ตอนที่ 447 ไปส่ง?

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 447

ไปส่ง?

“ท่านแม่ ข้าจะไม่ก่อเรื่องหรอก ข้าสัญญา”ไป๋จูล่งพูดพลางเดินเข้ามานั่งอยู่ข้างๆมารดาที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว แม้จะพึ่งไปช่วยสงครามของอาณาจักรไชน์มา แต่เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านของตนแล้วเหม่ยหลินก็ทำหน้าที่ภรรยาและแม่ตามเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เพียงแต่ในหมู่บ้านยามนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นหลายคนเลยที่ดียว นอกจากหลิงจงที่มารับหน้าที่สอนสามัญสำนึกเพิ่มเติมให้กับจูล่งยังมีไป๋หลิน และ ชิงชิว ที่มาอาศัยอยู่ด้วยหลังจากจบภารกิจของตนเองแล้ว นอกจากนี้ยังมีไป๋ไป่ที่ยังไงก็ติดตามไป๋หลินไปทุกที่ และ หยงเวยที่พึ่งเสียพลังมารไปด้วยเช่นกัน เพียงแต่หยงเวยไม่ได้จะอยู่ที่นี่นานนัก ตัวหยงเวยวางแผนว่าจะเดินทางกลับไปที่อาณาจักรอู๋และกลับไปอยู่ที่วัดบนยอดเขาตามเดิมแทน

“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอาณาจักรอู๋กับบ้านของเราห่างกันขนาดไหน”เหม่ยหลินถามพลางมองเจ้าลูกชายตัวแสบด้วยท่าทีเหนื่อยใจ ตั้งแต่ทราบว่าหยงเวยจะเดินทางกลับไปที่อาณาจักรไป๋มันก็อาสาจะไปส่งหยงเวยถึงเมืองเลยทีเดียว ท่าทางเจ้าเด็กคนนี้จะติดใจการเดินทางเสียแล้วหลังจากต้องอยู่ในหมู่บ้านมาตลอด

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ พี่ตงฟางบินไปพักเดียวก็ถึงแล้ว”ไป๋จูล่งว่าพลางยิ้มกว้าง แน่นอนหากเป็นตงฟางที่บินได้ไวกว่าไป๋ไป่เสียอีกคงพาหยงเวยและจูล่งไปถึงอาณาจักรอู๋ได้ในเวลาไม่กี่วัน

“ท่านแม่ ให้น้องไปเถอะ ข้าจะไปด้วยเอง”ไป๋หลินว่าพลางเดินเข้ามาในครัวเหมือนนัดกันไว้ ท่าทางไป๋หลินจะโดนจูล่งอ้อนขอไปเรียบร้อบแล้วเป็นแน่

“เจ้านี่นะ”เหม่ยหลินพูดพลางมองหน้าลูกสาวตนเองนิ่ง เห็นสองพี่น้องพากันทำสายตากลมๆมาทางตนเองแล้วคนเป็นแม่จะใจแข็งอยู่ได้อย่างไร

“ก็ได้ แต่เจ้าต้องรับปากแม่ก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้น้องก่อเรื่อง”เหม่ยหลินว่าพลางถอนหายใจออกมา ไป๋หลินน่าจะเห็นแล้วว่าพลังของน้องชายตนนั้นเป็นเช่นไร แม้แต่ตัวเหม่ยหลินหรือไป๋จูเหวินเองยังไม่มั่นใจเลยว่าหากเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาแล้วตนเองจะห้ามจูล่งทัน

“เจ้าค่ะ น้องจูล่งเป็นเด็กดีจะตายไม่ก่อเรื่องหรอก”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มอย่างยินดี ตัวนางเห็นพลังของจูล่งแล้วจริงๆ แต่ก็เห็นแล้วด้วยว่าจูล่งไม่ได้ขาดสติง่ายๆ แม้จะโดนจางหลงจอมมารผู้วางแผนชั่วมาทั้งชีวิตโจมตี จูล่งก็ยังทำหน้ายิ้มแย้มตอบโต้ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเล่นได้ไม่มีผิด เรื่องนั้นทำให้ไป๋หลินไม่คิดว่าจะมีใครสามารถทำให้จูล่งโกรธได้หรอก แน่นอนว่าต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนทุกคนก็ย่อมมีจุดอ่อน อย่างไป๋จูล่งเอง หากทำร้ายคนใกล้ชิดของมันก็อาจจะทำให้โมโหได้ แต่เกรงว่าเพียงจะหาคนมาทำร้ายคนรู้จักของจูล่งได้ก็คงต้องควานหาทั่วแผ่นดินแล้วกระมัง

