บทที่ 877 : ใครบ้างจะล่วงรู้จิตใจของหลิงยู่?
เวลานี้ที่โต๊ะของหลิงหยุนเหลือกันอยู่เพียงหกคนเท่านั้นนอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็มีหนิงหลิงยู่ กงเสี่ยวลู่ เสี่ยวเม่ยหนิง หลงหวู่ แล้วก็เฉิงเมี่ยน
สำหรับเรื่องในคืนนี้ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรวบรวมเพื่อนๆ ให้มาช่วยหลิงหยุนที่นี่ ก็คือฉางหลิงกับเฉิงเมี่ยน
ถังเมิ่งได้จัดการเปิดห้องให้พวกเธอทั้งคู่แต่ฉางหลิงนั้นดูเหมือนจะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก และหลังจากที่เข้าไปในห้องพักแล้วก็ไม่ยอมออกมาอีกเลย กงเสี่ยวลู่ดูเหมือนสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ เธอจึงเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับฉางหลิงในห้องอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ต่อมากงเสี่ยวลู่ก็ไม่สามารถต้านทานการคะยั้นคะยอของเด็กนักเรียนได้จึงต้องตามทุกคนลงไปที่ห้องจัดเลี้ยง หลังจากลงมาที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามแล้ว เธอจึงขอให้เกาเฉินเฉินขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนฉางหลิง
เกาเฉินเฉินก็ยินดีไปอย่างเต็มใจเพราะในฐานะหัวหน้าชั้นที่หายตัวไปกว่าสามเดือน แม้กระทั่งสอบเอนทรานซ์ก็ยังไม่ได้เข้าสอบ เวลานี้เพื่อนๆในห้องต่างก็มารวมตัวอยู่ที่นี่กันเกือบหมด โดยธรรมชาติเพื่อนๆ จึงต้องไตร่ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่เกาเฉินเฉินเองก็กระอักกระอ่วนที่จะตอบ..
นอกจากนั้นแล้วเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย ตอนนี้ครอบครัวของฉางหลิงกำลังมีปัญหา เมื่อกงเสี่ยวลู่ขอร้อง เธอจึงรีบวิ่งออกไปจากห้องจัดเลี้ยงทันที
แต่ทันทีที่เกาเฉินเฉินวิ่งออกมาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็วิ่งตามออกมาด้วยทันที เธอกับฉางหลิงเองก็นั่งโต๊ะติดกันมาตลอดสามเดือน จึงมีความสนิทสนมกันพอสมควร อีกอย่าง.. เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ไม่ชอบเสียงอึกทึกหนวกหูภายในงานเลี้ยงด้วย ทั้งคู่จึงไปหาฉางหลิงที่ห้องด้วยกัน
ทางด้านหลิงหยุนที่เพิ่งชนแก้วกับเพื่อนร่วมห้องอีกหนึ่งชุดก็ได้วางแก้วเปล่าลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขามองเฉิงเมี่ยนที่ดูเหมือนจะกำลังอึดอัด..
วันนี้เฉิงเมี่ยนไม่ได้แต่งหน้าทาปากเธอนั่งอยู่ท่ามกลางสาวงามอย่างหนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง และหลงหวู่ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่มั่นใจอย่างมาก
“นี่น้องเมีย..ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์เท่าไหร่ แล้วยื่นเรื่องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหนล่ะ?” หลิงหยุนพูดจาโผงผางเช่นนี้เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
ทันทีที่เสียงเรียก‘น้องเมีย’ ดังขึ้น ร่างบอบบางของหนิงหลิงยู่ถึงกับสั่นสะท้าน กงเสี่ยวลู่เองก็เช่นกัน ในขณะที่เสี่ยวเม่ยหนิงนั่งกัดริมฝีปากล่างแน่น ส่วนหลงหวู่นั่นจิกเท้าเกร็ง และหันขวับไปมองเฉิงเมี่ยนด้วยสายตาเย็นชาทันที
การที่หลิงหยุนร้องตะโกนเรียกเฉิงเมี่ยนว่า‘น้องเมีย’ ต่อหน้าหญิงสาวทุกคนนั้น เท่ากับเป็นการประกาศฐานะของเฉิงเม่ยเฟิงต่อหน้าพวกเธอ!
