ตอนที่ 446 ได้ยินข่าว

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 446

ได้ยินข่าว

“ไม่นึกเลยว่าจะเสียเวลาขนาดนี้”น้าไก่ฟ้าบ่นออกมาขณะกำลังบินผ่านน่านฟ้าเหนืออาณาจักรอู๋ไปอย่างรวดเร็ว หลังเพิร์ลส่งข้อความขอความช่วยเหลือมา ไป๋จูเหวินก็ไปช่วยทันที หากแต่การไปช่วยเหลือคราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างเดียว เรื่องคงจบไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ที่ไหนได้ อีกฝ่ายกลับหัวไวเลือกที่จะยืดเวลาของเจรจาเสียอย่างนั้น ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนถึงจะออกเดินทางจากอาณาจักรไชน์มาได้เลยทีเดียว

“เจ้าพูดอะไรกัน ถ้าพวกเราไม่ไปกว่าสงครามครั้งนี้จะจบก็อาจจะกินเวลาหลายสิบปีเลยนะ”จิ้งจอกเหมันต์ท้วง

“แต่ก็นานกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้นี่นา เลยไม่มีเวลาแวะหาชินจื่อเลย”ไก่ฟ้าหงอนทองบ่นพลางถอนหายใจออกมา ความจริงมันกะว่าหลังจากช่วยอาณาจักรไชน์เรียบร้อยแล้วจะเยี่ยมหาลูกสาวมันเสียหน่อย แต่เพราะใช้เวลาเยอะกว่าที่คิดทให้ไม่มีเวลาพอจะแวะหาลูกสาวเลย

“เอาไว้กลับไปหาล่งเอ๋อแล้วค่อยกลับมาก็ได้นี่นา”ราชสีห์เพลิงตอบด้วยท่าทีเฉยๆ พวกน้าๆทุกคนต่างก็แยกมาอยู่กับไป๋จูเหวิน ทำให้อยู่แยกกับภรรยาและลูกกันทุกตน แต่เพราะต่างก็เป็นอสูรระดับสูงกันทั้งนั้น การจะไปหาลูกๆเมียๆก็ไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไร ส่วนใหญ่พวกมันก็จะบอกจูล่งว่าจะเดินทางไปนอกหมู่บ้านสักพักแล้วใช้ร่างอสูรเดินทางเอาพริบตาเดียวก็ถึง

“ขอโทษนะเจ้าคะท่านน้า แต่ข้าเป็นห่วงล่งเอ๋อจริงๆ”เหม่ยหลินว่าพลางถอนหายใจออกมา หากไม่ใช่เพราะกลับช้าขนาดนี้นางก็คงไม่ขอร้องให้พวกท่านน้าตรงกลับเมืองของลั่วสุนก่อนเป็นแน่

“ไม่หรอก พวกเราเองก็ห่วงล่งเอ๋อเหมือนกัน”มังกรธรณีว่าพลางถอนหายใจออกมา พูดถึงลูกๆแล้ว ไป๋ไป่ก็เดินทางไปกับไป๋หลินอยู่นาน พอไม่ค่อยได้เจอหน้ากันตัวมันเองก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน

“เจ้านี่ดีจริงๆเลยนะ ไม่มีภาระให้ต้องกังวล”พยัคฆ์อัสนีว่าพลางมองไปทางจิ้งจอกเหมันต์ทำเอานางค้อนใส่พยัคฆ์อัสนีตาแทบคว่ำราวกับจะบอกพยัคฆ์อัสนีว่าไม่พูดก็ไม่ได้มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ

.

.

วูม… ร่างของไก่ฟ้าหงอนทองผู้เป็นอสูรระดับบรรพกาลขั้นที่ 5 ทะยานเหนือท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงลิบชนิดที่ว่าจะหาอสูรตนไหนมาเทียบเคียงก็คงมีจำนวนนับนิ้วได้เลยทีเดียว เพียงไม่กี่วันไก่ฟ้าหงอนทองก็พาไป๋จูเหวินเดินทางมาถึงเมืองที่ฝากจูล่งเอาไว้แล้ว คราวนี้พวกมันใช้เวลาเดินทางกันร่วมเดือนกว่าๆเพราะเรื่องผิดพลาดแท้ๆ

“…….”ทันทีที่เข้ามาใกล้เมือง ทั้งคนทั้งอสูรบนหลังไก่ฟ้าหงอนทองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที เมืองเล็กๆที่ควรจะมีเพียงจูล่งและตงฟางเท่านั้นที่มีพลังระดับเจ้าสวรรค์และบรรพกาลยามนี้กลับมีพลังระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 3 และระดับบรรพกาลขั้นที่ 3 อยู่ 1 คน และระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 5 และบรรพกาลขั้นที่ 5 อยู่ 1 คน รวมถึงอสูรระดับบรรพกาลขั้นที่ 5 อีกหนึ่งตน เรียกได้ว่าแทบไม่จำเป็นต้องเดาพวกมันก็ทราบแล้วว่าเจ้าของพลังเหล่านี้คือใคร เพียงแต่พลังกลุ่มนี้กลับอยู่ด้วยกัน แถมพลังกลุ่มหนึ่งยังสมควรจะมีพลังมารอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ

“ท่านพี่ พลังอสูรแบบนั้น…”เหม่ยหลินพูดพลางจับสัมผัสพลังของไป๋ไป่ได้จากระยะไกล หากไม่ใช่เพราะไป๋หลินและชิงชิวซ่อนพลังเอาไว้คนอื่นๆนอกจากไป๋จูเหวินคงสัมผัสได้ถึงพลังของทั้งคู่เช่นกัน

“นาง…ไม่มีพลังมาร”ไป๋จูเหวินว่าพลางกะพริบตาช้าๆ ปกติพลังของไป๋หลินจะมีพลังมารสอดแทรกมาด้วยเป็นเรื่องปกติ แต่ในสายตาไป๋จูเหวินครานี้กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังมารเลย ทำให้ไป๋จูเหวินตกใจกับเรื่องนี้มาก เพราะการกำจัดพลังมารนั้นแม้แต่ไป๋จูเหวินก็ไม่ทราบวิธี เรียกได้ว่าไม่มีวี่แววอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ แต่การที่ไป๋หลินไร้ซึ่งพลังมารได้นั้นก็เท่ากับว่านางทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ

วูบ…ร่างของไก่ฟ้าหงอนมองบินตรงเข้าเมืองไปทันทีเพราะพวกน้าๆสัมผัสพลังของไป๋ไป่ได้อย่างชัดเจน ทำให้พวกมันไม่รีรอตรงเข้าไปหาให้ไวที่สุด

“ไป๋หลิน….”แทบจะทันทีที่ไป๋จูเหวินเข้ามาถึง มันก็เรียกหาบุตรสาวที่ออกมายืนรอที่ลานของสำนักทันที บุตรสาวคนนี้อยู่ๆก็หายเงียบไป ทำเอามันเป็นห่วงไม่น้อย ไม่นึกเลยว่าอยู่ๆจะโผล่มาอยู่กับบุตรชายของตนได้

“ท่านพ่อ….”ไป๋หลินพูดพลางมองร่างของไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินที่กระโดดลงมายืนบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ทันทีที่เห็นไป๋จูเหวิน อยู่ๆชิงชิวที่อยู่ข้างๆนางก็หายตัวไปเสียดื้อๆทำเอานางต้องใช้นิ้วหยิกไปที่แขนของชิงชิวทันที

“โอ้ย….”ชิงชิวร้องออกมาก่อนจะคลายการล่องหนไปอย่างช่วยไม่ได้ พอต้องมาเจอไป๋จูเหวินตรงหน้าแบบนี้แล้วก็ทำเอาชิงชิวเกิดประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ท่านไป๋จูเหวิน”ชิงชิวพูดพลางมองไป๋จูเหวินที่เดินเข้ามาใกล้ตนด้วยท่าทีไม่ทราบจะทำเช่นไรดี มันไม่ทราบว่าไป๋จูเหวินจะยกโทษให้มันหรือยัง เพราะอย่างไรไป๋จูเหวินก็ไม่เหมือนกับไป๋หลินกับมันที่มีใจต่อกัน

“ชิงชิว…”ชั่วพริบตานั้นบรรยากาศรอบข้างเงียบสนิทไปทันที หนึ่งก็เป็นคนที่ฆ่าบุตรชายของอีกฝ่าย หนึ่งก็คือพ่อของคนที่ฆ่าน้องสาวของอีกฝ่าย บรรยากาศยามนี้ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดยิ่งนัก

