ตอนที่ 722 ฮ่องเต้ผู้มากเล่ห์

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 722 ฮ่องเต้ผู้มากเล่ห์

เมื่อแม่นมเห็นอันหลิงเกอเป็นเช่นนี้ก็เผยแววตาฝืนใจออกมาเล็กน้อยแล้วจัดเตรียมห้องเพื่อให้ได้พักอยู่ที่นี่ ส่วนอันหลิงเกอก็มิได้คิดอันใดมาก หลังนอนบนเตียงแล้วก็หลับไปทันที

แม่นมแม้มิอยากทำ แต่ถ้าไม่ทำ ฮ่องเต้ก็จะวิตกกังวลและหวาดระแวงเรื่องนี้ไปตลอด

นางจึงตัดสินใจช่วยแบ่งเบาภาระพระองค์ แม้มิอยากทำกับอันหลิงเกอเช่นนี้แต่ตอนนี้ก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว

ขณะที่แม่นมกำลังมองอันหลิงเกอและตกอยู่ในภวังค์ความคิด ฮ่องเต้ก็ส่งคนมากระตุ้นเตือน จากนั้นนางจึงเรียกองครักษ์ให้พาตัวอันหลิงเกอไปอยู่ในสถานที่ซึ่งฮ่องเต้จัดเตรียมไว้อย่างระมัดระวังและเวลาเดียวกันน้ำตาของนางก็ไหลออกมา

เพราะนางรู้ว่าหลังจากอันหลิงเกอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปและมิรู้ว่าตอนนั้นอันหลิงเกอจะรู้สึกเยี่ยงไร

“ฟางหลิงซู่ ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ต่อไป…” ขณะตรัสออกมา ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรไปที่อันหลิงเกออย่างไร้ความรู้สึก ทรงทำไปเพราะผลประโยชน์เท่านั้น แต่ในสายตาของฟางหลิงซู่เห็นการกระทำของฮ่องเต้เป็นเพียงเรื่องตลกและโง่เขลาอย่างยิ่ง

เขาเพียงเสนอให้ฮ่องเต้จับตัวอันหลิงเกอเพื่อข่มขู่มู่จวินฮานให้สละอำนาจทางทหาร ด้วยเหตุนี้จะทำให้อำนาจของมู่จวินฮานโดนจำกัดไปด้วย

แต่ฮ่องเต้รู้เพียงความคิดที่แสดงออกให้เห็นของฟางหลิงซู่เท่านั้น หาได้ทราบถึงแผนการในใจของเขาไม่ เนื่องจากฟางหลิงซู่รู้ดีว่าหากต้องการให้ราชสำนักพ่ายแพ้ จะอาศัยเพียงกำลังทหารอย่างเดียวมิได้

เพราะผู้ที่ค้ำจุนต้าโจวเอาไว้ หนึ่งคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและอีกหนึ่งคือมู่จวินฮานแห่งจวนอ๋องมู่ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ฟางหลิงซู่ต้องการคือแยกทั้งสองออกจากกัน หรือทำให้แตกหักกันนั่นเอง

มิว่าครั้งนี้จะทำให้มู่จวินฮานยอมทิ้งอำนาจทหารในมือได้หรือไม่ เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้ว เพราะหลังจากนี้ระหว่างฮ่องเต้และมู่จวินฮานจะเกิดรอยร้าวขึ้น ส่วนมู่จวินฮานก็คงฉลาดพอที่จะเลือกปกป้องตนเองและมิดึงจวนอ๋องมู่เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน

เมื่อมองไปที่อันหลิงเกอซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ ฟางหลิงซู่ก็รู้ว่าเรื่องที่ต้องการเอาชนะต้าโจวและมู่จวินฮานนี้ จะให้อันหลิงเกอรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเขามิได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืมพระหัตถ์ของฮ่องเต้มาใช้

ครั้งนี้เขาจะมิยอมอ่อนข้อให้มู่จวินฮานเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอันหลิงเกอก็จะรู้เรื่องทุกอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงทำให้ทั้งคู่แยกจากกัน

ขณะที่ฮ่องเต้หลงเข้าพระทัยผิดว่าสิ่งที่ทำลงไปไร้ข้อผิดพลาด แต่คาดมิถึงว่าพระองค์เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของฟางหลิงซู่เท่านั้น เพราะสิ่งที่ฟางหลิงซู่ต้องการมิใช่ช่วยฝ่าบาทจัดการมู่จวินฮาน แต่ต้องการยึดครองทั้งแผ่นดินต้าโจว !

