บทที่ 879 : หลิงหยุนยอมสิโรราบ!
“อาปิง..นายรู้มั๊ยว่าปกติตี้เสี่ยวอู๋ไปฝึกวิชาที่ใหน”
หลิงหยุนถามขึ้นเพราะเห็นว่าตี้เสี่ยวอู๋ไปส่งมู่หลงเฟยจื่อแล้วแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาที่โรงแรม และได้โทรบอกหลิงหยุนว่าเขาจะไปฝึกวิชาต่อที่ริมฝั่งแม่น้ำจิงฉู
ทุกๆเที่ยงคืนระดับน้ำในแม่น้ำจิงฉูจะเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเวลาที่เหมาะแก่การฝึกวิชานู่เตามากที่สุด ตี้เสี่ยวอู๋จึงมักจะออกไปฝึกวิชาที่นั่นทุกคืน และไมว่าลมฝนใดๆ ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้!
“รู้ครับพี่หยุน!”
อาปิงนั้นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลิงหยุนกับตี้เสี่ยอู๋ดีตี้เสี่ยวอู๋ออกไปฝึกวิชาทุกคืนเช่นนี้ อาปิงเองก็ได้ตามเขาออกไปด้วยเสมอๆ เขาจึงรู้ดีว่าตี้เสี่ยวอู๋จะไปฝึกวิชาที่ใหนบ้าง
หลิงหยุนพยักหน้าและสั่งอาปิงไปว่า “งั้นก็ดี! นายส่งพี่น้องของเราสักสองสามคนไปหาเสี่ยวอู๋ที่นั่น แล้วรอจนกระทั่งเสี่ยวอู๋ฝึกวิชาเสร็จ ค่อยให้พวกเขาตามเสี่ยวอู๋กลับไป ก่อนกลับ.. อย่าลืมโทรหาฉันด้วย!”
หลิงหยุนนั้นไม่ได้ห่วงตนเองและจากบทเรียนเรื่องฉีเสี่ยวชิง ทำให้เขาต้องใส่ใจในการคุ้มครองคนรอบตัวให้มากขึ้น
นั่นเพราะมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าหลังจากกลับมาจิงฉูครั้งนี้ เขาได้นำศัตรู และอันตรายกลับมาจากปักกิ่งด้วยมากมายเพียงใด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม!
“ครับพี่หยุน!”
จากนั้น..อาปิงจึงรีบสั่งการให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวหกคนที่เคยตามตี้เสี่ยวอู๋ไปยังบริเวณฝึกวิชา และรู้จักสถานที่ดีเป็นผู้รับภารกิจนี้ไป
ฉินตงเฉี่วยไม่เคยเห็นหลิงหยุนเตรียมรับมือกับศัตรูจริงจังเช่นนี้จึงได้แต่ร้องถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ้าเด็กดื้อ..นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
หนิงหลิงยู่เกาเฉินเฉิน และคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยความกังวลใจ และต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลิงหยุนไม่ต้องการให้หญิงสาวเหล่านั้นรู้สึกวิตกกังวลเขาจึงยิ้มและตอบไปว่า “ก็ไม่มีอะไรนี่น้าหญิง.. ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการฝึกวิชาของเสี่ยวอู๋ เขาสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้อยู่ตลอดเวลา ข้าเกรงว่าหากไม่ควบคุมดูแลให้ดี อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นกับเสี่ยวอู๋ได้!”
และถึงแม้ว่านี่คือข้ออ้างของหลิงหยุนแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความจริง! เพราะหลิงหยุนรู้วาตี้เสี่ยวอู๋นั้นกระตือรือร้น และอยากที่จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่การฝึกฝนต้องค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอน ไม่สามารถเร่งรัดเอาได้ตามใจชอบ!
“อ่อ..นึกว่าเรื่องอะไร!” หนิงหลิงยู่ฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่ฉินตงเฉี่วยกลับไม่คิดเช่นนั้นและไม่เชื่อคำพูดของหลิงหยุน..
ฉินตงเฉี่วยจ้องมองหลิงหยุนนิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าเด็กดื้อ.. ดูเหมือนตั้งแต่กลับจากปักกิ่ง เจ้าจะห้าวหาญน้อยลงไปมาก!”
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าคำพูดของฉินตงเฉี่วยนั้นกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างเขาจึงไม่ปฏิเสธ และได้แต่หัวเราะก่อนจะตอบไปว่า
“น้าหญิง..การระมัดระวังตัวย่อมเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่รึ!”
ฉินตงเฉี่วยยิ้มแต่ก็ไม่ตัดสินใจเชื่อนางกวาดสายตาไปทั่วห้องพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ควรค้างคืนที่นี่สินะ! ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะกลับบ้านไปพร้อมกับข้าได้รึยัง!”
ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็เป็นฝ่ายเสนอให้กลับบ้านหนิงหลิงยู่กับไป๋เซียนเอ๋อนั้นดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง และหลงหวู่ ทั้งสามคนนั้นกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน..
ก่อนที่เพื่อนนักเรียนร้อยกว่าคนจะมาถึงที่โรงแรมหญิงสาวทั้งสามคนก็ได้รับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว และได้เตรียมใจที่จะอยู่กับหลิงหยุนในคืนนี้ และสิ่งที่หญิงสาวทั้งสามคนคิดนั้น ก็แสดงออกมาทางใบหน้าอย่างชัดเจน..
มีเพียงเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบและเอาแต่เล่นกับเจ้าทองอ้วนโดยไม่สนใจอะไร..
“เอ่อ..”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่..เขาได้แต่คิดว่าเวลานี้ถึงแม้อันตรายจะยังไม่ปรากฏตามที่เขาสังหรณ์ใจ แต่มันก็ยังคงไม่จางหายไป..
การที่ฉินตงเฉี่วยจะให้หลิงหยุนกลับไปบ้านที่อ่าวจิงฉูพร้อมกับนางในคืนนี้หลิงหยุนก็คงต้องทำตาม แต่เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง และหลงหวู่เล่า.. เขาจะทำเช่นไรกับหญิงสาวทั้งสามคนดี
หากจะพาทั้งสามคนกลับไปที่บ้านในอ่าวจิงฉูด้วยก็เกรงว่าฉินตงเฉี่วยจะไม่พอใจ และไม่ยินยอม!
แต่ตอนนี้ทั้งสามสาวยังคงจ้องหน้าเขานิ่งและในแววตาของทุกคนก็บ่งบอกความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน และหากดูไม่ออกก็คงจะโง่มากแล้ว!
หลิงหยุนไม่กล้าที่จะสบตาหญิงสาวทั้งสามคนจึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบอ้ำๆอึ้งๆ “คือ..”
“ฮึ่ม..”
เสียงคำรามในลำคอดังออกมาจากหญิงสาวทั้งสามคนและนั่นเป็นการส่งสัญญาณเตือนหลิงหยุนว่า -ถ้าคืนนี้นายไม่ไปส่งพวกฉันกลับบ้าน ฉันจะจัดการกับนายแน่!–
แต่จู่ๆเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็หันกลับมา และตรงเข้าไปหาเสี่ยวเม่ยหนิงโดยไม่สนใจใคร พร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“หนิงน้อย..คืนนี้เราสองคนออกมานานแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย พวกเรารีบกลับกันดีกว่าก่อนที่ท่านปู่จะเป็นห่วง!”
น้ำเสียงของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นไม่ใช่น้ำเสียงของการต่อรองแต่เป็นน้ำเสียงของการสั่ง..
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า‘เสี่ยวเหมา.. เจ้าช่างเป็นคนดีนัก วันหน้าข้าต้องตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่!’