“ท่านไป๋จูเหวิน ข้า…..”ชิงชิวเตรียมจะคุกเข่าโขกศีรษะให้ไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินในทันที ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ต้องขอโทษเรื่องของชินอี้เสียก่อน

“ชิงชิว…”ไป๋จูเหวินพูดก่อนจะเดินมาข้าหน้าชิงชิวช้าๆ

“ข้าได้ยินเรื่องบุรุษไร้ลักษณ์มาเยอะทีเดียว”ทันทีที่ไป๋จูเหวินพูดออกมาหัวของชิงชิวที่กำลังจะโขกลงบนพื้นก็ชะงักไปทันที

“มะ ไม่ใช่นะขอรับ ชื่อนั้นมัน….”ชิงชิวสะดุ้งวาบเพราะไม่คิดว่าแม้แต่ไป๋จูเหวินก็ยังได้ยินเรื่องนี้ มันเป็นชื่อที่คนอื่นๆตั้งให้มันบอกตามตรงว่าน่าอายมากทีเดียว

“เรื่องชื่อไม่สำคัญหรอก”ไป๋จูเหวินว่าพลางก้มลงจับไปที่บ่าของชิงชิวเบาๆ

“แต่เป็นเรื่องที่เจ้าคอยช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก”ไป๋จูเหวินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน มันไม่ได้พูดเรื่องของชินอี้ออกมา แต่กลับเลือกที่จะพูดถึงความดีความชอบของชิงชิวเสียก่อน

“ชิงชิว….ก่อนหน้านี้พวกเรายังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าเลย”เหม่ยหลินพูดพลางเดินเข้ามาหาชิงชิวช้าๆ

“ขอรับ….”ชิงชิวที่โดนไป๋จูเหวินพยุงขึ้นมายืนเหมือนเดิมขมวดคิ้วมองไปทางเหม่ยหลินทันที นางต้องการจะบอกอะไรมันงั้นหรือ

“พวกเราต้องขอโทษแทนชินอี้ด้วยจริงๆ หวังว่าเจ้าจะให้อภัยพวกเรา”เหม่ยหลินพูดพลางก้มหัวลงทำเอาชิงชิวสะดุ้งวาบ นอกจากจะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอโทษแล้ว องค์มเหสีที่ตนนับถือเหนือหัวจนถึงตอนนี้กลับกำลังก้มหัวให้มันอีกต่างหาก

“เป็นเพราะชินอี้ น้องสาวของเจ้าถึงได้ตาย เรื่องนั้นพวกเราต้องขอโทษเจ้าจริงๆ หวังว่าเจ้าจะให้อภัยพวกเรา”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปทางชิงชิวด้วยสีหน้าเศร้าๆ ไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินใช้เวลาเนิ่นนานครุ่นคิดเรื่องของชินอี้ และได้ผลสรุปออกมาว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของพวกมันที่เลี้ยงดูชินอี้ออกมาไม่ดี และอยากจะขอโทษเรื่องน้องสาวของชิงชิวมาตลอด

“ข้า….ไม่ถือโทษอะไรพวกท่านหรอกขอรับ”ชิงชิวตอบพลางก้มหัวลงเช่นกัน

“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษพวกท่าน เพราะข้าขาดสติ ชินอี้ก็เลย….”ยังพูดไม่ทันจบไป๋จูเหวินก็ตบบ่าชิงชิวเบาๆเหมือนจะบอกว่าชิงชิวไม่ต้องพูดอีกแล้ว

“เจ้าให้อภัยพวกเราแล้ว ทำไมพวกเราจะให้อภัยเจ้าไม่ได้เล่า…ตอนนั้นชินอี้ทำผิดพวกเราไม่คิดจะต่อว่าเจ้าอีกแล้ว”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มออกมา เวลาเกือบร้อยปีที่ผ่านมา มากพอจะให้ทั้งสองได้ทำใจได้แล้ว และทั้งสองก็ยกโทษให้ชิงชิวไปนานแล้วเสียด้วยซ้ำ

“ความจริงเรื่องบุรุษไร้ลักษณ์ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันนะ”ไป๋หลินว่าพลางมองมาทางชิงชิวนิ่ง