แต่เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย!ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ใหน และสิ่งเดียวที่หลิงหยุนรู้ก็คือชื่อ ‘อารามจิ้งซิน..’
แต่เพราะวันนี้เฉิงเม่ยเฟิงไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงร่วมยินดีกับเขาด้วยหญิงสาวที่ควรจะต้องอยู่กับเขาในเวลาเช่นนี้กลับไม่ได้อยู่! หลิงหยุนที่กึ่งเมาถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด..
แม้ว่าเฉิงเมี่ยนจะไม่งดงามเหมือนกับเฉิงเม่ยเหิงแต่แก้มและเอวที่คอดเล็กไม่เหมือนหญิงสาวคนใหนนั้น ก็ช่างคล้ายคลึงกับเฉิงเม่ยเฟิงมาก ทำให้หลิงหยุนรู้สึกราวกับได้เห็นเงาของเฉิงเม่ยเฟิงในร่างของเฉิงเมี่ยน
หลิงหยุนกำลังคิดถึงเฉิงเม่ยเฟิง..
“นี่!”เฉิงเมี่ยนได้แต่ทำเสียงไม่พอใจนักเมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกตนเองเช่นนั้น
เฉิงเมี่ยนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของหลิงหยุนใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เขาเรียกเธอว่าน้อยเมียอีก แต่อีกใจก็ยังอยากให้เรียกเช่นนั้น! เวลานี้เธอจึงรู้สึกสับสน และขัดแย้งอยู่ภายในใจอย่างมาก
เพราะการที่หลิงหยุนเรียกเธอว่า‘น้องเมีย’ นั้น ย่อมเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเธอกับเขาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ในใจเฉิงเมี่ยนเองก็รู้สึกดีใจและมีความสุขเช่นกัน เธอจึงตอบหลิงหยุนกลับไปเสียงเบา
“ขาดอีกยี่สิบคะแนนก็จะได้เต็มฉันก็เลยเลือกเรียนคณะเภสัชกรรม มหาวิทยาลัยเจียงหนาน!”
“โอโห..เก่งเหมือนกันนี่! ขอแสดงความยินดีด้วย!”
หนิงหลิงยู่นั้นเรียนห้องเดียวกับเฉิงเมี่ยนเธอจึงรู้ดีว่าปกติคะแนนสอบของเฉิงเมี่ยนนั้นจะไม่ได้สูงนัก แต่คะแนนสอบเอนทรานซ์กลับต่ำจากคะแนนเต็มเพียงแค่ยี่สิบคะแนน ทำให้เธออดที่จะประหลาดใจไม่ได้!
แต่ถึงกระนั้น..หลังจากที่หายตกใจ หนิงหลิงยู่ก็รีบแสดงความยินดีกับเฉิงเมี่ยนด้วยความจริงใจทันที!
มหาวิทยาลัยเจียงหนานเป็นหนึ่งในสามมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศจีนเลยทีเดียวการที่เฉิงเมี่ยนสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงหนานได้เช่นนี้ หนิงหลิงยู่ย่อมต้องแสดงความยินดีกับเธอ
แต่เฉิงเมี่ยนนั้นรู้ดีกว่าใครๆว่าเพราะเหตุใดคะแนนสอบเอนทรานซ์ของเธอจึงได้สูงอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้ เธอจึงรู้สึกกระดากใจ และได้แต่บอกหนิงหลิงยู่ไปตามความจริง
“เอ่อ..ความจริงแล้วเป็นเพราะพี่เขย คะแนนสอบของฉันถึงได้ออกมาดีมากขนาดนี้!”
เฉิงเมี่ยนนั้นเรียกหลิงหยุนว่า‘พี่เขย’ อย่างสนิทปากเช่นนี้ ก็เพื่อจะข่มเสี่ยวเม่ยหนิงกับหลงหวู่ และเป็นการบอกกับหญิงสาวทั้งสองคนทางอ้อมว่า – ถึงพี่สาวของฉันไม่อยู่ แต่ฉันก็ยังอยู่ทั้งคน คิดจะมาแย่งพี่เขยฉันไปน่ะเหรอ.. อย่าได้ฝันไป!
