ตอนที่ 525 - จุมพิตจากหวงหลวน

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 525 – จุมพิตจากหวงหลวน

ตอนนี้ปัญหาของตระกูลหวงสุดท้ายแล้วก็สิ้นสุดลงเสียที ใบหน้าของเจี้ยนเฉินได้มีรอยยิ้มออกมา แต่ลึก ๆ เขารู้ว่านี่ควรขอบใจหมิงตง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เจี้ยนเฉินคงไม่สามารถขอร้องให้ลุงเทียนซึ่งเป็นญาติของเขาให้มาช่วยเขาได้

อีกอย่างเจี้ยนเฉินยังคงตกตะลึงในฐานะของลุงเทียน ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้าง ! แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตำแหน่งนั้นสูงส่งขนาดไหนในเมืองทหารรับจ้าง แต่เขามั่นใจได้ว่ามันต้องเป็นตำแหน่งที่สูงส่งเป็นแน่

หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินและหมิงตงก็ได้เดินทางออกจากยอดภูเขาที่บรรพชนพำนักอยู่

หลังจากที่ได้ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา มุมมองของบรรพชนที่มีต่อเจี้ยนเฉินและหมิงตงก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาได้เดินทางไปพร้อมกับเจี้ยนเฉินและหมิงตงในตอนที่พวกเขาบินขึ้นไปบนอากาศ แม้ว่าเขาจะเป็นเซียนผู้คุมกฎแต่เขาก็ลืมไปเลย เขาได้หัวเราะและพูดคุยกับพวกเขาทั้งสองตลอดระยะทางที่เดินทางมายังที่พัก

สุดท้ายแล้วทั้งสามก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงกลางห้องโถง ในเวลาเดียวกันก็ได้มีเซียนสวรรค์หลายคนเริ่มเข้ามารวมตัวกันในศาลาแห่งนี้ ทุกคนคุกเข่าลงและร้องออกมา ” พวกเราคารวะบรรพชน ! ” ดูเหมือนว่าตอนที่เดินทางมา บรรพชนได้ส่งข้อความไปหาพวกเขา

“ทุกคนยืนขึ้นได้ ผู้เฒ่าคนนี้มีเรื่องที่จะต้องประกาศ !” เขาพูดแบบนั้นพร้อมกับสะบัดชายเสื้อพร้อมกับเดินเข้าไปยังห้องโถงซึ่งเป็นที่ที่ใช้ไว้ทำการพูดคุยเรื่องสำคัญ

เซียนสวรรค์ทุกคนในตระกูลหวงได้มองหน้ากันก่อนที่จะหันกลับไปมองที่เจี้ยนเฉินที่ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ บรรพชน หัวใจของพวกเขาเต้นรัวเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องกันได้

ตระกูลหวงนั้นอยู่โดยลำพังมาหลายพันปี นั่นทำให้เซียนสวรรค์ที่มีอยู่ในตระกูลนั้นมีจำนวนน้อย มีเซียนสวรรค์อย่างน้อย 13 คนที่เพิ่งเคยเห็นเจี้ยนเฉินเป็นครั้งแรก พวกเขาทุกคนล้วนมีตำแหน่งที่สำคัญในตระกูลหวง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงเก็บตัวอยู่หรือคนที่เป็นตัวแทนตระกูลที่เคยเห็นเจี้ยนเฉินมาก่อนหน้านี้

ทุกคนได้เข้ามารวมตัวกันในห้องโถงอย่างรวดเร็ว เซียนสวรรค์ทั้งสิบสามคนได้นั่นอยู่บนเก้าอี้ของตนเองตามด้านข้างทั้งสองฝั่งของห้องโถง พวกเขาเงยหน้าขึ้นไปมองบรรพชนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ด้านบน เจี้ยนเฉินและหมิงตงเองก็ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้าง ๆ บรรพชน

คนส่วนมากนั้นรู้ถึดีว่าเจี้ยนเฉินนั้นเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวงและสมควรที่จะนั่งที่ตรงนั้น แต่เซียนปฐพีอย่างหมิงตงนั้นไปนั่งที่ตรงนั้น ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าเหตุใดเขาจึงไปนั่งตรงนั้นได้ แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเนื่องจากนี่เป็นคำสั่งของบรรพชน มีเพียงจิตใจของพวกเขาเท่านั้นที่พยายามครุ่นคิดว่า หมิงตงนั้นเป็นใครหรือเขาเป็นนายน้อยของตระกูลใด

บรรพชนไม่พูดสิ่งใดในเรื่องนี้ออกมาแต่กลับพูดเปิดประเด็นในเรื่องหลักขึ้นมา “ผู้เฒ่าผู้นี้เรียกพวกเจ้ามารวมตัวในวันนี้เพื่อทำการประกาศ” บรรพชนหยุดสักพักพร้อมกับส่งสายตาสังเกตผู้ฝึกตนของตระกูลหวงที่อยู่รอบ ๆ “จากนี้เป็นต้นไป การหมั้นของหวงหลวนกับตระกูลหวงกู่นั้นเป็นอันยกเลิก ส่งคนไปบอกตระกูลหวงกู่เรื่องนี้ด้วย ! “

เมื่อได้ยินบรรพชนพูด ดังนั้นหลายคนแสดงสีหน้าว่างเปล่าออกมาพร้อมกับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ เกิดขึ้นบนหน้าของเขา สำหรับพวกเขาเหตุผลเดียวที่บรรพชนจัดการหมั้นกับตระกูลหวงกู่นั้นมีเหตุผลเดียว คือพวกเขาค้นพบขุมพลังที่แข็งแกร่งกว่า ดังตัวอย่างเช่นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวงนั่นเอง

“บรรพชน นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ถ้าพวกเรายกเลิกการหมั้นนั่น มันก็เท่ากับตบหน้าตระกูลหวงกู่ ไม่มีทางที่พวกนั้นจะรู้สึกพอใจ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่จะทำลายความสัมพันธ์ของเรากับตระกูลหวงกู่” ผู้อาวุโสคนอื่นพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ผู้อาวุโสปิง พูดได้ถูกต้อง บรรพชน การยกเลิกการหมั้นนี่เป็นสิ่งที่พวกเรานั้นไม่ควรทำ ตระกูลของเราได้รับประโยชน์มาหลายร้อยปีกับการเป็นมิตรกับตระกูลหวงกู่ และพวกเขาก็ได้มาเอาตัวหวงหลวนไปเพราะพวกเขาสนใจ หากเป็นเช่นนั้นความสัมพันธ์กับตระกูลหวงกู่และเรานั้นจะพังทลาย โปรดทบทวนอีกครั้งเถอะ บรรพชน” ผู้อาวุโสอีกคนพูดเชิงเห็นด้วยเพื่อไม่ให้ทำการยกเลิกการหมั้น

สายตาของผู้อาวุโสเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด เขาจ้องไปยังผู้อาวุโสทั้งสองด้วยสายตาที่แหลมคม “ปิงเกี้ยว, หวงยิ่งหราน ผู้เฒ่าผู้นี้รู้ดีว่าความสัมพันธ์กับตระกูลหวงกู่นั้นมีมาหลายปี แต่ผู้เฒ่าผู้นี้ได้ตัดสินใจแล้ว และข้าไม่เปลี่ยนใจแม้ว่าเจ้าทั้งสองจะพูดสิ่งใดก็ตาม”

น้ำเสียงของบรรพชนนั้นหนักแน่น สิ่งนี้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินสิ่งที่บรรพชนพูดนั้นยอมแพ้ในการพยายามเปลี่ยนความคิดของเขา

ในตอนนั้นไม่มีใครพูดสิ่งใดแย้งขึ้นมาอีก แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลหวงกู่มาหลายสิบปีและอยากจะช่วยพวกนั้น แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดปากตนเองไว้

“ข้าได้ตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ส่งคนไปบอกให้ตระกูลหวงกู่รับรู้ไว้ด้วย แล้วก็ส่งมอบของขวัญเพื่อทดแทนในเรื่องนี้ด้วย” บรรพชนพูดขึ้น

“ขอรับ บรรพชน” ทุกคนตอบกลับมา

จากนั้นบรรพชนได้ทำการประกาศเรื่องที่สอง “และจากนี้ผู้เฒ่าผู้นี้มีอีกเรื่องที่จะประกาศ สหายของเรา เจี้ยนเฉินและหมิงตงจะมาเป็นแขกอันทรงเกียรติให้กับตระกูลหวง ทุกคนต้องปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดี ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเจ้าต้องโดนผู้เฒ่าผู้นี้ลงโทษ ! ” น้ำเสียงของบรรพชนกลายเป็นแข็งกร้าว

สองพี่น้องคนนี้มีผู้อาวุโสสูงสุดจากเมืองทหารรับจ้างคอยหนุนหลัง นั่นทำให้ไม่ว่ายังไงก็ห้ามทำให้พวกนี้ไม่พอใจ บรรพชนได้ตัดสินใจจะทำให้ดีที่สุดที่จะดึงสองคนนี้เข้ามายังกลุ่มของตนเอง

ทุกคนนั่งลงพร้อมกับมองอย่างตกตะลึงไปที่หมิงตง พวกเขาไม่คิดว่าบรรพชนนั้นจะให้ความสำคัญกับหมิงตงถึงเพียงนี้ เจี้ยนเฉินนั้นเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวง พวกเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องปฏิบัติกับเขาอย่างดี แต่สำหรับหมิงตงแล้ว มันเป็นสิ่งที่ทุกคนยังสงสัย

บรรพชนไม่ได้แนะนำหมิงตง เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักหมิงตงมากพอ เขารู้เพียงแค่ชื่อของหมิงตงเพราะเจี้ยนเฉินได้บอกมาก่อนหน้านี้ หลังจากที่บรรพชนได้ทำการประกาศเสร็จ ดูเหมือนว่าหมิงตงจะได้ตำแหน่งใหญ่โตภายในตระกูลนี้แม้ว่าจะเป็นคนนอก เรื่องนี้ทำให้เซียนสวรรค์ทุกคนต้องทำตัวสุภาพกับเซียนปฐพีอย่างหมิงตง ไม่เพียงแต่ปฏิบัติดีแต่ต้องปฏิบัติเหมือนหมิงตงนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ในตระกูลเขา

หลังจากการพูดคุยได้จบลง บรรพชนเองยังไม่ได้กลับไปภูเขาเพื่อฝึกตน แต่เขากลับไปจัดเตรียมงานเลี้ยงส่วนตัวเพื่อรับเจี้ยนเฉินและหมิงตง การกระทำของผู้อาวุโสนี้ทำให้เซียนสวรรค์ทุกคนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ! การที่เซียนผู้คุมกฎต้องมาจัดงานรับเซียนปฐพีนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในทวีปนี้

ผู้ฝึกตนทุกคนจากตระกูลหวงยิ่งสงสัยกับฐานะของหมิงตง แต่พวกเขานั้นไม่สามารถเดินเข้าไปสอบถามหมิงตงตรง ๆ ได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้เนื่องจากบรรพชนได้กำชับไว้ว่ามิให้พูดสิ่งใดในเรื่องนี้อีก

เจี้ยนเฉินไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับนั่น แต่เขากลับบอกลาคนอื่น ๆ และได้เดินไปยังศาลาของหวงหลวน เขาต้องการบอกข่าวนี้กับนางด้วยตัวเอง

เจี้ยนเฉินเดินเข้าไปยังศาลาโดยไม่รีรอและเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ครั้งนี้เจี้ยนเฉินไม่ได้กลิ่นหวานเหมือนดังเช่นสองวันที่แล้ว กลิ่นที่ทำให้เขาหลงนั้นได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

