ตอนที่ 448 เหยื่อตัวใหญ่

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 448

เหยื่อตัวใหญ่

กลุ่มควันสีขาวกระจายฟุ้งไปทั้งลานหน้ารูปปั้นทำเอาเหล่าผู้คนมีท่าทีตื่นตกใจกันอย่างมาก เสียงระเบิดเมื่อครู่ทำเอาบางคนรีบจับไปที่อาวุธของตนเลยทีเดียว เพียงแต่หยงเวยกับไป๋ไป่ไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้นเลย

“จูล่ง เจ้าออกมาตรงนี้ เดี๋ยวจะไปขวางพวกนั้นเข้า”ไป๋ไป่ว่าพลางพาจูล่งออกมายืนตรงจุดที่ควันสีขาวมาไม่ถึง แม้คนอื่นจะแตกตื่น แต่ทหารยามที่เดินกันทั่วงานกลับไม่มีท่าทีประหลาดใจเลย แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้มีการแจ้งล่วงหน้าเอาไว้แล้วนั่นเอง

“ขวางอะไรหรือขอรับ”ไป๋จูล่งถามพลางกะพริบตางงๆ แต่ก่อนที่ไป๋ไป่จะตอบกลุ่มควันสีขาวที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆก็เริ่มจางลงช้าๆ เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่อยู่กลางกลุ่มควัน เมื่อมองดีๆจะพบว่าระเบิดเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย มันเพียงทำเสียงดังและก่อให้เกิดควันเท่านั้น

“ยินดีต้อนรับแขกทุกท่านที่มาร่วมงานในครั้งนี้”อยู่ๆเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังกึกก้องขึ้นมากลางเมืองพร้อมอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ในมือ ท่าทางเจ้าแท่งสีดำนั่นจะทำให้เสียงของชายคนนั้นดังไปทั่วบริเวณเป็นแน่

“กระผมอี้เผิงได้พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาที่นี่ นางนั้นเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในอาณาจักรโล่วเสินเลยทีเดียว”ชายที่ชื่ออี้เผิงว่าพลางผายมือไปทางหญิงสาวนางหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ารูปปั้นของไป๋จูเหวินพอดี นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลืองดูแล้วสะดุดตาในยามค่ำคืนไม่น้อย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจที่สุดคงไม่ใช่สีชุด แต่เป็นหน้ากากที่เจ้าตัวใส่อยู่ต่างหาก ไม่ทราบว่าทำไมหญิงสาวนางนี้ถึงต้องเอาหน้ากากปิดบังหน้าตาเอาไว้ แต่เพียงสิ่งที่ไโผล่พ่นหน้ากากออกมาก็มากพอจะทำให้เหล่าชายหนุ่มให้ความสนใจแล้ว

“หน้าตาของนางนั้นเป็นสิ่งลึกลับที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็น แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างหลงใหลนางนั้นหาใช่หน้าตาไม่ แต่เป็นเสียงอันไพเราะของนางต่างหาก”ได้ยินอี้เผิงพูดเช่นนี้เหล่าคนรอบๆก็มีท่าทีสนใจไม่น้อย ยิ่งจูล่งยิ่งแล้วใหญ่ สำหรับมันแล้วดนตรีที่มันรู้จักก็มีเพียงเสียงขลุ่ยของมารดาเท่านั้น

“หากพวกท่านคิดว่าข้าเป็นคนขี้โม้ละก็ เชิญทุกท่านรับฟังด้วยตัวเองได้เลย”อี้เผิงว่าพลางนำแท่งสีดำที่ตนถืออยู่ไปยื่นให้กับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลาง มันคือไมค์โครโฟนที่ทำหน้าที่ขยายเสียงนั่นเอง

ตึงๆๆ ทันทีที่ไมค์โครโฟนถูกส่งให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางลานหน้ารูปปั้น เสียงกลองก็ดังขึ้นเป็นอย่างแรกพร้อมๆกับเสียงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆที่ดังออกมาจากรอบทิศทาง เมื่อลองมองดีๆแล้วก็พบว่าที่ตึกรอบๆลานรูปปั้นมีนักดนตรีขึ้นไปยืนอยู่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง

“ทรงพลังจริงๆ”หยงเวยว่าพลางมองไปรอบๆ นักดนตรีที่กำลังเล่นอยู่นั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เสียง แต่เป็นพลังวิญญาณที่แฝงมาด้วย เหล่านักดนตรีในคณะต่างเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทั้งสิ้น ทำให้เสียงดนตรีที่ดังออกมามีพลังอย่างประหลาดและมีความหนักแน่นชนิดที่ว่านักดนตรีธรรมดาไม่อาจเทียบเท่าได้ เพียงแต่เสียงที่หนักแน่นเช่นนี้หญิงสาวที่เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาไร้พลังวิญญาณจะสามารถร้องตามได้หรือ

วูบ…ราวกับลมหายใจของทุกคนในลานหยุดลงชั่วพริบตาหนึ่งเมื่อเครื่องดนตรีรอบๆหยุดบรรเลงพร้อมกัน ก่อนที่จะมีเสียงซอแผ่วๆบรรเลงออกมาช้าๆก่อนที่เสียงของหญิงสาวตรงกลางลานรูปปั้นจะเริ่มดังขึ้น

เพียงพริบตาเดียวที่เสียงของนางดังออกมา หยงเวยก็โยนข้อครหาก่อนหน้านี้ทิ้งไปทันที เสียงของหญิงสาวตรงหน้าเป็นเสียงที่ไพเราะอย่างมาก แม้แต่หยงเวยหรือไป๋ไป่ที่ร่วมงานฉลองของคนระดับจักรพรรดิมาหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ไพเราะถึงเพียงนี้

ในช่วงเวลาที่หญิงสาวกำลังขับขานเสียงเพลง ทุกๆอย่างราวกับกำลังหยุดอยู่กับที่ไม่มีผิด ไม่มีใครในบริเวณนั้นขยับหรือพูดคุยกันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหยุดนิ่งและปล่อยให้ร่างกายซึมซับเสียงที่ราวกับส่งลงมาจากสวรรค์อย่างช้าๆ ยิ่งยามที่เครื่องดนตรีอื่นๆเริ่มกลับมาบรรเลง แทนที่เสียงของหญิงสาวตรงหน้าจะโดนกดลง มันกลับเข้ากันอย่างลงตัวชนิดที่ว่าเสียงของนางไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงเครื่องดนตรีจากผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเลย หรือจะบอกว่าจำเป็นต้องใช้ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมาเล่นเครื่องดนตรีให้เท่านั้นถึงจะได้บทเพลงที่สามารถเข้ากับเสียงของหญิงสาวตรงกลางได้

“…………”บทเพลงแรกจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ถึงเครื่องดนตรีและตัวผู้ขับขานบทเพลงจะหยุดไปแล้ว แต่เหล่าชาวบ้านรอบๆต่างก็ยังเงียบกริบราวกับยังตั้งสติไม่ได้ แม้แต่หยงเวยและไป๋ไป่เองยังรู้สึกชื่นชม ไม่ต้องพูดถึงไป๋จูล่ง นี่คือครั้งแรกที่มันรู้สึกประทับใจขนาดนี้เสียด้วยซ้ำ

“อะแฮ่ม….”ขณะที่ทุกคนกำลังนิ่งค้างเพราะบทเพลงก่อนหน้านี้ อี้เผิงก็เดินออกมารับไมค์โครโฟนจากหญิงสาวก่อนจะกระแอมออกมาเพื่อเรียกสติของเหล่าผู้ฟัง

“ขอเสียงปรบมือให้กับนักร้องของเราด้วยขอรับ”ได้ยินอี้เผิงพูดเช่นนั้นก็เริ่มมีชาวบ้านบางคนปรบมือช้าๆ ก่อนที่คนรอบๆจะเริ่มปรบมือตามก่อนที่มันจะกลายเป็นเสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วเมือง ด้วยเสียงที่ไพเราะเช่นนั้นสมควรแล้วที่นางจะได้รับการชื่นชมขนาดนี้

“ขอบคุณๆ แต่ก่อนจะฟังเพลงต่อไป”อี้เผิงว่าพลางยิ้มออกมา เมื่อได้ยินว่ายังมีเพลงต่อไปอีกเหล่าผู้คนก็มีท่าทีดีใจเป็นอย่างมาก ไม่ได้เอะใจเรื่องรอยยิ้มของอี้เผิงเลยแม้แต่น้อย

