ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินเฉินได้มาถึงสายน้ำที่รูปปั้นเทพอสูรซ่อนอยู่

 

เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมที่โหดเหี้ยมที่ของตกทอดแห่งอื่นตั้งอยู่ สายน้ำแห่งนี้ดูสงบและดูสาบอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะมีปลาว่ายอยู่ในสายน้ำ มันยังมีสัตว์ป่าตัวเล็กออกมาดื่มน้ำเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน

 

เมื่อเห็นภาพอันแสนสงบนี้แล้ว เฉินเฉินก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น

 

มันเป็นมรดกของเทพอสูรและด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้แล้ว เขาอาจจะพบเจอกับอันตรายก็เป็นได้

 

“ระบบ มันมีกับดักหรือบททดสอบอยู่อะไรแถวนี้บ้างไหม?”

 

“ไม่เลยค่ะ” ระบบตอบกลับโดยไร้อารมณ์

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินเดินไปด้านหน้าอย่างระมัดระวังตัว แต่แม้ว่าเขาจะถามระบบไปหลายสิบคำถามแล้วก็ตามที มันยังคงไม่มีอะไรอยู่ดี

 

ในที่สุดแล้วเฉินเฉินพบรูปปั้นเทพอสูรตั้งอยู่ใจกลางสายน้ำที่ล้อมรอบโดยก้อนหิน

 

รูปปั้นเทพอสูรสูงเพียงแค่ยี่สิบเซนติเมตรเท่านั้นและมันดูเหมือนกับของเล่นเลย

 

เมื่อเทียบกับรูปปั้นเทพอสูรที่โจวเหรินหลงเห็นบนภูเขาแล้ว นี่มันดูธรรมดากว่ามาก ไม่เพียงแต่มันจะไม่ดูดุดันเลย มันยังดูหล่อเหลาอยู่บ้างเลย มันเหมือนกับเซียนมากกว่าอสูรเสียอีก

 

ยังไงก็ตามเฉินเฉินรู้ดีว่านี่คือรูปปั้นเทพอสูรของแท้

 

การยืนยันของระบบมันไม่เคยผิดพลาด!

 

“ระบบ มันมีอะไรที่อยู่ใกล้เคียงตรงนี้สามารถปลดล็อคมรดกของเทพอสูรนี้ได้ไหม?”

 

“เลือดของเจ้าของค่ะ”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของระบบแล้ว เฉินเฉินหายใจเข้าและหยิบมีดออกมาเพื่อตัดเปิดแผลตัวเอง

 

เมื่อเลือดไหลหยดลงไปบนรูปปั้นเทพอสูรที่ดูธรรมดาชั่วไป มันดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ยิ่งเลือดหยดลงไปบนมันมากขึ้นเท่าใด รูปปั้นเทพอสูรที่ปิดตาอยู่ก็เปิดตาออกอย่างเชื่องช้า!

 

เรื่องที่น่าแปลกประหลาดมากที่สุดก็คือรูปปั้นมันยิ้มได้!

 

ก่อนที่เฉินเฉินจะมีปฏิกิริยาอะไร ลำแสงยิงตรงออกมาจากรูปปั้นเทพอสูรและตรงเข้าไปยังหน้าผากของเฉินเฉิน

 

เฉินเฉินรู้สึกว่าสายตาของเขามืดบอดไปและเวลาที่เขากลับมาตั้งสติได้ เขาก็เหมือนกับปรากฏตัวอยู่ในมิติอันมืดมิดแล้ว

 

มีชายวัยกลางคนที่หน้าตาดูดียืนหันหลังอยู่ด้านหน้าเขา

 

ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคน เฉินเฉินสามารถบอกได้เลยจากออร่าของชายคนนั้นว่ารูปปั้นนั้นถูกจัดมา

 

“คนจากดินแดนชั้นล่าง ความจริงที่เจ้าสามารถปลุกรูปปั้นของข้าได้หมายความว่าร่างกายของเจ้าเหมาะสมในการฝึกวิชาร่างทองเก้าโคจร จดจำไว้ว่าถ้าเจ้าได้ขึ้นมาจากดินแดนชั้นล่าง มายังเมืองอสูรฟ้าและข้าจะสอนวิชาต่อหลังจากวิชาร่างทองเก้าโคจร!”

 

หลังจากพูดคำเหล่านี้จบแล้ว ชายวัยกลางคนก็หันไปมองด้านหลังและร่างกายของเขาก็ขยายปล่องแสงออกมาระยะกว้างไกลกว่าหนึ่งหมื่นฟุต!

 

เฉินเฉินสะดุ้งตัวเล็กน้อยและด้วยการเปลี่ยนแปลงของชายวัยกลางคน ข้อมูลมากมายปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

 

“วิชาร่างทองเก้าโคจร!”

 

หัวใจเฉินเฉินเต้นระรัว

 

เมื่อเทียบกับวิชาบ่มเพาะลมปราณอย่างอื่นแล้ว วิชานี้แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาก!

 

ขั้นสูงสุดของวิชานี้ดูเหมือนจะมีเพียงขั้นสูญกายหยาบที่อยู่เหนือกว่าขั้นวิญญาณแก่นแท้

 

ยังไงก็ตามวิชาร่างทองเก้าโคจร การโคจรครั้งแรกเทียบเท่ากับขั้นฝึกพลังปราณ ในขณะที่การโคจรครั้งที่สองเทียบเท่ากับขั้นสร้างรากฐาน เมื่อถึงการโคจรครั้งที่เก้าแล้ว มันก็จะอยู่เหนือกว่าขั้นสูญกายหยาบอยู่หลายระดับเลยทีเดียว

 

วิชาการบ่มเพาะลมปราณอย่างอื่น อยู่ห่างชั้นไปจากวิชาบ่มเพาะลมปราณนี้มาก!

 

เทพอสูรแตกต่างไปจากเหล่าผู้นำของสำนักอสูร เขาไม่ได้สร้างบททดสอบที่ยุ่งยาก แต่เขากลับสร้างเงื่อนไขขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง

 

‘เขาสมกับการเป็นหัวหน้าอย่างแท้จริง! ไม่เหมือนเจ้าโง่เง่าพวกนั้นเลย…’

 

เฉินเฉินถอนหายใจออกมา ในเวลาเดียวกันแสงสีทองบนรร่างกายของเขาก็ควบแน่นมากขึ้นกว่าเดิม มันไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่กับเขาที่จะไปอยู่ในการโคจรครั้งที่สาม

 

 

ด้านนอกดินแดนลึกลับ

 

โจวเหรินหลงนั่งอยู่ด้านบนชั้นหิน หัวใจของเขาเต้นอย่างระรัว

 

วันนี้มันเป็นวันที่สิบแล้วที่เฉินเฉินได้เข้าไปยังดินแดนลึกลับ ถ้าเขาได้รับมรดกมาแล้ว นี่มันก็น่าจะเป็นเวลาที่เขาน่าจะออกมาได้แล้ว

 

“ด้วยร่างกายที่ไร้เทียมทานของเขาแล้ว เขาน่าจะได้รับมรดกที่อยู่ขั้นระดับเดียวกับข้าไหม?”

 

โจวเหรินหลงพึมพำ

 

ใครก็ตามสามารถที่จะเข้าดินแดนลึกลับได้เพียงสองครั้งในหนึ่งชีวิต ครั้งแรกคือช่วงก่อนวัยยี่สิบปี ก่อนที่เส้นทางการฝึกตนจะเริ่มต้นขึ้น

 

ครั้งที่สองคือช่วงแห่งความตาย จุดสิ้นสุดของการฝึกตน

 

เขาได้การข้ามความยากลำบากมามากมายและร่างกายของเขาเกือบจะล้มลงไปแล้ว ก่อนที่เขาจะได้รับมรดกของเจ้าสำนักรุ่นที่ห้าเสียอีก

 

หลังจากที่เขาออกมา เขาก็ได้ยึดครองเส้นทางนั้นและเขาก็ได้กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานโดยมรดกจากเจ้าสำนักรุ่นที่ห้า เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าสำนักและตอนนี้เขาก็ได้เดินไปบนเส้นทางของตัวเองต่อแล้ว

 

ถ้าวันหนึ่งเขาสัมผัสได้ว่าเวลาของเขามันถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว เขาจะเข้าไปในดินแดนลึกลับและทิ้งมรดกของเขาไว้ให้สืบทอดต่อคนรุ่นหลังต่อไป

 

ในด้านสภาพร่างกายของเขาแล้ว สภาพร่างกายเริ่มแรกของเขาอ่อนแอกว่าร่างกายไร้เทียมทานอยู่มากโข แต่เขามีความทะเยอทะยานและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะอยากจะชนะ เขาได้รวบรวมความกล้าที่จะต่อต้านผืนสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงมาไกลได้ถึงเพียงนี้กับสภาพร่างกายแบบนี้

 

‘ถ้าเขาได้รับมรดกของสาขาอื่น จางเฉินก็จะเสียของมาก เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะโยนเขาไปยังสาขาอื่น’ โจวเหรินหลงคิดกับตัวเอง

 

ในขณะที่เขาสงสัยว่ามรดกที่จางเฉินได้รับมา ลูกศิษย์คนหนึ่งที่สวมชุดดำก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

 

“เจ้าสำนักครับ พวกเราได้รับข่าวมาจากรัฐจิน หลังจากสำนักอู๋ซิ่นได้จัดการความวุ่นวายในเมืองหลวงแล้ว พวกเขาก็สูญเสียความอดทนไปและทำลายสำนักมังกรมรกตไป ซึ่งมันถือเป็นอันดับสอง!”

 

“เจ้าสำนักและผู้อาวุโสหลายคนจากสำนักมังกรมรกตถูกสังหารไป ในขณะที่ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางคนถูกพากลับไปยังสำนักอู๋ซิ่น”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว โจวเหรินหลงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ซึ่งมันดังก้องไปทั่วภูเขาอันกว้างใหญ่

 

“บรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นทั้งอับอายและเกรี้ยวกราดมาก เขาโถมสุดตัวเลยสินะ ฮ่า! สำนักอื่นมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง? กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น?”

 

“ในยามค่ำคืนเจ้าสำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาด สำนำเต่าดำและสำนักเทียนหยุนต่างก้าวข้ามไปยังขั้นก่อกำเนิดวิญญาณ สำนักเทียนหยุนยังถึงขั้นกลางของขั้นก่อกำเนิดวิญญาณอีกด้วย!”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว โจวเหรินหลงอดที่จะหัวเราะออกมาดังก้องไม่ได้

 

‘นี่คือตัวอย่างของการยิงขาตัวเองยังไงละ!’

 

กลยุทธ์ในการทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวของสำนักอู๋ซิ่นไม่เพียงแต่จะทำให้สำนักที่ทรงพลังหลายสำนักตื่นกลัว แต่มันกลับทำให้เกิดการก่อกบฏขึ้นมาแทน

 

คนที่เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือจะฝึกอยู่บนเส้นทางอสูรก็ต่างมีความภาคภูมิใจในตัวเองกันทั้งนั้น

 

เมื่อเห็นเจ้าสำนักหัวเราะออกมา ลูกศิษย์พูดออกมาอย่างขมขื่น “เจ้าสำนัก แม้ว่ามันจะมีการรวมตัวของสี่สำนัก พวกเขาอาจจะไม่สามารถที่จะเทียบกับสำนักอู๋ซิ่นได้อยู่ดีและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าสำนักเทียนหยุน เซี่ยวอู่โยวไม่ได้อยู่ในรัฐจิน แต่เขากลับอยู่ในรัฐโจวครับ”

 

“มันเป็นที่พูดกันว่า ในช่วงการก่อกบฏในเมืองหลวง เฉินเฉินซึ่งเป็นผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนได้ถูกสังหารไป ดังนั้นเขาจึงมาอยู่ที่นี่ในรัฐโจวเพื่อล้างแค้นกับศิษย์ของเขา”

 

“เจ้าบ้านั่นมันโง่เง่าอะไรเช่นนี้! เขาต้องการที่จะล้างแค้นกับสำนักอสูรของเราแทนที่จะกลับไปยังสำนักตัวเองเนี่ยนะ?! เจ้าโง่! โอเค ข้าเข้าใจแล้วว่าข้าต้องทำอะไรต่อ เจ้าไปได้แล้ว!”

 

โจวเหรินหลงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา

 

แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือสี่สำนักรวมตัวกันและต่อสู้กันสุดกำลังกับสำนักอู๋ซิ่น ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจะได้บาดเจ็บหนักกัน

 

ยังไงก็ตาม ตั้งแต่ที่เซี่ยวอู่โยวไม่อยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

 

‘น่าเสียดายอะไรเช่นนี้!’

 

 

หลังจากที่ลูกศิษย์จากไป ความเงียบก็กลับมายังบนภูเขา

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รูปปั้นเทพอสูรที่อยู่ด้านหลังโจวเหรินหลงก็ขยับตัวและปล่อยแสงออกมา

 

ชั่วขณะต่อมา รูปปั้นเทพอสูรก็เริ่มเคลื่อนไหวตัวอย่างเชื่องช้า มันเปิดเผยประตูแสงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังรูปปั้น

 

โจวเหรินหลงมองข้ามไปและเห็นคนแปลกหน้าเดินออกมา

 

เมื่อเห็นร่างสีทองแล้ว โจวเหรินหลงหน้าซีด ความใจเย็นบนใบหน้าของเขาหายไป เขาคำรามออกมา “เจ้าคือใครกัน? เจ้ากล้าดียังไงถึงบุกรุกดินแดงลึกลับของสำนักอสูร?!”

 

“หื้อ? ข้าคือจางเฉินไงครับ!”

 

เฉินเฉินพูดไม่ออก เขาวางกรเป๋าใบใหญ่ที่เขาแบกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ

 

‘เอ้า ข้าออกไปไม่กี่วัน เจ้าก็จำข้าไม่ได้แล้วเหรอเนี่ย?’