“ข้าเองก็จะไม่ก่อเรื่องหรอกขอรับ”จูล่งพูดด้วยท่าทีหนักแน่น ทำให้เหม่ยหลินได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ

“ท่านพี่เองก็ยอมแล้วสินะ”เหม่ยหลินว่าพลางเหลือบมองไปทางประตู ตรงที่ไป๋จูเหวินยืนมองอยู่ห่างๆ เห็นได้ชัดเลยว่าไป๋จูเหวินโดนขอร้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคงบอกลูกๆว่าให้มาถามนางเป็นแน่

“ข้าคิดว่าจูล่งน่าจะพร้อมแล้ว”ไป๋จูเหวินตอบ ไม่ใช่เพราะโดนไป๋จูล่งอ้อนเอาหรอก แต่เพราะไป๋จูเหวินเองก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อยากจะออกไปข้างนอกแล้วได้รู้ว่าข้างนอกนั่นเป็นเช่นไร แม้พลังของจูล่งจะเป็นปัญหา แต่การที่ไป๋จูเหวินเดินทางไปทางเหนือด้วยตนเองเพื่อไปส่งเด็กคนหนึ่งทำให้ไป๋จูเหวินลอบคิดว่าบางทีจูล่งอาจจะสามารถรับมือกับปัญหาในโลกภายนอกได้แล้วก็ได้

“ก็ได้”เหม่ยหลินถอนหายใจออกมาแต่ทางด้านลูกๆนั้นกลับยิ้มกันออกหน้าออกตาชนิดที่ว่าไม่เหมือนพี่น้องที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนนับสิบปีเลย ไม่ทราบสองพี่น้องไปสนิทสนมกันเมื่อไหร่กัน

.

.

“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาส่ง”หยงเวยว่าพลางมองจูล่ง ไป๋หลิน ชิงชิว ไป๋ไป่ และตงฟางที่ออกมายืนรวมตัวกันเตรียมจะไปส่งตัวมันที่อาณาจักรอู๋กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“ท่านลุง ท่านลุงพึ่งจะฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ไม่นานนะเจ้าคะ พวกเราเป็นห่วง”ไป๋หลินว่าพลางเดินเข้าไปจับแขนของหยงเวยเอาไว้ ยามนี้ที่แขนอีกข้างของหยงเวยกลายเป็นแขนดินไปเสียแล้ว กว่าจะสร้างแขนที่แข็งแกร่งพอๆกับแขนมรกตก่อนหน้านี้ได้คงต้องฟื้นฟูพลังกันอีกนานทีเดียว

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน….”หยงเวยว่าพลางถอนหายใจออกมา แม้มันจะเสียพลังมารและมีพลังวิญญาณไม่มาก แต่มันก็ยังมีทั้งวิชาและความรู้ติดตัวอีกมากมาย เพียงแค่กลับอาณาจักรอู่เท่านี้มันสามารถทำได้อยู่แล้ว

“แล้วเท่าที่ข้าดู พวกเจ้าก็ไม่ได้อยากไปส่งข้ากันนักหรอก”หยงเวยว่าพลางมองเหล่าผู้มาส่งด้วยท่าทีรู้ทัน ดูใบหน้าแต่ละคนแล้วเหมือนอยากไปเที่ยวเล่นเสียมากกว่า คิดว่ามันดูไม่ออกหรืออย่างไร

“ท่านหยงเวย ท่านคิดมากไปแล้ว พวกเราอยากไปส่งท่านจริงๆ”ชิงชิวว่าพลางหลบสายตาหยงเวยเล็กน้อย ตัวมันพึ่งได้กลับมาอยู่กับไป๋หลินก็อยากไปเที่ยวด้วยกันไม่ต่างจากจูล่งหรอก

“เอาเป็นว่าข้าจะเชื่อพวกเจ้าแล้วกัน”หยงเวยส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปหาไป๋ไป่ที่เปลี่ยนร่างเป็นมังกรรออยู่แล้ว

“เจ้าค่ะ”ไป๋หลินยิ้มพลางเดินขึ้นหลังของไป๋ไป่ไปพร้อมกับจูล่งและชิงชิว พอจำนวนคนมากเข้าการขี่หลังตงฟางก็ต้องยกเลิกไป ทำให้ตงฟางอยู่ในร่างขนาดเล็กนอนพันอยู่บนไหล่ของจูล่งไปตลอดทางแทน

.