ส่วนอันหลิงเกอยังคงหลับใหล ฟางหลิงซู่ก็มองนางด้วยสายตาแห่งความรักลึกซึ้ง มองใบหน้าที่สงบนิ่งของนางเพราะตอนนี้นางยังมิรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ทางด้านมู่จวินฮานที่กลับถึงจวนอ๋องก็มิพบอันหลิงเกอ ส่วนองครักษ์ในจวนก็รู้เพียงว่าฟางหลิงซู่พาตัวของอันหลิงเกอออกไปและมิรู้ว่าไปที่ใด

หลังได้ฟังแล้วมู่จวินฮานก็เข้าใจทันที หากฟางหลิงซู่สามารถวางแผนหลอกล่อเขาให้ออกไปได้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพาอันหลิงเกอออกจากจวนอ๋องได้เช่นกัน

มู่จวินฮานจึงเดินทางไปที่หอพิษกู่และก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้เพราะฟางหลิงซู่มิได้พาอันหลิงเกอมาที่นี่ เขาจึงมิได้เบาะแสของทั้งคู่

ทันใดนั้นองครักษ์ก็มารายงานว่าฮ่องเต้เรียกเข้าวัง อีกทั้งยังบอกว่าอันหลิงเกออยู่ในวังหลวง

ทำให้มู่จวินฮานมั่นใจว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ก็มิสามารถคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้และพอรู้ว่าอันหลิงเกออยู่ในวังหลวงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้วรีบควบม้าไปที่วังหลวงทันที

ก่อนที่มู่จวินฮานจะมาถึงฮ่องเต้ให้ฟางหลิงซู่พาอันหลิงเกอไปรออยู่ในตำหนักด้านใน ส่วนพระองค์จะออกมาพบมู่จวินฮานเพียงลำพัง หลังจากนั้นมินานมู่จวินฮานก็มาถึงและพบว่ามีฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวก็รู้สึกสงสัยและร้อนรนขึ้นมา

“อ๋องมู่ อย่าใจร้อนไปเลย”

มู่จวินฮานกวาดสายตามองโดยรอบด้วยท่าทีร้อนรนทำให้ฮ่องเต้มองออกว่าอันหลิงเกอมีความสำคัญต่อมู่จวินฮานมากเพียงใด ก่อนหน้านี้ตอนที่ฟางหลิงซู่เล่ามา พระองค์ก็ยังสงสัยอยู่บ้างแต่ตอนนี้ได้เห็นกับดวงเนตรแล้ว

“ฝ่าบาท มิทราบว่าเกอเอ๋ออยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ? ” มู่จวินฮานทูลถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้ฮ่องเต้ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเดิมทีพระองค์คิดหาข้ออ้างมาตรัสเรื่อยเปื่อยเสียหน่อยแล้วค่อยเข้าประเด็นทีหลัง

“อ๋องมู่อย่าเพิ่งใจร้อน ตอนนี้พระชายามู่อยู่ในวังหลวงและนางปลอดภัยดี” ขณะทอดพระเนตรท่าทางร้อนรนของมู่จวินฮาน ฮ่องเต้ก็รู้สึกสำราญพระทัยเยี่ยงผู้มีชัยชนะ

มู่จวินฮานรักและห่วงใยอันหลิงเกอมากเช่นนี้ นางก็จะเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั่นเอง

“มิทราบฝ่าบาทมีพระประสงค์…” เป็นธรรมดาที่มู่จวินฮานจะมองออกว่าแผนการล่อเสือออกจากถ้ำเมื่อครู่เป็นฝีมือของฮ่องเต้เพื่อจับอันหลิงเกอมาเป็นตัวประกัน แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ยังมิเผยจุดประสงค์ออกมา

“อ๋องมู่ มิทราบว่าตอนนี้กำลังทหาร 50,000 นายในมือเจ้าอยู่ที่ใด ? ” ในเมื่อมู่จวินฮานใจร้อนเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็มิอ้อมค้อมอีกต่อไป พระองค์จึงตรัสถามอย่างตรงไปตรงมา