และนี่คืออุปนิสัยของเฉิงเมี่ยนที่ยากจะเปลี่ยนได้!
แม้แต่หนิงหลิงยู่ที่ได้ยินเฉิงเมี่ยนเรียกหลิงหยุนว่าพี่เขยก็ถึงกับหน้าแดงก่ำอย่างไม่มีสาเหตุ และลมปราณภายในร่างกายก็เริ่มปั่นป่วนไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!”
หลิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างหนิงหลิงยู่นั้นเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ ก็สามารถเดาได้ทันทีว่าลมปราณภายในร่างกายของเธอกำลังปั่นป่วนอย่างรุนแรง และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ อาจจะเกิดธาตุไฟแตกซ่านจนกลายเป็นมารได้ อีกอย่าง.. พรุ่งนี้หนิงหลิงยู่ก็น่าจะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนรีบวางฝ่ามือข้างขวาลงบนแผ่นหลังของหนิงหลิงยู่ทันทีและรีบถ่ายเทพลังชี่ของตนเองเข้าไประงับลมปราณที่กำลังปั่นป่วนของหนิงหลิงยู่!
จนกระทั่งมั่นใจว่าหนิงหลิงยู่มีอาการดีขึ้นแล้วหลิงหยุนจึงค่อยๆ ถอนฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเธอ และได้แต่แอบคิดในใจว่า
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหตุใดลมปราณภายในร่างกายของหนิงหลิงยู่จึงได้ปั่นปวนมากถึงเพียงนี้? นางเร่งฝึกฝนรวดเร็วเกินไปงั้นรึ? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้..’
หลิงหยุนได้แต่นึกกังวลใจและเกรงว่าหนิงหลิงยู่จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการฝึกฝน และได้แต่คิดว่าจากนี้เขาต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้อีก..
หลังจากที่หลิงหยุนถอนฝ่ามือขวาออกจากแผ่นหลังของเธอแล้วหนิงหลิงยู่ก็รีบผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนว่า
“พี่ใหญ่คะ..ฉันรู้สึกเบื่อๆ ขอออกไปข้างนอกก่อนนะคะ!”
หลิงหยุนมองหน้าหนิงหลิงยู่ด้วยความกังวลใจจึงได้แต่ส่งกระแสจิตบอกกับเธอว่า
-หลิงยู่..สิ่งสำคัญของการฝึกฝน ยิ่งเข้าใกล้ที่จะสู่ขั้นต่อไปมากเท่าไหร่ ก็จะต้องยิ่งทำจิตใจให้สงบนิ่งนะ..-
ยิ่งหลิงหยุนพูดมากเท่าไหร่หนิงหลิงยู่ก็ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนใจมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงเพียงแค่พยักหน้าเงียบๆ และไม่ตอบอะไร หลิงหยุนจึงพูดต่อว่า
“เซียนเอ๋อก็อยู่บนห้องชั้นสี่กับน้าหญิงเธอขึ้นไปพักผ่อนข้างบนหน่อยจะดีกว่า!”
หนิงหลิงยู่พยักหน้าอีกครั้งและไม่แม้แต่จะร่ำลาใคร เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปทันที และใช้มังกรพรางร่างหายออกไปจากห้องจัดเลี้ยงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ออกไปจากห้องได้แล้วน้ำตาของหนิงหลิงยู่ก็ไหลพราก “พี่ใหญ่.. ฉันตั้งใจที่จะทำข้อสอบเอนทรานซ์ผิดไปบ้าง เพื่อให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และจะได้บอกความลับในใจของฉันให้พี่รู้ นี่พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือยังไง”
และนี่คือสิ่งที่อยู่ในใจหนิงหลิงยู่..
จู่ๆหนิงหลิงยู่เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ เฉิงเมี่ยนและทุกคนต่างก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เฉิงเมี่ยนจึงได้แต่ถามออกไปอย่างกระวนกระวายใจ
“พี่เขย..หลิงยู่เป็นอะไร!”
จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้จับอยู่ที่หนิงหลิงยู่เขาเห็นเธอวิ่งร้องไห้ออกไปข้างนอก ในใจก็รู้สึกงุนงงสับสน และได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร..เธอคงจะกำลังคิดถึงแม่..”
และนี่คือเหตุผลเพียงข้อเดียวที่หลิงหยุนคิดออก..
หลังจากที่หนิงหลิงยู่ไปถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้วหลิงหยุนจึงค่อยถอนจิตหยั่งรู้กลับมา เหงื่อเย็นไหลชุ่มเต็มแผ่นหลัง และถึงกับสร่างเมาทันที
“คณะเภสัชกรรมมหาวิทยาลัยเจียงหนานงั้นเหรอ! เก่งมากเลย..”
ในที่สุดหลิงหยุนก็หันกลับมาพูดกับเฉิงเมี่ยนเขารู้ดีว่าที่เฉิงเทียนให้ลูกสาวคนโตเรียนด้านการเงินและบัญชี แล้วให้ลูกสาวคนสุดท้องเรียนเภสัชกรรมนั้น ก็เพื่อให้ลูกสาวทั้งสองคนมาดูแลกิจการของตนเองต่อไป
“ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก!”
ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็หยิบเช็คออกมาพร้อมกับเขียนจำนวนเงินหกสิบล้านลงไปจากนั้นจึงยื่นเช็คให้กับเฉิงเมี่ยน
“คืนนี้คุณไม่ต้องกลับบ้านให้ค้างที่โรงแรม และช่วยจัดการมอบเงินคนละห้าแสนให้กับเพื่อนๆทุกคนด้วย!”
กงเสี่ยวลู่นั้นเห็นหลิงหยุนแจกเงินเพื่อนๆจำนวนมากเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่ดีนัก แต่ตอนที่เธอมาถึงห้องจัดเลี้ยงนั้น หลิงหยุนก็ได้ประกาศออกไปแล้ว เธอจึงไม่สามารถห้ามปรามได้ทัน
แต่ในที่สุดกงเสี่ยวลู่ก็อดรนทนไม่ได้จนต้องพูดออกมา“หลิงหยุน.. พวกเขายังเป็นแค่เด็กนักเรียนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น เธอให้เงินก้อนโตกับพวกเขาไปในคราวเดียวแบบนี้ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเอาเงินไปกินไปเที่ยวเล่นงั้นเหรอ”
“ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้นก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง!”
ประโยคสุดท้ายของหลิงหยุนนั้นหนักแน่นและเป็นความจริงอย่างที่สุด..
จากนั้นหลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืนเขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “หรือถ้าครูกงว่าง.. ก็อยู่กำกับเฉิงเมี่ยนให้เธอโอนเงินเข้าบัญชีพ่อแม่ของเพื่อนๆทุกคนก็ได้นะครับ ผมไม่ขัด!”
จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก“ทุกคนต่างก็มีวิถีชีวิตของตนเอง ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ส่วนเรื่องอื่นนั้น อยู่นอกเหนือการควบคุมของผม!”
เสี่ยวเม่ยหนิงทำเสียงกระซิบเบาๆ“เฮ้อ.. พ่อคนมีเหตุมีผล!”
หลิงหยุนทำตาดุใส่เสี่ยวเม่ยหนิงจนเธอหวาดกลัว และรีบกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไปทันที
“ทุกคน..งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา! ฉันจะต้องไปดูฉางหลิงต่อ พวกนายดื่มกันตามสบาย!”
หลิงหยุนร่ำลาเพื่อนๆในงานทุกคน จากนั้นจึงเดินออกจากห้องขึ้นลิฟท์ไปหาฉางหลิงหยทันที
“ฉางหลิง..นี่คุณทานข้าวเย็นบ้างหรือยัง”
ฉางหลิงร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้งดวงตาทั้งสองข้างของเธอเวลานี้ทั้งแดงและบวม เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมกับตอบไปว่า
“หลิงหยุน..พ่อแม่ของฉัน.. พวกเขา.. พวกเขาหย่ากันแล้ว!”