.

“ท่านลุงๆ เราแวะเมืองข้างหน้ากันเถอะ เหมือนจะมีงานฉลองอะไรเลย”ไป๋หลินว่าพลางชี้เมืองๆหนึ่งขณะกำลังบินอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน เมืองที่อยู่เบื้องล่างนั้นประดับแสงไฟจนสว่างไสวไปทั้งเมืองดูแล้วน่าจะกำลังสนุกกันเลยทีเดียว

“ไหนเจ้าบอกว่ามาส่งข้าไม่ใช่หรือไง”หยงเวยว่าพลางมองไปทางไป๋หลินนิ่ง

“แต่ว่า…”ไป๋หลินยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางเหล่มองไปข้างล่าง พวกตนพึ่งเดินทางมาได้ไม่ถึงวันเลยนางก็จะแวะข้างทางเสียแล้ว เกรงว่าการมาส่งหยงเวยยามนี้จะกินเวลามากกว่าให้หยงเวยเดินทางกลับคนเดียวเสียมากกว่าอีกกระมั้ง

“ลุงล้อเจ้าเล่น เจ้าอยากจะไปก็ไปเถอะ”หยงเวยส่ายหน้าช้าๆพลางหัวเราะออกมา มันไม่ได้เห็นไป๋หลินยิ้มแย้มแบบนี้มานานแล้ว ครั้งนี้นับว่าไป๋หลินเหมือนได้เอาความกังวลทิ้งไปจนหมดเลยทีเดียว รอยยิ้มของนางยามนี้สดใสเหมือนตอนยังเด็กที่ชอบแอบหนีเที่ยวไปทั่วไม่มีผิด

“เจ้าค่ะ”ไป๋หลินยิ้มกว้างก่อนจะบอกให้พี่ไป๋ไป่บินลงไปยังเมืองเบื้องล่างในทันที แน่นอนว่าพวกนางไม่ได้ลงไปที่เมืองโดยตรงเพื่อป้องกันคนแตกตื่น แม้จะเดินทางมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่อาณาจักรในแถบนี้ยังห่างจากอาณาจักรไป๋ที่เคยชินกับการเห็นอสูรบินไปบินมาอยู่มาก ขืนเจอมังกรขาวหกปีกบินลงมากลางเมืองงานฉลองที่กำลังน่าสนุกต้องกร่อยแน่ๆ

“จูล่ง เจ้ามากับลุงมา”หยงเวยว่าพลางบอกให้จูล่งมากับตนเอง

“เอ๋…..”จูล่งที่กำลังจะเดินตามไป๋หลินกับชิงชิวไปหันมามองหยงเวยงงๆ

“เจ้ามากับพวกข้านี่”ไป๋ไป่ว่าพลางลากจูล่งให้เดินมาทางหยงเวย แม้จูล่งจะไม่รู้เรื่อง แต่ไป๋ไป่กับหยงเวยต่างก็ทราบดีว่าคู่ของไป๋หลินกับชิงชิวไม่ได้เดินเที่ยวตลาดแบบนี้มานาน ในฐานะพี่ที่แสนดีและลุงคนสนิทก็ต้องเปิดโอกาสให้บ้างจริงหรือไม่

“ขอรับ”จูล่งเอียงคอเล็กน้อย แต่ในเมื่อพี่ไป๋ไป่กับลุงหยงเวยบอกเช่นนั้นมันก็ทำตามแต่โดยดี แม้จะเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ไปเดินเที่ยวในตลาดกับพี่สาว แต่ไปกับพี่ไป๋ไป่กับลุงหยงเวยก็ไม่เลวนักหรอก