เสี่ยวเม่ยหนิงได้ฟังก็ได้แต่นิ่งเงียบและระล้าระลังไม่อยากจากหลิงหยุน เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นพี่สาวของเธอ และคอยเฝ้าดูแลเธอมาตลอดหลายเดือน เวลานี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมายกท่านปู่ขึ้นมาอ้าง หากเธอปฏิเสธ.. ก็คงจะเป็นหลานที่ไม่ดีนัก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เด็กสาวตัวแสบก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ถ้างั้นก็รีบไปสิ!”
แต่ถึงแม้จะหงุดหงิดโมโหอย่างไรเสี่ยวเม่ยหนิงก็ไม่เสียมารยาท เธอหันไปเอ่ยลาทุกคนยกเว้นหลิงหยุน และรีบเดินตามเหมี่ยวเสี่ยวเหมาออกไปทันที
หลิงหยุนได้แต่รู้สึกโล่งอกแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะส่งกระแสจิตบอกเหมี่ยวเสี่ยวเหมาว่า
–ขอบคุณคุณมาก..ระมัดระวังตัวด้วย!-
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบกลับมาว่า–นายเป็นหนี้ฉันหนึ่งครั้ง.. จำไว้ด้วย!-
คนที่เป็นปัญหาที่สุดก็กลับไปแล้วที่เหลืออีกสองสาวนั้นจัดการได้ไม่ยาก หลิงหยุนหันไปสั่งอาปิง..
“อาปิง..นายพาพี่น้องแก๊งมังกรเขียวตามไปด้วยสองคน แล้วรีบไปส่งหลงหวู่กลับบ้าน!”
หลงหวู่ต้องการให้หลิงหยุนเป็นคนส่งเธอกลับบ้านแต่เมื่อฉินตงเฉี่วยอยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงหวาดกลัว และไม่กล้าเรื่องมาก
แต่ถึงกระนั้นก็หันไปยิ้มให้กับเกาเฉินเฉินแล้วพูดขึ้นว่า
“เฉินเฉิน..นี่ก็ดึกมากแล้ว! คืนนี้เธอไปนอนที่บ้านฉันไม่ดีกว่าเหรอ”
ความจริงแล้วหากดูผิวเผินก็ดูเหมือนว่าหลงหวู่จะเชื้อเชิญเกาเฉินเฉินด้วยน้ำใสใจจริง แต่ความจริงแล้วเธอไม่อยากเปิดโอกาสให้เกาเฉินเฉินได้อยู่ตามลำพังกับหลิงหยุนต่างหากเล่า..
หลิงหยุนเห็นเข้าถึงกับปวดหัวขึ้นมาทันทีเขาถอนหายใจพร้อมกับคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขา และดูเหมือนว่าความคิดของเขาเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นจะถูกต้อง ‘ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง!’
แต่ถึงแม้จะปวดหัวเพียงใดหลิงหยุนก็ไม่สามารถปล่อยเกาเฉินเฉินไปกับหลงหวู่ได้ เขาเพิ่งจะช่วยเธอออกมาจากถ้ำของเฉินเจี้ยนกุ่ย และไม่สามารถให้เธอไปเสี่ยวอันตรายได้อีก เพราะเกาเฉินเฉินยังคงเป็นที่ต้องการของเหล่าแวมไพร์ และตระกูลเฉิน!
“หลงหวู่..คุณกลับไปได้เลย เกาเฉินเฉินไปกับคุณไมได้!”
“นี่นาย!”หลงหวู่จ้องหลิงหยุนด้วยความโมโห..
เกาเฉินเฉินจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเลือดในกายก็พลุ่งพล่าน
หลงหวู่สูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดว่า“หลิงหยุน.. ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
จากนั้นก็หันไปพูดกับฉินตงเฉี่วย“น้าหญิง.. ฉันกลับก่อนนะคะ!”
ฉินตงเฉี่วยพยักหน้ายิ้มๆและมองหลงหวู่ที่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป..
หลิงหยุนรู้ว่าหลงหวู่ไม่พอใจอย่างมากแต่เขาไม่สามารถอธิบายให้หลงหวู่ฟังได้ในเวลานี้ จึงได้แต่ทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น..
หลังจากที่หลงหวู่ออกไปแล้วหลิงหยุนก็ขยิบตาให้อาปิง อาปิงพยักหน้าเงียบๆ และส่งสัญญาณให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวติดตามหลงหวู่ไป
“น้าหญิง..ถ้าเช่นนั้นให้เฉินเฉินกลับไปกับพวกเราจะได้หรือไม่ นางอยู่ตัวคนเดียว ข้าห่วงความปลอดภัยของนาง!”
หลิงหยุนบอกฉินตงเฉี่วยไปตามตรง..
“ความจริงข้าเองก็ยังพูดไม่จบ..ข้าคิดว่าจะให้เจ้าชวนพวกนางทั้งหมดไปค้างคืนที่บ้านด้วยสักคืน แต่นี่เจ้ากลับไล่พวกนางกลับไปหมด ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าคิดอะไรกันแน่”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาและพูดออกมาอย่างขมขื่นใจ “น้าหญิง.. นี่ท่าน..”
ฉินเตงเฉี่วยหันไปถาม“ข้า.. ข้าทำไมรึ!”
หนิงหลิงยู่เกาเฉินเฉิน เห็นท่าทางอิหลักอิเหลื่อของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา และห้องทั้งห้องก็สดใสขึ้นมาทันที..
แม้แต่ไป๋เซียนเอ๋อเองก็ยังแอบยิ้ม..
“เอาล่ะ..มีเรื่องอะไรค่อยไปพูดต่อที่บ้าน!”
ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็สามารถแก้แค้นหลิงหยุนได้สำเร็จจากนั้นนางจึงเดินนำทุกคนออกไปจากห้องไป..
เกาเฉินเฉินนั้นเป็นคนของตระกูลเกาตระกูลเกาก็เป็นถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ ส่วนไป๋เซียนเอ๋อนั้นก็เป็นจิ้งจอก ต่อให้หลิงหยุนไม่พากลับไปด้วย ฉินตงเฉี่วยก็ต้องพาพวกนางกลับไปด้วยอยู่ดี
สำหรับเสี่ยวเม่ยหนิงกับหลงหวู่นั้นหากหลิงหยุนจะพากลับไปด้วย ฉินตงเฉี่วยก็ไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว เพราะบ้านก็หลังใหญ่โต มีห้องนอนตั้งหลายห้อง จึงไม่ได้มีปัญหาอะไร..
แต่ถึงกระนั้น..เหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้นางได้รู้ว่าหลิงหยุนนั้นมีความเกรงกลัวนางอยู่เช่นกัน และแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
ทั้งห้าคนต่างก็ขึ้นลิฟท์ลงไปชั้นล่างและเดินออกไปหน้าประตูโรงแรม..
“ฝนหยุดตกแล้ว..โอ้โห.. สึกสดชื่นจังเลย!” เกาเฉินเฉินร้องออกมาอย่างมีความสุข
“คืนนี้อากาศดีทีเดียว!”
ฉินตงเฉี่วยร้องออกมาพร้อมกับหันไปพูดกับหนิงหลิงยู่“หลิงยู่.. เจ้าขับรถไปกับเฉินเฉิน ส่วนหลิงหยุน เซียนเอ๋อ แล้วก็ข้า พวกเราสามคนจะใช้วิชาตัวเบากลับไปที่บ้าน!”
หนิงหลิงยู่ขับรถมาเซราติออกจากโรงแรมไคเฉวียนส่วนหลิงหยุน ฉินตงเฉี่วย และไป๋เซียนเอ๋อ ทั้งสามคนต่างก็ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังบ้านในอ่าวจิงฉู
“ตูม..ตูม..”
ในเวลาตีหนึ่งของเช้าวันใหม่ท่ามกลางความมืดมิด และเงียบสงัด จู่ๆ เสียงระเบิดก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู ตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือน และเปลวไฟสว่างไสวโชติช่วง!
บทที่ 880 : คำรามด้วยความโกรธ!
เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น..หลิงหยุนถึงกับตระหนก และกังวลใจอย่างมาก..
“แย่แล้ว!”
หลิงหยุนที่กำลังใช้วิชาตัวเบาวิ่งตามหลังรถมาเซราติไปถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และร่างสูงโปร่งของเขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว!
หลิงหยุนใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีส่งร่างของตนเองให้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และขึ้นไปยืนบนหลังคาบ้านที่สูงราวสิบเมตร!
จากนั้น..เขาก็กวาดสายตาไปรอบๆ แต่ช่างโชคร้ายที่หลังคาบ้านนั้นไม่ได้สูงมาก อีกทั้งในเมืองจิงฉูก็มีอาคารสูงอยู่มากมาย จึงปิดกั้นสายตาของเขาไม่ให้มองเห็นว่าแสงไฟโชติช่วงนั้นมาจากจุดใหนกันแน่!
“เกิดอะไรขึ้นรึหลิงหยุน!”
รถมาเซราติที่วิ่งไปได้ครู่หนึ่งก็หยุดลงและเสียงของฉินตงเฉี่วยก็ดังขึ้นมาจากด้านล่าง..
หลิงหยุนตอบผ่านกระแสจิต–หลงคาบ้านที่นี่ต่ำเกินไป ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย ข้าจะรีบไปดูก่อน!-
หลังจากนั้นร่างของหลิงหยุนก็พุ่งขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้นอีก เขากระโดดไปตามหลังคาบ้านด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับขนนก และระหว่างทางก็เรียกโทรศัพท์ออกมาจากแหวนพื้นที่ และเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อให้สะดวกต่อการรับสาย
-น้าหญิง..ข้าคงกลับไปบ้านพร้อมกับท่านตอนนี้ไม่ได้แล้ว ท่านช่วยพาหลิงยู่กับเฉินเฉินกลับบ้านให้เร็วที่สุด! หากเกิดเรื่องอะไรก็ให้หลิงยู่โทรหาข้า!-
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปกับข้า!”
หลิงหยุนพูดยังไม่ทันจบร่างของเขาก็หายวับ และพุ่งออกไปไกลถึงร้อยเมตรแล้ว ไป๋เซียนเอ๋อเองก็ตามไปติดๆ
เสียงของฉินตงเฉี่วยดังมา–เจ้าเด็กดื้อ.. ระมัดระวังตัวด้วยล่ะ!-
–ข้าทราบ!-
หลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปตามถนนแสงไฟตามบ้านเรือนค่อยๆ สว่างไสวขึ้น เห็นได้ชัดว่าเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั้น ได้ปลุกพวกเขาให้ตื่นจากอาการหลับไหล
ทั้งคู่วิ่งไปถึงใต้อาคารสูงแห่งหนึ่งภายในเวลาอันรวดเร็วและดูเหมือนว่าอาคารนี้น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเมตร และด้วยกำลังภายในของเขาเวลานี้ ยังไม่สามารถกระโดดขึ้นไปถึงข้างบนได้ จึงได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจ และปักเป้าหมายไว้ที่ความสูงสี่สิบเมตร แล้วจึงกระโดดขึ้นไปพร้อมกับร้องบอกไป๋เซียนเอ๋อ
“เซียนเอ๋อ..เจ้ารอข้าอยู่ด้านล่าง!”
หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้งร่างของหลิงหยุนพุ่งไปสูงถึงห้าสิบเมตร และระหว่างนั้นเขาก็เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา
ชัวะ!
ปลายกระบี่ที่คมกริบนั้นฝังลงไปในกำแพงซีเมนต์และร่างของหลิงหยุนก็ไต่ไปตามกำแพงราวกับสไปเดอร์แมน และในที่สุดก็ขึ้นไปอยู่บนยอดตึก
และด้วยความสูงขนาดนี้หลิงหยุนจึงสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง เขาหันหน้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจิงฉู ซึ่งเป็นทิศที่เสียงระเบิดดังขึ้นมา!
และปรากฏว่า..ทางทิศตระวันตกเฉียงใต้ของเมืองจิงฉูนั้น ท่ามกลางความมืดมิด มีแสงจากเปลวไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่ถึงสองแห่ง และทั้งสองแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กันมากด้วย คือที่แยกถนนจิงฉีที่ตัดกับถนนกู่เฟิง..
หลิงหยุนจ้องมองจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้าและโกรธจนถึงกับพูดไม่ออก เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที!
คลินิกสามัญชนของเขารวมทั้งร้านเสื้อผ้าที่แย่งมาจากคนเซียงซีถูกระเบิดเสียหายจนหมด !
ไม่เพียงแค่สองร้านนี้เท่านั้นที่กำลังเกิดไฟไหม้แต่โรงงานผลิตยาซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจิงฉูด้านใต้ก็กำลังเกิดไฟไหม้ใหญ่ด้วยเช่นกัน!
“นั่นมัน..”
“นั่นมันโรงงานผลิตยาของของบริษัทเจียงหนานเมดิซีนนี่!”
แม้หลิงหยุนจะไม่เคยเข้าไปในโรงงานผลิตยาแห่งนี้แต่เขากับถังเมิ่งและเสี่ยวเม่ยหนิงก็เคยขับรถผ่านหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสองคนก็เคยพูดให้เขาฟัง เขาจึงรู้จักดี!
และแทบไม่ต้องสงสัย!เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวในคืนนี้ ก็คือศัตรูที่ตั้งใจจะโจมตีหลิงหยุน แต่คงไม่รู้ว่าจะจัดการกับเขาด้วยวิธีใด จึงได้ใช้วิธีที่บัดซบเช่นนี้!
ตึ้ง!!
หลิงหยุนที่กระโดดลงมาจากตึกสูงเกือบร้อยเมตรทันทีที่เท้าแตะพื้นถนน เท้าของหลิงหยุนก็ฝึกลึกลงไปบนพื้นถนนทั้งสองข้าง!
“เซียนเอ๋อ..คลินิกกับโรงงานผลิตยาของข้าถูกระเบิดถล่ม เจ้ารีบกลับไปที่บ้านเลขที่-1 ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือไม่ และจำไว้ว่าไม่ห่วงข้า เจ้ามีหน้าทีคุ้มครองน้าหญิงกับหลิงยู่!”
“อ่อ.. แล้วก็อย่าลืมดูแลหญ้าพลังชีวิตทั้งสามต้นในสวนหลังบ้านให้ข้าด้วย! ถ้าเป็นไปได้เจ้าก็ใช้วิชาลวงตาพรางไว้!”
การเกิดระเบิดที่รุนแรงเช่นนี้ไม่ต่างจากการก่อการร้ายในบ้านเมือง ศัตรูของเขากล้าโจมตีด้วยความรุนแรงเช่นนี้ คงต้องมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี! หลิงหยุนจึงอดที่จะวิตกกังวลไม่ได้
แต่ถึงกระนั้นคลินิกเล็กๆ กับร้านขายเสื้อผ้า หรือแม้แต่โรงงานผลิตยา ก็แทบไม่ได้อยู่ในสายตาของหลิงหยุน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของนอกกาย!
สำหรับหลิงหยุนแล้วญาติ มิตร และสมุนไพรล้ำค่าทั้งสามต้นต่างหาก ที่เป็นสิ่งมีค่าที่เขาไม่อาจสูญเสียไปได้!
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า..ทั่วทั้งเมืองจิงฉูนั้น สถานที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับหลิงหยุนเวลานี้ก็คือบ้านเลขที่-1 ของเขานั่นเอง แต่นับว่ายังโชคดีที่เวลานี้มีพอลกับเจสเตอร์ดูแลอยู่ ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง!
“เซียนเอ๋อจะทำตามที่ท่านสั่งค่ะ!พี่หลิงหยุนได้โปรดระวังตัวด้วย!”
หลังจากที่เห็นสายตาจริงจังของหลิงหยุนไป๋เซียนเอ๋อก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น นางจึงรีบรับคำ และมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่-1 ตามคำสั่งทันที!
หลิงหยุนเองก็ใช้มังกรพรางร่างวิ่งไปตามถนนและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เกิดไฟไหม้ทันที และระหว่างนั้นก็ทำการโทรศัพท์ไปด้วย
คนแรกที่หลิงหยุนโทรไปหานั้นก็คือถังเทียนห่าวหลิงหยุนได้เล่าสถานการณ์ให้เขาฟังคร่าวๆ และขอให้ถังเทียนห่าวช่วยส่งเจ้าหน้าตำรวจไปคุ้มกันบ้านของเขา โรงแรมไคเฉวียน และบ้านในอ่าวจิงฉู และนัดเจอกับถังเทียนห่าวที่คลินิกสามัญชน..
ถังเทียนห่าวเองก็ได้ยินเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวเช่นกันแต่เพราะเขาได้รับโทรศัพท์แจ้งจากถังเมิ่งล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ได้ตกอกตกใจอะไรมาก และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบรุดไปปิดทางเข้าออกของที่เกิดเหตุไว้ และรีบแจ้งไปยังหน่วยดับเพลิง..
จากนั้นหลิงหยุนก็รีบโทรหาอาปิงและสั่งให้อาปิงพาคนของแก๊งมังกรเขียวไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ หาคนที่ต้องสงสัยให้จับกุมตัวไว้ทันที และอย่าให้หลบหนีได้อย่างเด็ดขาด!
ท่ามกลางภัยอันตรายที่มองไม่เห็นหลิงหยุนใช้ทั้งกองกำลังฝ่ายขาวและฝ่ายดำควบคู่กันไป และครั้งนี้เขาโกรธมากจริงๆ!
ระยะทางสิบกว่ากิโลเมตรหลิงหยุนใช้เวลาเดินทางมาที่คลินิกสามัญชนไม่ถึงห้านาที และเห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังใช้สายแรงดันสูงฉีดน้ำดับไฟอยู่..
เสียงรถเบรกกันดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนนเสียงไซเรนรถดับเพลิงดังหวอๆ ไปทั่วทั้งบริเวณ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต่างก็วิ่งกันโกลาหล!
หลิงหยุนเห็นตั้งแต่ไกลแล้วว่าคลินิกสามัญชนกับร้านเสื้อผ้าของเขานั้น ถูกระเบิดถล่มจนไม่แทบไม่เหลือซาก เขาจึงกระโดดขึ้นไปบนอาคารสูงอีกครั้งพร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสุดออกสำรวจ!
หลิงหยุนร้องคำรามออกมาอย่างโกรธแค้ส“เจ้าต้องตาย!!!”
พนักงานขายในร้านเสื้อผ้าสองคนถูกระเบิดตายคาที่พวกเขายังเด็กเกินไป!
“เจ้าคนชั่วช้า!” หลิงหยุนกัดฟันกรอด..
แต่นับว่าโชคดีที่คลินิกสามัญชนนั้นไม่มีคนอยู่เหยาลู่ไม่ได้กลับไปที่คลินิกในคืนนี้ และพยาบาลสาวทั้งสามคนก็กลับบ้าน ทั้งหมดจึงรอดตายจากระเบิด..
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน? มีใครเสียชีวิตบ้างมั๊ย? ควบคุมเพลิงก่อน แล้วค่อยว่ากัน..”
และผู้ที่กำลังร้องตะโกนอยู่นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงเขตจิงฉี – ชื่อหลิวจินไล๋ เขาเป็นคนแรกที่มาถึงที่เกิดเหตุก่อนใคร และวิ่งหน้าตื่นลงมาจากรถตำรวจ เมื่อเห็นไฟไหม้ทั้งสองฝั่งถนน ก็แทบทรุดลงไปกองกับพื้น!
ในเมื่อพื้นที่นี้อยู่ในเขตจิงฉีจึงอยู่ในความรับผิดาชอบของเขา และทั้งสองร้านที่เกิดเพลิงไหม้อยู่นั้น ก็ล้วนเป็นร้านของหลิงหยุนทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างเขาจะมีชีวิตรอดไปได้อย่างไรกัน!
หลิงหยุนเห็นหลิวจิ้นไล๋ก็รีบเดินตรงเข้าไปหา“ผู้อำนวยการหลิว.. คุณช่วยสั่งเจ้าหน้าที่ให้ปิดถนนไว้ก่อน ไม่ว่ายังไงต้องหาตัวคนก่อเหตุให้ได้ภายในวันนี้!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปที่ร้านเสื้อผ้าพร้อมกับบอกไปว่า“ที่คลินิกสามัญชนคงไม่มีอะไรรุนแรงแล้ว เพราะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่ที่ร้านเสื้อผ้านั่นมีคนเสียชีวิตอยู่ในร้านสองคน!”
หลิวจินไล๋ถึงกับหน้าซีดพร้อมกับร้องอุทานออกมาอยางตกใจ“อะ.. อะไรนะ! มีคนตายด้วยเหรอ?!”
ระหว่างที่คุยกันนั้นรถดับเพลิงจำนวนมากก็วิ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เขาตามคำสั่งของหลิงหยุน ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงานไป ส่วนตัวเขาเองออกไปสั่งการควบคุมการจราจรด้วยตัวเอง!
“ผู้อำนวยการถังกำลังมาที่นี่แล้วคุณรอเขาอยู่ที่นี่.. ไม่ต้องกังวลใจไป คุณจะไม่ต้องรับผิดชอบเหตุการณ์ในคืนนี้แน่!”
หลิวจิ้นไล๋มาถึงในเวลาที่รวดเร็วเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขายังมีน้ำใจ หลิงหยุนจึงบอกให้เขาคลายความกัวลใจ และไม่รอให้หลิวจิ้นไล๋เอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำ ร่างของหลิงหยุนก็พุ่งออกไปไกลแล้ว!
หลิวจิ้นไล๋เห็นร่างของหลิงหยุนหายวับไปราวกับผีเช่นนั้นก็ถึงกับหวาดกลัวสุดขีด! แต่ปากก็ยังร้องสั่งการไม่หยุด..
เวลานี้ถนนทั้งเส้นกำลังโกลาหลวุ่นวายอย่างหนักและกำลังค้นหาตัวผู้ก่อเหตุให้วุ่นวาย หลิงหยุนรู้ว่าไม่สามารถพึ่งพาตำรวจได้ฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน เขาจึงเปิดจิตหยั่งรู้ออกค้นหาด้วยตัวเองทันที
หลิงหยุนเดินไปตามท้องถนนและเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจในรัศมีร้อยเมตร และแม้แต่มุมเล็กมุมน้อยก็ยากที่จะคลาดจากการรับรู้ของเขาได้
ผ่านมาเพียงแค่ห้าถึงหกนาที..หลิงหยุนมั่นใจว่าผู้ก่อเหตุคงยังหนีไปได้ไม่ไกลนัก เขาจึงข้ามถนนไปยืนตรงเกาะกลาง และสำรวจไปรอบๆ
หลิงหยุนพบว่าในตรอกมืดห่างจากทางแยกไปประมาณสามกิโลเมตรนั้นมีรถสีดำจอดอยู่ ซอยนี้มีขนาดเล็กมาก และดูแล้วไม่น่าจะเป็นที่จอดรถ
ยิ่งไปกว่านั้น..ตลอดทั้งซอยก็มีเพียงรถสองคันนี้เท่านั้น หลิงหยุนรีบกระโดดเข้าไปใกล้เพื่อให้อยู่ในรัศมีของจิตหยั่งรู้ของตนเอง
จากนั้นจึงแสยะยิ้มพร้อมกับทำเสียงเย้ยหยัน“ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง!”