สายตาของเจี้ยนเฉินได้กวาดไปทั่วทั้งห้องก่อนที่จะสังเกตเห็นร่างของหวงหลวน ที่เขาเห็นนั้นคือหวงหลวนที่สวมชุดสีดำคล้ายกับที่นางใส่เมื่อสองวันก่อน นางยังคงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างจ้องมองไปยังความมืดมิดที่อยู่รอบ ๆ ตัวนาง แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเข้ามาแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใด

เมื่อเห็นว่าหวงหลวนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาเข้ามา เจี้ยนเฉินถอนหายใจกับตัวเอง เขาได้จินตนาการไว้ถึงตอนที่เขาได้บอกข่าวนี้กับนาง แต่เมื่อนางเป็นแบบนี้ความคิดที่เขาคิดไว้ก็ได้มลายหายไป

“หวงหลวน ! ” เจี้ยนเฉินร้องออกมา

ทันทีที่เรียก หวงหลวนก็ได้สะดุ้งและได้วิ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉิน นางรู้ดีว่าไม่ว่านางจะได้ออกจากศาลานี้ด้วยความสุขหรือไม่ แต่มีสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมนางได้นั่นคือคำพูดของเจี้ยนเฉิน

เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าของนาง เจี้ยนเฉินได้แต่ยิ้มเล็ก ๆ ออกมา “หวงหลวน ข้ายินดีที่จะบอกว่าปัญหาของเจ้านั้นได้แก้ไขแล้ว ผู้อาวุโสของเจ้าได้ยกเลิกการหมั้นของเจ้าและตระกูลหวงกู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงปัญหานั่นอีกต่อไป”

ใบหน้าของหวงหลวนแข็งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าที่แสดงความดีใจ ร่างกายของนางเริ่มสั่นอย่างรุนแรงและนางก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จะ-จริงหรือ ? เจ้า…เจ้าไม่ได้หรอกข้าใช่หรือไม่ ? บรรพชนได้ยกเลิกการหมั้นจริง ๆ หรือ ? ” ในเวลานั้นหัวใจของนางตกอยู่ในความกังวล การหมั้นของนางกับนายน้อยรองของตระกูลหวงกู่นั้นเป็นโซ่ตรวนที่รัดร่างกายของนางและทรมานนาง ไม่เพียงแต่นางไม่อยากที่จะแต่งงานกับนายน้อยรองของตระกูลนั้น นางยังมีคนอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว ชายผู้ที่อยู่ในหัวใจนางนั้นเป็นคนที่ดูโดดเด่นยิ่งกว่า, สุดยอดยิ่งกว่า, มีชีวิตชีวามากกว่า ตอนนี้โซ่ตรวนที่มัดร่างกายนางไว้ได้หายไปแล้ว—โดยบุคคลที่นางรักที่สุด เรื่องนี้ทำให้นางตื้นตันใจเอามาก ๆ

แม้ว่านางไม่รู้ว่าเจี้ยนเฉินใช้วิธีใดเพื่อเปลี่ยนความคิดของบรรพชน แต่นางก็เข้าใจได้อย่างหนึ่ง ถ้าบรรพชนต้องการที่จะคุกคามตระกูลหวงกู่โดยการยกเลิกการหมั้น นั่นต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจี้ยนเฉินแน่ ๆ

“แน่นอนว่ามันจริง ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าออกไปดูข้างนอกด้วยตัวเองได้ ! ” เจี้ยนเฉินยิ้ม

น้ำตาสองสายไหลออกมาจากตาของหวงหลวนพร้อมกับที่นางวิ่งเข้าหาเจี้ยนเฉินอย่างกับเป็นลูกธนู แขนทั้งสองข้างของนางเข้าไปกอดเจี้ยนเฉินเอาไว้ นางเขย่งปลายเท้าขึ้น ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเจี้ยนเฉินตอนนั้นก็ได้มีปากสีเชอรี่แดงประกบเข้ากับปากของเขาเอง