“ท่านลุง ทำไมเมืองนี้ถึงกำลังฉลองกันงั้นเหรอ”ไป๋จูล่งถามพลางมองไปรอบๆ พอเข้ามาใกล้อาณาจักรไป๋มากๆเข้า บ้านเมืองก็ยิ่งเปลี่ยนไป อาคารไม้เหมือนสมัยก่อนเริ่มน้อยลงทุกที ภายในเมืองต่างเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ทำจากบางอย่างที่คล้ายๆหิน แต่พื้นเรียบมากกว่า และดูเบากว่ามาก แถมการประดับตกแต่งยังเต็มไปด้วยหลอดไฟแทนที่จะเป็นตะเกียงหรือคบเพลิงแบบข้างนอกอีกต่างหาก

“มันก็เป็นเรื่องราวของแต่ละเมือง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของพระเจ้าที่นับถือหรือไม่ก็วันสำคัญ”หยงเวยตอบพลางมองไปรอบๆ การติดต่อสื่อสารของคนในอาณาจักรต่างๆพึ่งจะเริ่มง่ายดายขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ทำให้ความเชื่อเดิมๆของแต่ละอาณาจักรหรือแต่ละเมืองยังคงอยู่ ทำให้บอกไม่ได้ว่าเมืองนี้นับถืออะไรกัน

“ใช่รูปปั้นนั่นหรือเปล่าขอรับ”จูล่งถามพลางชี้ไปที่รูปปั้นที่ถูกประดับไปด้วยไฟหลากสีและนำจัดแสดงเอาไว้กลางเมือง เพียงแต่รูปปั้นนั้นช่างคุ้นตาอย่างประหลาด

“……..”หยงเวยนิ่งไปพลางมองไปที่รูปปั้นตรงหน้า ไม่นึกเลยว่ารูปปั้นนั้นจะมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้

“ไป๋จูเหวิน….ทำไมรูปปั้นถึงชื่อเหมือนท่านพ่อเลยล่ะขอรับ”จูล่งยิ้มพลางชี้ไปที่รูปปั้นตรงหน้า ทำเอาหยงเวยไม่ทราบจะตอบเช่นไรดี

“บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”ไป๋ไป่ตอบพลางหลบสายตาจูล่งทันที

“นั่นสินะขอรับ รูปปั้นนั่นไม่เหมือนท่านพ่อเสียหน่อย”จูล่งตอบพลางยิ้มออกมา ช่วยไม่ได้หรอก เพราะรูปปั้นตรงหน้านั้นเป็นเพียงรูปปั้นที่สร้างจากเรื่องเล่า ตัวตนของไป๋จูเหวินจักรพรรดิแห่งอาณาจักรไป๋นั้นกลายเป็นตำนานเล่าขานกันมาตั้งแต่กี่สิบปีก่อนก็ไม่ทราบ ความเจริญและความอุดิสมบูรณ์ต่างแพร่กระจายมาจากอาณาจักรไป๋ทั้งสิ้น ทำให้อาณาจักรห่างไกลที่ได้รับผลประโยชน์ไปด้วยต่างเคารพนับถือไป๋จูเหวินราวกับเทพพระเจ้าเลยทีเดียว

“มาเถอะจูล่ง เราไปเดินเล่นในงานกันดีกว่า”ไป๋ไป่ว่าพลางพาจูล่งเดินออกมาจากรูปสลักกลางเมือง เกรงว่ายิ่งเข้าใกล้อาณาจักรไป๋เท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นรูปสลักพวกนี้บ่อยเท่านั้น สักวันคงต้องหาวิธีอธิบายให้จูล่งเข้าใจเสียแล้ว

ตูม!! ไป๋ไป่ยังเดินเข้าไปไม่ถึงจูล่ง อยู่ๆที่รูปปั้นของไป๋จูเหวินกลับเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาเสียก่อน พร้อมควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาราวกับจะบดบังสายตาผู้คนรอบด้านเอาไว้จนมิด

“เกิดอะไรขึ้น”หยงเวยขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปหาจูล่งในทันที เพียงแต่มันไม่อาจเรียกดาบมรกตออกมาได้อย่างที่มันเคยทำมาก่อนเสียแล้ว

“จูล่ง เจ้ามานี่”ไป๋ไป่ว่าพลางพาจูล่งที่ยังทำหน้าทองไม่รู้ร้อนให้ถอยออกมา