ได้ยินฮ่องเต้ยอมตรัสจุดประสงค์ออกมาแล้ว มู่จวินฮานก็รู้สึกหดหู่ใจทันที เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงว่าเพราะอำนาจทหารในมือของตนจึงทำให้ฮ่องเต้หวาดระแวงอยู่ร่ำไป

“ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ทหาร 50,000 นายอยู่ที่ค่ายนอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” ตอนนี้มู่จวินฮานก็มิได้โมโหเพียงทูลออกไปตามตรง เนื่องจากเขาและคนในตระกูลมู่จงรักภักดีต่อราชสำนักมาโดยตลอด

“ดี เจ้าก็รู้ว่า…ตอนนี้ราชสำนักโดนเผ่าปิงชวนรุกราน อ๋องมู่จักมอบตราอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพทหาร 50,000 นายให้ข้าได้หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ตรัสอย่างสุภาพเพราะมู่จวินฮานมีอำนาจทหารอยู่ในมือ หากพระองค์ทำสิ่งใดผิดพลาด คนที่เจ็บก็คือพระองค์เอง

“ทูลฝ่าบาท ตระกูลมู่รับใช้ต้าโจวมาโดยตลอด กองทัพนั้นก็มีไว้เพื่อปกป้องต้าโจว ถ้าใช้ต่อสู้กับเผ่าปิงชวนในเวลานี้ก็เหมือน*การเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัวนั่นเองพ่ะย่ะค่ะ”

มู่จวินฮานเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ดี เพียงแต่เขาต้องอธิบายเหตุผลให้ฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเข้าพระทัย

“อ๋องมู่ เจ้ามิต้องแสร้งทำเลอะเลือนต่อข้าหรอก ช่วงหลายปีมานี้ข้าเชื่อใจเจ้ามาโดยตลอด แต่ตระกูลมู่เป็นภัยคุกคามราชวงศ์มากเกินไป หากเจ้ามิเต็มใจมอบอำนาจทหารออกมาก็ช่างเถิด”

มู่จวินฮานเห็นฮ่องเต้มิเสแสร้งอีกต่อไปและตรัสออกมาตามตรงเช่นนี้ เขาก็ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ดูเหมือนตอนนี้ฮ่องเต้จะระงับอารมณ์มิอยู่และอันหลิงเกอยังอยู่ในพระหัตถ์ มิรู้ว่าฮ่องเต้จะใช้นางมาข่มขู่เขาอย่างไรบ้าง

เมื่อเห็นมู่จวินฮานจมอยู่ในความคิด ฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสอันใดชั่วคราว

เพราะพระองค์รู้ดีว่ามู่จวินฮานกำลังเป็นห่วงอันหลิงเกอ แม้อันหลิงเกอเป็นบุตรีของจวนโหว และพระองค์มิคิดทำร้ายนางอยู่แล้ว แต่เหมือนตอนนี้พระองค์ต้องราดน้ำมันลงกองไฟเสียหน่อย

“หากอ๋องมู่มิเห็นด้วย เช่นนั้นข้าก็ต้องเอาโทษจวนโหว ! ” การที่ฮ่องเต้ตรัสเยี่ยงนี้เป็นเพราะพระองค์รู้ว่าจะทำให้มู่จวินฮานหวั่นไหว เนื่องจากอันหลิงเกอก็ถือเป็นคนที่ทุ่มทั้งกายและใจให้เขามิน้อย ดังนั้นฮ่องเต้มิเชื่อว่ามู่จวินฮานจะใจแข็งได้อีก

“ทูลฝ่าบาท ทรงปล่อยนางก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เป็นอย่างที่คิด น้ำเสียงของมู่จวินฮานอ่อนลง เขาไม่มีทางปล่อยให้ฮ่องเต้ทำร้ายอันหลิงเกอเด็ดขาด

“อ๋องมู่มิต้องพูดมากหรอก เพียงนำตราอาญาสิทธิ์ออกมาก็พอ มิเช่นนั้นต่อให้ท่านโหวอันมาอยู่ตรงหน้า ข้าก็ไม่มีทางปล่อยนางไป ! ” ตอนนี้ฮ่องเต้มิได้สวมหน้ากากอีกต่อไป พระองค์เลือกตรัสออกมาตามตรงและไม่เปิดโอกาสให้มู่จวินฮานได้ปฏิเสธ

*การเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัว เป็นการเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมที่ใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย