“มีเรื่องสงสัยเพคะ”
“อะไรหรือ”
รูแฮเอียงศีรษะฟังคำถามที่ไม่คาดคิด แม้กระทั่งน้ำเสียงก็สุภาพเหมือนในยามปกติ ยอมินมองดวงตาของรูแฮ ตอนนี้สายตาของนางสงบนิ่งลงแล้ว ลมพายุที่พัดโหมกระหน่ำได้สงบลงแล้ว มีเพียงความมืดมิดที่เข้ามาอยู่ในดวงตาของนาง
“เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่มางานวันคล้ายวันประสูติของฮวังบี ซูเพคะ” เป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริบทที่คุยกันมาก่อนหน้านี้ รูแฮพยักหน้าแล้วตอบกลับไป
“เพราะเริ่มรู้สึกมาตั้งแต่วันพิธีตั้งชื่อให้กับกโยรยูนแล้ว”
“รู้สึกตั้งแต่วันพิธีตั้งชื่อหรือเพคะ”
“การที่ต้องนั่งข้างพระชายาฮวางเซจาแล้วได้แต่มองนางที่นั่งอยู่เคียงข้างฮวางแทจามันช่างยากลำบาก เราจึงไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง เราไม่อาจมองนางที่นั่งอยู่ข้างฮวางแทจา โดยที่นางไม่ส่งสายตาใดมาให้เราได้เลย เราไม่อาจควบคุมจิตใจตัวเองได้ นางที่นั่งอยู่ข้างฮวางแทจานั้น…”
“พอเถิดเพคะ”
ไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรตนก็เป็นชายาเอกของรูแฮ ยอมินไม่อาจฟังคำพูดถวิลหาหญิงอื่นได้อีกต่อไป
“หม่อมฉันจะไปหาพระชายาฮวางเทจาเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกนางในฐานะพระชายาฮวางเซจา”
จนถึงเมื่อครู่นี้เขาได้พยายามที่จะหยุดยอมิน ทว่าตอนนี้ท่าทีของนางนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง รูแฮจึงไม่ขัดขวางอีกต่อไปแล้วเปิดทางให้กับนาง
ไม่ช้ายอมินก็ได้พบกับกโยซึลที่ตำหนักดงบี หญิงสาวสองคนที่ไม่อาจมองหน้ากันได้ กำลังเผชิญหน้ากัน หญิงนางหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ส่วนอีกนางหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความสบายใจ
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจา กโยซึลเพคะ”
ในฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วแม้แต่หน้าก็ไม่กล้าเผชิญ แต่ตอนนี้ยอมินเดินข้ามประตูนั้นไปอย่างมั่นใจแล้วทำความเคารพแก่นาง แม้จะเคยบอกว่าจะไม่มาหากไม่ได้เรียก แต่นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปแล้ว และนางก็ตั้งใจว่าหากมีการเรียกหาในวันข้างหน้าก็จะไม่มา ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีการเรียกหาใดอีกแล้ว
กโยซึลรู้ดีว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้านางคือใคร มือของกโยซึลที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสั่นเครือ กโยซึลยังรู้ดีอีกว่าตนได้ทำความผิดบาปที่มิอาจให้อภัยได้ต่อหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า แม้จะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนั้นได้
“หม่อมฉันมีเรื่องที่จะบอกกับพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
“เชิญตามสบายเพคะ”
ยอมินจ้องเขม็งไปที่ตาของกโยซึล หลังจากที่ยอมินเริ่มบทสนทนา แล้วนางก็เงียบไป กโยซึลรอฟังนางอยู่อย่างเงียบๆ สักพัก ยอมินก็พูดต่อเหมือนกับตอนแรก
“เมื่อคราวก่อนหม่อมฉันได้บอกพระชายาฮวางแทจาไปแล้วมิใช่หรือเพคะ เรื่องคำเรียกฝ่าพระบาทและฝ่าบาท”
เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำเรียกยศในพระราชวังนั่นเอง คำพูดที่พูดออกมาของยอมินนั้นช่างแปลกประหลาด นางพูดถึงเรื่องที่เคยคุยกันตอนมาหากโยซึลครั้งแรกที่ตำหนักดงบี ในวันนั้นยอมินได้บอกวิธีการเรียกยศต่างๆ ให้กับกโยซึลผู้ซึ่งยังไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติของพระราชวังแห่งนี้ แต่อีกไม่นานยอมินก็ได้รู้ว่านางได้ทำสิ่งที่เหลวไหลเกินไป
“กลับมาคิดดูอีกที สำหรับพระชายาฮวางแทจานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกใครว่าฝ่าพระบาทอีกนอกจากฮวาแทจา”
“หม่อมฉันเองก็เพิ่งได้ยินมาจากซังกุงเมื่อไม่นานมานี้เองเพคะ”
มีเพียงพระชายาฮวางแทจาเท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกันกับฮวางแทจา ส่วนชายาคนอื่นๆ นั้นก็มียศที่ต่ำกว่าองค์รัชทายาท ฉะนั้นพระชายาฮวางแทจาก็ต้องเรียกฮวางเซจาว่าฝ่าบาท มีพระชายาฮวางแทจาคนเดียวที่แตกต่าง
“พระชายาฮวางแทจาทรงเป็นผู้ที่พิเศษจริงๆ นะเพคะ”
ในพระราชวังที่กว้างใหญ่นี้ พระชายาฮวางแทจาเป็นคนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษเมื่อเทียบกับชายาคนอื่นๆ
“ทำไมพระชายาจึงเป็นผู้เดียวในทุกเรื่องกันนะเพคะ” ยอมินแกล้งหัวเราะออกมา ดูเหมือนกับว่ากำลังหัวเราะเยาะตนเอง “เหมือนว่าจะทรงแตกต่างกับพวกหม่อมฉันมาตั้งแต่แรก”
“ม ไม่ถึงขนาดนั้น”
“แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่หม่อมฉันเข้าไปยุ่งอย่างไม่รู้ตัว”
“พระชายาฮวางเซจาจะทรงช่วยหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ ทรงมีพระทัยอ่อนโยนมากเลยเพคะ”
“ใจที่ไร้ค่าน่ะสิเพคะ”
ไร้ค่า
คำว่าไร้ค่านั้นปักลงไปบนอกของยอมิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในตอนนี้เหมือนกับตนกำลังถูกไล่ต้อนอยู่อย่างไรอย่างนั้น นางผู้ซึ่งเหนื่อยและสับสนไม่มีเรี่ยวแรงคิดสิ่งใดอีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยอมินก็มีความคิดหนึ่งว่าหรือจะปล่อยตัวไปธรรมชาติดี มาถึงขนาดนี้คงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
มันนานมาแล้ว
จริงๆ แล้วมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในตอนที่กโยซึลปรากฏตัว ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับรูแฮ ในคืนส่งตัวเข้าหอ ไม่สิ มันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตากับรูแฮ ยอมินรู้สึกเหนื่อยจากการรอคอยรูแฮมาตลอด ชายหนุ่มผู้ไม่เคยคิดจะเข้าใกล้นางเลย
“เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้หม่อมฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หม่อมฉันไม่อยากเอาใจของหม่อมฉันไปใช้ในที่ที่ไม่จำเป็นเพคะ”
“พระชายาฮวางเซาจา?”