“ยิ่งเรื่องความรักระหว่างเจ้าหญิงกับวีรบุรุษลึกลับแล้ว….”ไป๋หลินพูดถึงตรงนี้ก็ทำสีหน้าโกรธๆออกมาทำเอาชิงชิวสะดุ้งวาบ

“เรื่องนั้นชาวบ้านเข้าเอาไปลือกันเองต่างหาก ข้าไม่ได้คิดอะไรกับนางเลยนะ”ชิงชิวรีบแก้ตัวทันทีเมื่อเห็นไป๋หลินทำสีหน้างอนๆใส่

“คิกๆ ไป๋หลินเจ้าอย่าแกล้งชิงชิวนักสิ ถึงอย่างไรมันก็เป็นคู่หมั้นของเจ้านะ”เหม่ยหลินว่าพลางเดินเข้ามาจับมือบุตรสาวเอาไว้

“อะไรนะขอรับ”ชิงชิวเบิกตากว้างมองไปที่เหม่ยหลินทันที เมื่อครู่นางบอกว่ามันเป็นคู่หมั้นของไป๋หลินงั้นหรือ ไม่ใช่ว่ายกเลิกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วงั้นหรือ

“ข้าไม่เคยประกาศถอนหมั้นเจ้ากับไป๋หลินเสียหน่อย”ไป๋จูเหวินตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้แต่ตำแหน่งของแม่ชิงชิวไป๋จูเหวินก็ยังไม่ได้ปลด และก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับตำแหน่งเขยของชิงชิวด้วย เรียกได้ว่าตลอดเวลามานี้ชิงชิวยังเป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรไป๋ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย

“หรือว่าเจ้าอยากจะยกเลิกมันซะแล้ว ได้ข่าวว่าองค์หญิงที่เจ้าช่วยเอาไว้เป็นหญิงสาวที่งดงามไม่เลวเลยนี่นา”ไป๋จูเหวินว่าพลางหัวเราะออกมา

“ไม่ขอรับ ข้าไม่ยกเลิกขอรับ”ชิงชิวว่าพลางส่ายหน้ารัวๆทันที

“ไม่ว่าอย่างไรในใจของข้าก็มีเพียงไป๋หลินคนเดียวขอรับ ให้ข้าได้หมั้นกับนางต่อไปเถอะขอรับ”ชิงชิวขอร้องพลางมองไปทางไป๋หลินที่กำลังหน้าแดง อยู่ๆก็พูดออกมาเช่นนี้ไป๋หลินก็อดเขินไม่ได้จริงๆ

“เป็นแบบนี้ดีแล้วสินะ”เหม่ยหลินถามพลางมองไป๋หลินที่อยู่ข้างๆ

“ดีแล้วเจ้าค่ะ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มออกมา แม้จะเกิดเรื่องผิดพลาดของชินอี้ขึ้น แต่นางก็ยังอยากให้เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้อยู่ดี

“ว่าแต่ลูกเถอะ กำจัดพลังมารได้แล้วสินะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองมาทางไป๋หลิน ทีนี้ก็ต้องหันมาแสดงความยินดีกับบุตรสาวที่ทำเรื่องกำจัดพลังมารสำเร็จแทน

“เจ้าค่ะ”ไป๋หลินว่าพลางหันไปมองไป๋จูล่งที่ยืนอยู่ข้างหลังมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

“ต้องขอบคุณน้องจูล่งจริงๆ ที่ยอดเขาผลึกฟ้านั่นถ้าไม่ได้…”ไป๋หลินกำลังจะเล่าเรื่องที่จูล่งจัดการจางหลงลงได้ อยู่ๆมือของจูล่งก็พุ่งพรวดเข้ามาปิดปากไป๋หลินเอาไว้เสียก่อน

“ไป๋หลิน ลูกว่าอะไรนะ”เหม่ยหลินพูดพลางมองไปทางจูล่งช้าๆ ยอดเขาผลึกฟ้า….สถานที่เช่นนั้นไม่มีอยู่ในบริเวณนี้เลยไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจูล่งถึงไปอยู่ที่นั่นกัน

“ไม่มีอะไรเลยขอรับ”จูล่งว่าพลางหลบสายตามารดาอย่างรวดเร็ว

“จูล่ง…”เหม่ยหลินพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบกว่าเดิมหลายเท่า ทำเอาจูล่งหน้าหงอยก่อนจะก้มหัวลงยอมรับความผิด ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังแต่โดยดี