บทที่ 878 : ศักดิ์ศรีของผู้ชาย?
ตั้งแต่กลับจากปักกิ่ง..ฉางหลิงก็เก็บตัวเงียบ และไม่เคยโทรหาหลิงหยุนอีกเลย หลิงหยุนยังอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุอาจเกิดมาจากที่ฉางหลิงอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนอนบนเครื่องบินส่วนตัว แต่เขากลับไม่เคยคิดว่าฉางหลิงจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวเช่นนี้!
แม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะทรงพลังแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้สำรวจ และตามสอดส่องทุกคนได้ตลอดเวลา อีกอย่างเขาเองก็ยังคงอยู่ในขั้นปรับร่างกาย ยังไม่เข้าสู่ขั้นของการปรับจิต จึงไม่สามารถที่จะเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจไปเรื่อยเปื่อย หรือสำรวจเหตุการณ์ที่ไม่จำเป็นได้
ระหว่างที่ฉางหลิงเก็บตัวอยู่บนห้องพักนั้นเธอก็ได้เล่าเรื่องที่พ่อแม่หย่าร้างกันให้กงเสี่ยวลู่ เกาเฉินเฉิน แล้วก็เหมี่ยวเสี่ยวเหมาฟังเท่านั้น ส่วนหลิงหยุนเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการรังรองเพื่อนๆ ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสาม จึงไม่มีเวลาได้สนใจใจเรื่องอื่น
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามไปว่า “หย่ากันงั้นเหรอ! ทำไมถึงได้กะทันหันแบบนี้ล่ะ? แล้วหย่ากันเพราะอะไร?”
ฉางหลิงน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง“พ่อ.. พ่อของฉันมีผู้หญิงคนอื่น ความจริงพวกเขาแยกกันอยู่มานานเป็นสิบปีแล้ว แต่เพิ่งจะไปจดทะเบียนหย่ากันมาเมื่อสองสามวันนี้เอง พ่อกับแม่โกหกฉันมานานเป็นสิบปีเลย.. ฮือๆๆ..”
ฉางหลิงเสียใจมากเธอร้องห่มร้องไห้กับโชคชะตาของตัวเอง และแม่ที่น่าสงสารของเธอ!
อย่าว่าแต่ฉางหลิงจะทนรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยต่อให้เป็นใครก็ยากที่จะรับได้.. พ่อของเธอแอบไปมีผู้หญิงอื่นนอกบ้าน แต่เมื่อกลับมาบ้านก็ทำตัวเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแสร้งทำเป็นยังรักกันต่อหน้าเธอ แต่จู่ๆ กลับต้องมาฟังความจริงจากปากของแม่ตนเองเช่นนี้ มีหรือที่ฉางหลิงจะไม่รู้สึกราวกับฟ้าถล่มทลาย!
หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ“สิบปีเชียวเหรอ!”
‘สิบปี..นี่แม่ยายของข้าผ่านเรื่องเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน!’
หลิงหยุนฉุกคิดขึ้นในใจทันทีและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเหลียงเฟิ่งจินมาก่อน แต่ก็คิดว่าคงจะคล้ายๆ กับเหลียงเฟิงอี้..
“ฮึ..อย่าให้ฉันเจอผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นเชียว ฉันจะไม่ปล่อยไปแน่!”
จู่ๆฉางหลิงก็หยุดร้องไห้ และกัดฟันพูดออกมาอย่างเคียดแค้น เธออยากจะแก้แค้นผู้หญิงที่มาแย่งพ่อของเธอไป..
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจและแอบคิดว่าต่างคนก็ต่างจิตต่างใจ!
หลิงหยุนคิดถึงกู่เหลียนเฉิงที่เปลี่ยนคู่นอนแทบทุกคืนแต่ภรรยาของเขากลับไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน อีกทั้งยังมีเด็กหนุ่มซุกอยู่นอกบ้านสองสามคนเหมือนกัน..
ส่วนเฉิงเทียนเองก็มีบ้านเล็กบ้านน้อยถึงห้าหกหลังเช่นกันส่วนจ้าวฝัวหมี่ซึ่งเป็นภรรยาหลวง ก็ได้แต่ต้องทนกล้ำกลืน เพราะไม่รู้จะทำเช่นไร และได้แต่อดทนอดกลั้นเพื่อความมั่นคงของตำแหน่งภรรยาหลวง..
เฉิงเม่ยเฟิงกับเฉิงเมี่ยนนั้นต่างก็รู้ดีว่าพ่อของเธอมีผู้หญิงซุกซ่อนอยู่นอกบ้านแต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือฟูมฟายอะไร..
ปฏิกิริยาตอบโต้ที่แตกกันของผู้หญิงในเรื่องนี้นั้นขึ้นอยู่กับอุปนิสัย และความคิดของแต่ละคน คนที่เผชิญกับปัญหาลักษณะเดียวกัน แต่หากมีมุมมองที่แตกต่างกัน ก็จะมีปฏิกิริยา หรือการแสดงออกที่แตกต่างกัน
อีกอย่าง..ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น!
หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็หันไปพูดกับเกาเฉินเฉิน และเหมี่ยวเสี่ยวเหมา “งานเลี้ยงข้างล่างใกล้จะเลิกแล้ว ถังเมิ่งเองก็เมามาก พวกคุณสองคนช่วยลงไปดูแลความเรียบร้อยแทนหน่อย อย่าให้เด็กผู้ชายที่ดื่มจนเมาสร้างปัญหาอะไรได้..”
“อ่อ..แล้วก็ช่วยบอกพนักงานให้จัดอาหารส่งอาหารขึ้นมาบนห้องนี้ชุดหนึ่งด้วย..”
เกาเฉินเฉินกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนมีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับฉางหลิง ทั้งคู่จึงหันไปมองหน้ากัน แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
และเมื่อหญิงสาวทั้งสองคนก้าวออกไปพ้นห้องแล้วร่างของหลิงหยุนก็พุ่งไปอยู่ข้างกายของฉางหลิงทันที เขายื่นมือออกไปโอบกอดเธอไว้เป็นการปลอบปะโลม
“อย่าเสียใจไปเลยนะ!”
กงเสี่ยวลู่เกาเฉินเฉิน และเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ทั้งสามคนนั้น.. คนหนึ่งก็เป็นครูประจำชั้น คนหนึ่งก็เป็นเพื่อนสนิท ส่วนอีกคนก็เป็นเพื่อนที่นั่งข้างกันมานานหลายเดือน แต่คำปลอบโยนของทั้งสามคนใหนเลยจะสู้คำปลอบโยนจากหลิงหยุนเพียงคนเดียวได้ ฉางหลิงโหยหาอ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นนี้มานานแสนนาน..
แต่ถึงแม้จะซุกตัวในอ้อมกอดของหลิงหยุนแล้วฉางหลิงก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุดเช่นเคย..
“หลิงหยุน..พ่อทำกับแม่แบบนี้ได้ยังไง แม่ของฉันทั้งสวย แล้วก็หาเงินได้มากกว่าพ่อซะอีก! แต่ทำไมพ่อยังไม่ต้องการแม่ แต่กลับวิ่งไปหาผู้หญิงคนอื่น?! แม่ของฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ?”
หลิงหยุนนิ่งไม่ตอบคำถามแต่ในใจกลับคิดว่า ‘ก็เพราะแม่ของเธอหาเงินได้มากกว่าพ่อน่ะสิ!’
ผู้หญิงที่ทั้งเก่งและเข้มแข็งนั้นมักจะสร้างความกดดันให้กับสามีโดยไม่รู้ตัว และเมื่อความกดดันนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานพอ ผู้ชายก็จะเริ่มรู้สึกสูญเสียศักดิ์ศรีในตัวเอง และเริ่มไม่อยากเข้าบ้าน หากในช่วงเวลานั้น มีหญิงสาวคนอื่นเข้ามายั่วยวน ผู้ชายที่ถูกความกดดันครอบคลุมมานาน ก็ยากที่จะต้านทานได้!