กโยซึลตามไม่ทันว่ายอมินจะพูดเรื่องอะไร ยอมินพูดคนเดียว จัดการคำพูดคนเดียว และสรุปเรื่องคนเดียว แล้วก็ปิดปากเงียบไป จนนางเปิดปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงที่หลั่งไหลออกมาจากปากของนางนั้นเย็นชืดไม่มีชีวิตชีวา
“โปรดอย่าทำให้ฝ่าบาทหวั่นไหว โปรดอย่าทำให้ฝ่าบาททรงสับสนเลยเพคะ โปรดอย่าทำให้ฝ่าบาทผู้ซื่อสัตย์ต้องตกอยู่ในการทดลองเลยเพคะ”
แม้นางจะเรียกแค่ฝ่าบาท แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่านั่นไม่ได้หมายถึงเซจา แต่หมายถึงฮวางเซจา
มันเป็นคำพูดที่เข้าใจได้ยาก ไม่สามารถหาข้อสรุปให้กับคำพูดนี้ได้ กโยซึลจึงรู้สึกสับสนวุ่นวาย เสียงที่เรียบนิ่งของยอมินนั้นยิ่งทำให้กโยซึลรู้สึกสับสน
“พระชายาฮวางเซจาทรงหมายความว่าเยี่ยงไรหรือเพคะ”
“หมายความว่าฝ่าบาททรงรักพระชายาฮวางแทจา และพระชายาฮวางแทจาก็ทรงรักฝ่าบาทเพคะ”
เฮือก
มันยากที่จะต้องทนกับคำพูดที่ตรงไปตรงมา และยิ่งได้ยินจากปากชายาเขายิ่งไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้าอย่างไร ยอมินเหมือนกับรู้ว่าจิตใจของกโยซึลนั้นว้าวุ่น นางจึงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะออกไป
“หม่อมฉันเองก็คิดว่าหม่อมฉันรักฝ่าบาท ทว่ามันคงเป็นเพียงหน้าที่ในฐานะชายาเอกเท่านั้น บางทีมันอาจจะใช่ แต่ก็มิมีสิ่งใดชัดเจนเพคะ” ยอมินเองก็ดูเหมือนจะสับสนนงงงวยในตนเองเช่นกัน นางค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ
“แม้หม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทมาหลายปี แต่หม่อมฉันก็ยังมิสามารถตอบได้อย่างชัดเจนถึงหัวใจของหม่อมฉันเพคะ” สายตาของยอมินเป็นประกาย ขณะที่พูดต่อไปอย่างเย็นชา นางมองกโยซึลด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ทว่าสิ่งที่แน่นอนนั้นคือฝ่าบาทรงปฏิบัติตนสวนทางกับกฎระเบียบ แล้วก็ทรงรักอยู่กับพระชายา
ฮวางแทจา”
กโยซึลตกใจกับคำพูดของยอมิน นางรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือร่วงลงไปที่เบาะรองนั่ง คนที่ตกใจนั้นมีเพียงแค่กโยซึล ส่วนยอมินนั้นตกใจกับความไม่เปลี่ยนแปลงของตนเอง และตกใจกับหัวใจที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด
“หม่อมฉันจะไม่ยอมอยู่ภายใต้พระสวามีเยี่ยงนั้นเพคะ หม่อมฉันไม่อาจรับใช้สามีที่ปฏิบัติตนขัดกับกฎระเบียบได้เพคะ”
“พระชายาฮวางเซจา”
“พระชายายังทรงเด็ก ไฉนถึงหูตึงเช่นนี้เพคะ มิใช่ว่าจะทรงปล่อยวางหรือเพคะ ไม่ใช่ว่าทรงตรัสว่าจะปล่อยเขาไปหรือเพคะ”
ยอมินขมวดคิ้ว บนใบหน้าบึ้งตึงนั้นเต็มไปด้วยความรำคาญใจ หญิงร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้านั้นทำให้รู้สึกแย่อย่างนี้ได้อย่างไร ใบหน้าไร้เดียงสาที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยยิ่งทำให้ความโกรธเพิ่มขึ้น ทว่าความจริงแล้วยอมินรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นเพียงความพยายามที่ไร้ประโยชน์ และมันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจกว่าเดิม
“ทรงอย่าได้ทำให้ฝ่าบาทช้ำใจเพราะทรงไปรักชอบชายอื่นทั้งที่ก่อนหน้าเคยบอกรักฝ่าบาท ทรงอย่าทำให้ฝ่าบาททรงยุ่งยากใจเพราะทรงเบื่อหน่าย และถอยห่างเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งที่ในตอนนี้ทรงบอกว่าชมชอบฝ่าบาท ฝ่าบาทที่ทรงซื่อตรงนั้นจะมองเพียงพระชายาฮวางแทจาเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าได้ทรงลองใจฝ่าบาทเพียงเพราะทรงไม่มั่นใจในตัวพระองค์ ขอโปรดทรงยืนเคียงข้าง และมอบรอยยิ้มให้พระองค์ นี่เป็นสิ่งที่ยอมินจะทูลบอกพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