“พวกเราขอเก็บค่าเพลงกันสักเล็กน้อย”อี้เผิงพูดจบก็มีชาย 2 คนเดินออกมาพร้อมถาดสำหรับใส่เงิน พวกมันเดินเข้าไปหากลุ่มผู้ชมพร้อมรับเงินค่าแสดงจากผู้ชมรอบๆ แน่นอนทุกคนยินดีจ่ายอย่างไม่ลังเลเนื่องด้วยความประทับใจก่อนหน้านี้

“ท่านลุง ข้าต้องทำอย่างไรหรือขอรับ”ไป๋จูล่งถามพลางมองไปทางคนที่ถือถาดใส่เงิน ไม่นานพวกมันก็จะเดินมาถึงตัวจูล่งอยู่แล้ว

“ถ้าเจ้าชอบก็ใส่เงินลงในถาดให้พวกเขาสักเล็กน้อยเพื่อเป็นค่าตอบแทนก็พอ”หยงเวยตอบพลางยิ้มออกมา

เคร๊ง! หยงเวยโยนเหรียญทองลงไปบนถาด เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากมายอะไรสำหรับมันเมื่อเทียบกับเสียงอันไพเราะของหญิงสาวคนนั้น หากนางรับงานเข้าไปร้องในวังหลวงย่อมได้เงินดีกว่านี้แน่นอน

“ขอรับ…”จูล่งเห็นหยงเวยส่งให้ 1 เหรียญทองตนเองก็นำถุงเงินของมันออกมาก่อนจะเปิดดูว่าตนเองเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้มันแวะซื้อกระบี่ไปคืนให้เหล่าลี่ ทำให้มันมีเงินแบบเหรียญอยู่บ้างไม่ใช่เพียงตั๋วเงินของพี่สาวเท่านั้น เพียงแต่เงินเหรียญนั้นอยู่ลึกพอสมควรทำให้จูล่งต้องเปิดถุงเงินกว้างทีเดียวถึงจะหยิบออกมาได้

“นี่ขอรับ”จูล่งว่าพลางยื่นเหรียญทองให้คนเก็บเงิน ทันทีที่เห็นเหรียญทองเหรียญที่ 2 คนเก็บเงินก็ยิ้มกว้างทันทีก่อนจะเดินไปเก็บเงินกับไป๋ไป่ต่อทำให้มันได้เหรียญทองเหรียญที่ 3 มาทันที

“ขอบพระคุณมากขอรับ”คนเก็บเงินยิ้มกว้างพลางกล่าวขอบคุณออกมาทันที 1 เหรียญทองเป็นจำนวนเงินไม่มากมายอะไร เพียงแต่ก็เป็นเงินที่มากอยู่ดีหากเอามาเป็นรางวัลให้กับนักดนตรีข้างถนนเช่นนี้ ทำให้กลุ่มของจูล่งเป็นที่สนอกสนใจของเหล่าผู้ชมไม่น้อย

“เจ้าหนูนั่นพกเงินมาเพียบเลยนี่นา”ชายร่างผอมคนหนึ่งพูดพลางมองไปทางไป๋จูล่ง ก่อนหน้านี้ตอนจูล่งล้วงเหรียญออกมาจากถุงเงินมันลอบเห็นตั๋วเงินทั้งปึกในถุงเงินของจูล่งเข้า แทบจะทันทีที่เห็นเข้าดวงตาของมันก็ส่องประกายออกมาทันที

“คนที่มีพลังวิญญาณมีแค่เจ้าคนที่อยู่ข้างหลัง ระดับก่อกำเนิดพลังเซียนเท่านั้น”ชายที่อยู่ด้านหลังตอบพลางมองไปทางหยงเวย จูล่งยามนี้แต่งตัวดูดีไม่น้อยหากมองภายนอกก็เหมือนคุณชายสักคนที่ออกมาเที่ยวนอกเมืองไม่มีผิด หากไม่นับเส้นผมสีขาวของมันละก็.. ส่วนหญิงสาวด้านหลังที่มีเส้นผมสีขาวเหมือนกันท่าทางจะเป็นพี่สาวหรือคนในครอบครัว ทั้งสองไม่มีพลังวิญญาณเกรงว่าเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังจะเป็นผู้คุ้มกันกระมัง

“ดี การแสดงจบแล้วไปพาตัวเจ้าหนูนั่นมา”ชายร่างผอมว่าพลางเดินออกไปจากลานหน้ารูปปั้น แม้จะชอบเสียงของคณะดนตรี แต่เจอเหยื่อรายใหญ่แบบนี้มันต้องให้ความสนใจกับงานของตนเองก่อนเสียแล้ว

“ขอรับ”ลูกน้องของชายร่างผอมตอบพลางจดจ้องไปทางกลุ่มของไป๋จูล่งทันที แน่นอนว่าหลังจากนี้พวกมันก็อยู่ฟังเพลงของคณะดนตรีจนจบ ในช่วงนี้พวกมันยังไม่ลงมือ แต่หลังจากการแสดงจบลงในช่วงที่ผู้คนกำลังแยกย้ายกันไปเที่ยวชมงานตามเดิมนั้นเอง…

ปึก!! หยงเวยที่กำลังเดินเที่ยวชมงานตามปกติอยู่ๆก็โดนชายคนหนึ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้ แถมยังเกร็งร่างไม่ยอมให้หยงเวยเดินผ่านอีกต่างหาก

“พี่ชาย เดินระวังด้วยสิ”ชายคนนั้นพูดพลางปล่อยพลังวิญญาณออกมาข่มไปทางหยงเวย ในระหว่างนั้นลูกน้องของมันอีก 2 คนก็เดินออกมาขวางทางไป๋ไป่เอาไว้ เป้าหมายของพวกมันคือแยกหยงเวยกับไป๋ไป่ออกจากจูล่งเท่านั้น

“ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ”หยงเวยตอบพลางทำท่าจะเดินไปอีกทาง แต่ทันทีที่หยงเวยเบี่ยงตัวไปทางซ้าย ลูกน้องคนหนึ่งก็แทรกเข้ามาปิดทางเอาไว้

“….”หยงเวยมองไปทางคนทั้ง 3 ด้วยท่าทีประหลาดใจ ท่าทางเจ้าพวกนี้จะไม่ได้แค่ยืนขวางทางเสียแล้ว แถมระดับพลังวิญญาณของพวกมันก็ไม่เลวร้ายอีกต่างหาก คนอยู่หน้าสุดอยู่ระดับเหรียญเซียนขั้นที่ 8 และอีก 2 คนอยู่ระดับเหรียญเซียนขั้นที่ 4 และ 3 นับว่าเหนือกว่าหยงเวยมากทีเดียว

“น้องสาว เจ้าจะรีบไปไหน”ชายคนหนึ่งว่าพลางเดินเข้าไปขวางไป๋ไป่เอาไว้ หญิงสาวเอวบางร่างน้อยเช่นนี้แถมไม่มีพลังวิญญาณอีกแค่ใช้นิ้วผลักเบาๆก็ล้มแล้วกระมัง

ผลัก!! เพราะอีกฝ่ายเข้ามาขวางโดยไม่ให้ไป๋ไป่ตั้งตัว ไป๋ไป่ก็เลยชนเข้ากับอีกฝ่ายเต็มรัก และผลที่ออกมาก็ไม่ต้องถาม ร่างของชายหนุ่มล้มลงไปนอนกับพื้นในขณะที่ไป๋ไป่แทบไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ

“อะไรวะ ทำไมเหมือนโดนช้างชนเลย”ชายคนนั้นว่าพลางลูบก้นตัวเองที่ร่วงลงไปกระแทกพื้น

“ไป๋ไป่….เจ้าใจเย็นก่อนนะ”หยงเวยละเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังหาเรื่องตนเองทิ้งไปก่อน ยามนี้หากไม่ห้ามไป๋ไป่เอาไว้เกรงว่าจะเกิดเรื่องเป็นแน่

“พูดอะไรกันเจ้าคะท่านลุง ข้าใจเย็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”ไป๋ไป่ยิ้มหวานพลางกำหมัดแน่น แม้หยงเวยจะสัมผัสพลังอสูรได้ไม่แม่นยำนัก แต่ระดับพลังของไป๋ไป่ที่พุ่งขึ้นมานั้นไม่ได้ตรงกับคำว่าใจเย็นเลยแม้แต่น้อย