แต่ก็มีผู้ชายบางคนที่อยากได้ภรรยาที่เก่งกว่าและให้ภรรยาเป็นฝ่ายหาเลี้ยงตัวเอง ผู้ชายแบบนี้ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน!
แต่หลิงหยุนไม่ใช่หนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน!ต่อให้รอบตัวเขาจะมีสาวงามมากมายเพียงใด แต่เขาก็ต้องมั่นใจว่าตนเองจะต้องแข็งแกร่งว่า และสามารถเลี้ยงดูพวกเธอได้ และไม่มีทางให้พวกเธอสร้างแรงกดดันอย่างว่าให้กับเขาอย่างแน่นอน!
และหากเกิดขึ้นจริงๆหลิงหยุนก็จะใช้เวลาสั้นๆ หาทางทำให้ตนเองขึ้นมาแข็งแกร่งกว่า และสามารถรักษาศักดิ์ศรีของชายชาตรีไว้เช่นเดิมได้!
จากมุมมองนี้..หลิงหยุนดูเหมือนจะเข้าใจพ่อของฉางหลิงได้ดี!
แน่นอนว่าเหตุผลที่พ่อกับแม่ของฉางหลิงหย่าร้างกันนั้นหลิงหยุนเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ทั้งคู่ไปกันไม่ได้อีก แต่เขาไม่สนใจที่จะครุ่นคิด เขาเป็นผู้ฝึกตน จึงไม่อยากสนใจเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งเขาเองก็ยุ่งมากด้วย จึงไม่มีเวลาที่จะไปสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก
และที่สำคัญ..ทุกคนต่างก็มีวิถีชีวิตของตนเอง!
ฉางหลิงยังคงสะอึกสะอื้นและคร่ำครวญถึงความเสียอกเสียใจของตัวเอง แต่หลิงหยุนกลับเลือกที่จะฟังอย่างเงียบๆ และปล่อยให้เธอได้ระบายความทุกข์ในใจออกมา
เพราะในบางครั้ง..การฟังอย่างสงบ อาจดีกว่าคำพูดหลายพันหลายหมื่นคำด้วยซ้ำไป!
ฉางหลิงเองก็พูดเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้ถึงสามรอบแล้วและหลังจากร้องไห้อยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง.. อาการสะอึกสะอื้นในอ้อมแขนของหลิงหยุนก็ค่อยๆหยุดลงด้วยเช่นกัน จนไม่มีอีกแล้ว และภายในห้องก็มีแต่ความเงียบ
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่..เสียงพูดเบาๆ ของฉางหลิงก็ดังขึ้น
“หลิงหยุน..นายจะดูถูกฉันเพราะเรื่องนี้มั๊ย”
หลิงหยุนลูบไล้เส้นผมของฉางหลิงพร้อมกับตอบไปว่า“ผมจะไปดูถูกคุณทำไมกัน คุณลืมไปแล้วเหรอ.. ผมเองก็เติบโตมาโดยไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน!”
เมื่อฉางหลิงได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนเธอก็ถึงกับผงะ และรีบเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน พร้อมกับพูดออกมาอย่างนึกเสียใจ
“หลิงหยุน..ฉันขอโทษ!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่เป็นไร.. วันนี้คุณร้องไห้มากพอแล้ว! ต่อไปก็ไม่ต้องเสียใจกับเรื่องนี้อีก ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องใหญ่โตกว่านี้ก็ตาม ผมก็จะอยู่เผชิญหน้ากับปัญหาไปพร้อมกับคุณเอง!”
สำหรับเด็กสาวนั้น..ในเวลาเช่นนี้ คงจะไม่มีอะไรสามารถรักษาเยียวยาบาดแผลทางจิตใจได้ดีไปกว่าคำพูดอ่อนโยน ซึ่งแสดงออกถึงความรักความห่วงใยจากชายอันเป็นที่รัก..
ฉางหลิงฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้า..
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ประตูห้อง“รีบไปเปิดประตูเร็วเข้า! อาหารเย็นของคุณมาส่งแล้ว กินเสร็จแล้วก็รีบนอนหลับพักผ่อนซะ! แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปเอง!”
เมื่อเสียกริ่งดังขึ้นที่หน้าห้องฉางหลิงก็ผละออกจากอ้อมกอดของหลิงหยุนอย่างไม่เต็มใจนัก และลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง
เวลานี้พ่อครัวยังคงทำงานอยู่จึงมีอาหารร้อนๆ มาเสิรฟ และกำลังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“โอ้โห..เยอะขนาดนี้ฉันจะกินหมดได้ยังไงกัน นายกินเป็นเพื่อนฉันนะ!” ฉางหลิงร้องบอกเสียงดัง
หลิงหยุนฝืนยิ้มและตอบกลับไปว่า“วันนี้ผมกินไปจนจุก แล้วยังดื่มเข้าไปมากด้วย ผมจะนั่งดูคุณกินก็แล้วกัน!”
ฉางหลิงวุ่นมาตลอดทั้งบ่ายจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะได้รับประทานอาหารเย็น จึงเริ่มลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย..
“นี่ค่อยๆกินอย่ารีบร้อนนัก! ดื่มน้ำซุบก่อนสิ..”
หลิงหยุนมองฉางหลิงที่กินมูมมามราวกับวิญญาณหิวโหยแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา
“หลิงหยุน..แม่บอกว่าอยากเจอนาย..” ฉางหลิงซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ร้องบอกหลิงหยุนอย่างเปิดเผย
“แม่คุณรู้เรื่องของเราแล้วเหรอ!”
“น้าเล็กเป็นคนบอกแม่ของฉันเอง..”
หลิงหยุนนึกถึงเหลียงเฟิงอี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มและตอบไปว่า “ไว้ให้ผมหายยุ่งก่อน อีกสองสามวันจะตามคุณไปที่บ้าน..”
เมื่อเห็นหลิงหยุนตอบตกลงอย่างง่ายดายฉางหลิงก็ทั้งดีใจ และโล่งใจ!
หลิงหยุนยังคงนั่งมองฉางหลิงกินอาหารจนเสร็จและหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวเม่ยหนิง เขาจึงสั่งให้ฉางหลิงรีบพักผ่อน แล้วจึงจูบเธอเป็นการร่ำลาก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
งานเลี้ยงจบลงแล้ว..เพื่อนๆ ของหลงหยุนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนกันที่ห้องพักกันหมด เวลานี้ภายในห้องจัดเลี้ยงชั้นสาม จึงเหลือเพียงพนักงานเสริฟราวสิบกว่าคนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดเท่านั้น
หลังจากออกจากห้องพักของฉางหลิงแล้วหลิงหยุนก็เดินไปที่ห้องส่วนตัวของฉินตงเฉี่วยซึ่งทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
หนิงหลิงยู่ฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง เหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลงหวู่ และถังเมิ่งที่เมาไม่รู้สึกตัว
แน่นอนว่าอาปิงกับคนของแก๊งมังกรเขียวอีกมากกว่าสิบคนก็อยู่อีกห้องหนึ่ง และกำลังรอรับคำสั่งจากหลิงหยุน
เฉิงเมี่ยนกลับเข้าไปพักผ่อนที่ห้องของตนเองส่วนกงเสี่ยวลู่ที่มีอาการมึนเมาเล็กน้อย ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนฉางหลิงที่ห้อง
“มาดื่มกันอีก..เชียร!” ถังเมิ่งที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนโซฟในสภาพมึนเมาละเมอออกมา..
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและได้แต่คิดในใจว่า.. วันหน้าเขาคงไม่อนุญาตให้ถังเมิ่งดื่มเหล้าจนเมามายแบบนี้อีกแน่
‘เจ้าเด็กนี่ดื่มเหล้าเมาแล้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ คนอื่นคงหัวเราะเยาะกันไปหมด!’
เวลานี้ก็เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วแต่สิ่งที่เขาสังหรณ์ใจก็ยังไม่เกิดขึ้น หลิงหยุนจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย..