ตอนที่ 59-2 ความจริงที่เลวร้าย

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“ชายา”

 

 

“มิต้องตรัสสิ่งอื่นใดเพคะ ต่อหน้าหม่อมฉันโปรดทรงมองแค่หม่อมฉันเถิดเพคะ”

 

 

ยอมินหันหน้าไปทางอื่น ไหล่ของนางสั่นเครืออยู่กับความหวาดกลัว แต่ว่ารูแฮนั้นไม่สามารถที่จะโอบกอดไหล่ของนางได้ เขาตั้งใจไว้แล้วว่าตั้งแต่นี้ไปจะไม่แสดงความรักใคร่อ่อนหวานต่อยอมินอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้านี้อีกแล้ว แม้จะรู้สึกผิดต่อนาง แต่สำหรับรูแฮแล้วนั้น ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความตั้งใจของเขาได้ และเขาก็ไม่สามารถเพียงเฝ้ามองดูหญิงที่รักบาดเจ็บเฉยๆ ได้ รูแฮที่ตัดสินใจจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง ไม่สามารถที่จะโอบกอดหญิงสาว ที่ตนแสร้งว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อนางมาตลอดอีกต่อไปได้ ตอนนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงเอาแต่หลีกเลี่ยง ทว่าตอนนี้ไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้อีกต่อไป รูแฮเริ่มพูดโดยไม่สนใจไหล่ที่สั่นเครือของยอมิน

 

 

“ทรงปล่อยนางไปเถิด จงดุด่าและโทษกระหม่อมเถิด เราไม่สามารถ…”

 

 

“พระองค์ทรงเป็นพระสวามีของหม่อมฉันนะเพคะ”

 

 

ยอมินหันหลังไปด้วยแววตาที่สับสนวุ่นวาย รูแฮที่เงียบไปชั่วขณะหนึ่งเดินเข้าไปหายอมินอย่างระมัดระวังและจับไหล่ของนาง เขามองดวงตาของยอมินอย่างตรงไปตรงมาด้วยสายตาที่สดใส แล้วเพิ่มแรงบีบที่มือ แต่ยอมินก็หลบสายตาของเขา

 

 

“จงมองเรา”

 

 

“…”

 

 

“พระชายาฮวางเซจา จงมองเรา”

 

 

“พอได้แล้วเพคะ หยุดเรียกหม่อมฉันว่าพระชายาฮวางเซาจาเสียที เหตุใดจึงเรียกหม่อมฉันว่าชพระชายาฮวางเซจา ราวกับ ราวกับว่าเป็นคนอื่น”

 

 

“มิได้ทรงเป็นคนอื่นหรอกหรือ”

 

 

ยอมินตัวแข็งทื่อไป น้ำเสียงที่ปกติเคยนุ่มนวลบัดนี้กลายเป็นเหมือนกับมีดแหลมคมทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจ

 

 

คนอำมหิต

 

 

น้ำตาของยอมินเริ่มไหลอีกครั้ง และในตอนนี้นางมองสบตากับรูแฮ ดวงตาคู่นี้ไม่เคยพูดโกหก ดวงตาที่มีแต่ความจริงอยู่เสมอ ฉะนั้นดวงตาคู่นี้ก็ไม่เคยพูดถึงจิตใจความรู้สึกต่อยอมินเลยสักครั้ง แม้จะคอยยิ้มให้อย่างอ่อนหวานอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เคยที่จะพูดถึงความรักใคร่ใดแม้แต่ครั้งเดียว ช่างเจ็บปวดอะไรเช่นนี้ มันเป็นความเจ็บปวดที่ต้องทนให้ได้เพราะตนต้องยืนอยู่ข้างผู้ที่มีดวงตาซื่อตรงผู้นั้นอย่างจอมปลอม

 

 

“เราได้ยินจากพระสนมซาแล้ว พระชายาฮวางเซจาทรงจิตใจสงบลงแล้วหรือยัง”

 

 

“หม่อมฉันมิรู้ว่าฝ่าบาทรงได้ยินสิ่งใดมา”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นจงกลับไปเถิด เดี๋ยวเราจะพาพระชายาฮวางเซจากลับไปที่ตำหนักนัมชอน”

 

 

“เหตุใดถึงมีคนมากมายมาห้ามไม่ให้หม่อมฉันได้พบกับพระชายาฮวางแทจาหรือเพคะ ทุกคนในพระราชวังนี้อยู่ข้างนางหรือ หม่อมฉันมิอาจเข้าใจได้ ฝ่าบาททรงไม่รู้หรือเพคะว่านางทำความเสื่อมทราม นางปฏิบัติตนสวนทางกับธรรมเนียมข้อบังคับ ผิดศีลธรรม และทำลายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว คนเจ้าเล่ห์ที่มาจากอาณาจักรอื่นมาทำให้ราชวงศ์มกกุกปั่นป่วนยุ่งเหยิง เราจะต้องรีบไล่นางออกไปบัดเดี๋ยวนี้เพคะ”

 

 

เพียะ

 

 

เสียงปะทะแหลมคมดังขึ้น ยอมินไม่รู้เลยว่าควรจะหันหน้ากลับมาอย่างไร นี่เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก

 

 

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับยอมินที่โดนตบหน้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกสำหรับรูแฮที่ได้ตบหน้าผู้อื่น แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครเลยที่จะงงงวยกับการกระทำนี้ ยอมินก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าทำไมตนถึงโดนตบ และรูแฮก็ไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ได้ทำลงไป รูแฮที่เพิ่งเคยใช้มือตบหน้าคนนั้น ใบหน้าของเขาแดงและไม่สามารถเก็บซ่อนความโกรธไว้ได้ ดวงตาของเขาร้อนผ่าวเท่ากับฝ่ามือ ความร้อนนี้มันไม่ใช่ความเศร้าและไม่ใช่สิ่งใด แต่มันคือความโกรธ

 

 

“อย่าพูดจาหยาบคายต่อนาง นางคือคนสำคัญของเรา จงกลับไปที่พระราชวังฝ่ายใต้เสีย”

 

 

ยอมินที่ก้มหน้าอยู่หายใจออกมา

 

 

“ทรงแอบมีสัมพันธ์ลับกับหญิงนางอื่นเสียยังดีกว่า ในพระราชวังมีนางกำนัลตั้งมากมาย เหตุใดถึงต้องเป็นพระชายาฮวางแทจาเพคะ ฝ่าบาททรงเที่ยวผู้หญิงยังจะดีเสียกว่า หากทรงบอกว่าหัวใจของฝ่าบาทตอนนี้มิได้จริงจัง คงจะรู้สึกวางใจกว่า”

 

 

คำพูดที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมถูกเปล่งออกมามากมาย แต่ว่ารูแฮไม่ได้ฟังเลยสักคำเดียว

 

 

“เราไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้ว คิดว่าจะไม่ฟังคำพูดที่ดูหมิ่นดูแคลนของพระชายาฮวางเซจาอีก จงกลับไปที่วังใต้เสีย”

 

 

“ทรงไปรับนางกำนัลเข้ามายังดีเสียกว่า ทำไมต้องเป็นพระชายาฮวางแทจาด้วยหรือเพคะ”

 

 

ยอมินที่ยังคงมองแต่พื้นอยู่ตะโกนออกมา เสียงที่ดังก้องกังวานจากความโกรธกระจายไปทั่วสวนหลังวังของวังตะวันออกที่เงียบสงบ ไม่มีคำตอบใดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็มีเสียงโทนต่ำลอยเข้ามาในหูของยอมินที่กำลังเป็นทุกข์ว่ารูแฮจะทิ้งนางไปหรือไม่

 

 

“เพราะนางเลยเป็นเยี่ยงนี้” น้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นนาง ที่เรารักและถวิลหาถึงเพียงนี้” เป็นน้ำเสียงของรูแฮที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

“คนที่เรารักมิใช่พระชายาฮวางแทจา แต่เป็นมกฮวา อูรึม”

 

 

รูแฮกำลังยิ้มอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยพูดมาก่อน และยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน แม้ยอมินจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าและกลัวในน้ำเสียงนั้น แต่นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด แม้นางจะคิดว่าหากนางเป็นคนที่ได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงจะดี แต่นางก็ไม่ได้หวังอย่างจริงจัง

 

 

แต่เมื่อได้มองรูแฮตรงหน้า ยอมินก็ได้รับรู้

 

 

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาทั้งๆ ที่หลับตาอยู่แล้วลืมตาขึ้น นางก็ได้พบกับความสงบแล้ว สีหน้านางนิ่งไปแม้จะโดนสามีสุดที่รักตบตี และยังได้ยินสามีตนสารภาพรักคนอื่น นางต่างไปเป็นคนละคนกับคนที่เมื่อสักครู่พูดระบายความโกรธออกมาเสียงดัง ยอมินเองก็ตกใจในความนิ่งสงบของตนเองเช่นกัน

 

 

นางได้แต่เพียงพยักหน้ายอมรับ ใช่แล้ว นี่คือความรู้สึกของตน เป็นความรู้สึกที่เมื่อได้ฟังก็เข้าใจได้โดยง่าย นางเพียงแค่ปฏิเสธความรู้สึกของตน คิดเพียงว่ามันคือความรู้สึกรักอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้อยู่ตัวอยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าจิตใจของตนนั้นไม่ได้มีความรักใคร่ใดแฝงอยู่ แต่ยังก็ปิดซ่อนและเก็บมันเอาไว้

 

 

“มีเรื่องสงสัยเพคะ”

 

 

“อะไรหรือ”

 

 

รูแฮเอียงศีรษะฟังคำถามที่ไม่คาดคิด แม้กระทั่งน้ำเสียงก็สุภาพเหมือนในยามปกติ ยอมินมองดวงตาของรูแฮ ตอนนี้สายตาของนางสงบนิ่งลงแล้ว ลมพายุที่พัดโหมกระหน่ำได้สงบลงแล้ว มีเพียงความมืดมิดที่เข้ามาอยู่ในดวงตาของนาง

 

 

ยอมินเปิดปากออก