กโยซึลไม่สามารถตั้งสติได้กับคำพูดของยอมินที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเข้าใจในคำพูดของนางแต่ก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อ กโยซึลมองยอมินอย่างเหม่อลอย ยอมินกัดริมฝีปากของตนเอง เกลียดนาง นางที่ทำให้ยอมินต้องพูดคำพวกนี้ออกมา นางที่กำลังมองยอมินด้วยสีหน้าอย่างนั้น เกลียดที่พยายามจะไม่ชอบนางแต่ก็ไม่สามารถไม่ชอบนางได้ ไม่สามารถเกลียดได้ คงไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถเกลียดหญิงสาวน่าเอ็นดูตัวเล็กๆ อย่างนั้นได้หรอก
“หม่อมฉันคือสตรีผู้ติดอยู่กับกฎระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติเพคะ สำหรับยอมิน สามีที่ไม่เคยเอาใจใส่ก็เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ หม่อมฉันเป็นพระชายาฮวางเซจา และในพระราชวังนี้ก็ไม่มีฮวางเซจาเพคะ”
ยอมินปฏิเสธการมีอยู่ของรูแฮ และถ้าปฏิเสธการมีตัวตันอยู่ของรูแฮแล้วก็อาจจะสามารถข้ามผ่านสถานการณ์ที่บิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบเช่นนี้ไปได้ อย่างน้อยก็ต้องทำอย่างนี้เพื่อที่ตนจะสามารถหายใจได้บ้าง
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี ขอให้ทรงสุขเกษมสำราญเพคะ”
เมื่อยอมินทำความเคารพแล้วนางก็ลุกขึ้น และมั่นใจได้ว่านางคงจะไม่ทักทายด้วยกโยซึลเป็นการส่วนตัวอีกต่อไป กโยซึลไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับยอมินที่มาพูดแต่ในสิ่งที่ตัวเองต้องการพูด แม่นมที่เดินออกไปหลังจากที่ยอมินเข้ามา ตอนนี้นางได้กลับเข้ามานั่งอยู่ข้างกโยซึลแล้ว
“พระชายาฮวางเซจาทรงตรัสสิ่งใดหรือเพคะ” แม่นมเบิกตากลมโตพรางลูบหลับกโยซึลไปด้วย
“นางปล่อยรูแฮให้เราแล้ว” กโยซึลมองไปที่ประตู
สิ่งที่ผ่านไปเมื่อครู่คือลมอย่างนั้นหรือ นางนั้นจริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่ กโยซึลรู้สึกกลัวและมึนงงที่ความสัมพันธ์ของรูแฮกับตนในตอนนี้นั้นอาจจะกลายเป็นความลับที่ถูกเปิดเผย
เมื่อครู่นี้ยอมินที่พูดจาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานั้นช่างดูน่าสงสารในสายตาของกโยซึล
***
“โบจิน ปิดประตูหน่อย” ยอมินพูดขึ้น “โบจิน ปิดประตู”
“พระชายา…”
“เราบอกให้ปิดประตูมิใช่หรือ ปิดประตูที โบจิน” หญิงวัยเยาว์ปิดประตูทุกบานในห้อง ทั้งประตูห้องบรรทม และหน้าต่าง
“ปิดประตูให้หน่อย โบจิน”
“ปิดแล้วเพคะ”
“โบจิน ปิดประตูให้หน่อย”
“ปิดหมดแล้วเพคะ”
ยอมินเอาแต่พูดสั่งให้ปิดประตูด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าที่ดูเหมือนจะพังทยาย
“ตรงนี้เปิดอยู่มิใช่หรือ มิใช่ว่าตรงนี้แง้มเปิดอยู่ทุกคนจึงจะก้าวออกไปหรือ” ยอมินทุบตีหน้าอกของตัวเอง แล้วนางก็นั่งลงเริ่มร้องไห้
“โบจิน ปิดประตูให้หน่อย เรากลัวว่าสามีจะกลับมา รีบๆ ปิดประตูเร็ว ปิดประตูให้สนิทแล้วก็ซ่อนตัวไว้”
น้ำเสียงที่ว่างเปล่ากระจายไปทั่วอากาศ ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือเหตุผลใดก็ตาม มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยเขาที่เป็นสามีตนมาหลายปีไปได้
สิ่งที่โล่งใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่ตนร่ำให้นั้นกลับตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่าที่ผ่านหาได้มีความผูกพันธ์ใดต่อกันเลย