” 

 

 

หรงจิงพูดคำรักหวาน เขาล้อมนางไว้ จูบริมฝีปากนางด้วยความสงสารระคนดีใจ เพราะสายตาเซียงฉือเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสุขเอ่อท้น 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือลักษณะนี้ต่างจากครั้งแรกที่เขาพบเห็นอย่างสิ้นเชิง นางมีความเพ้อฝันของหญิงสาวและความสุขเล็กๆ ที่เรียบง่าย หรงจิงกอดนาง เรือนร่างที่นุ่มนวลให้ความรู้สึกที่ดียิ่งยามสัมผัส 

 

 

“ท่าทางเชื่อฟังน่าเอ็นดูของเจ้าแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก คืนนี้เรามีธุระต้องไปจัดการ เจ้าจัดการจัดเก็บให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เราจะมาหาเจ้าใหม่” 

 

 

เซียงฉือฟังหรงจิงพูดแล้วหัวเราะเบาๆ นางซบอิงแนบอกเขากอดไว้แน่นอย่างไม่ต้องการให้หรงจิงจากไป 

 

 

หรงจิงยิ้ม ยื่นมือกอดเซียงฉือพูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“เป็นอะไรไป ตัดใจจากเราไม่ได้หรือ” 

 

 

พอหรงจิงพูดเช่นนั้นเซียงฉือก็ลดมือลง ใบหน้าแดงก่ำ ยืนนิ่งไม่พูดจา