“จางเฉิน”

 

โจวเหรินหลงตกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาพยายามที่จะตรวจจับมัน ก่อนที่จะพบว่าคนที่อยู่ด้านหน้าเขาคือคนเดียวกันกับจางเฉินที่เดินเข้าไปเมื่อสิบวันก่อน

 

เมื่อเขายืนยันตัวตนได้แล้ว ชายที่อยู่ด้านหน้าเขาคือจางเฉิน

 

‘ยังไงก็ตาม เมื่อสิบวันก่อนจางเฉินยังเป็นคนธรรมดาด้วยซ้ำ ทำไมรูปลักษณ์ของเขาถึงกลายเป็นแบบนี้กัน?!’

 

ถ้าเขาสัมผัสได้ถูกต้องแล้ว ความแข็งแกร่งในร่างกายของจางเฉินเทียบเท่าได้กับขั้นสร้างรากฐานแล้ว!

 

เพียงแค่เขากำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เฉินเฉินหายใจเข้าลึกและพลังปราณในร่างกายของเขาที่ใช้ฝึกร่างกายก็หายไป ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปอย่างมาก

 

‘หลังจากเด็กคนนี้กลืนพลังงานไปจำนวนมาก ร่างของเด็กคนนี้ก็ได้มาถึงขั้นสร้างรากฐาน!”

 

‘เขาได้รับมรดกอะไรมากัน?’

 

‘มันมีมรดกแบบนั้นอยู่ในสาขาแรกของดินแดนลึกลับด้วยเหรอเนี่ย?’

 

เมื่อคิดถึงขั้นนี้แล้ว เสียงของโจวเหรินหลงเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยและถามออกมา “เด็กน้อย เจ้าได้รับ….มรดกตกทอดของเจ้าสำนักอันดับสองของสำนักอสูร เซียนเทพอสูร?”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ความคิดของเฉินเฉินวิ่งพล่านไปเลย แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าโจวเหรินหลงไม่ได้รับรู้ถึงมรดกของเทพอสูร ดังนั้นจินตนาการของเขาจึงไม่ได้กว้างไกลไป

 

เมื่อคิดดังนี้แล้ว เฉินเฉินแกล้งที่จะทำตัวแข็งทื่อและตอบกลับด้วยนเสียงทุ้มลึก “เจ้าสำนักครับ ข้าได้รับมรดกของเซียนเทพอสูรมาจริง วิชาอมตะไขว่คว้าสวรรค์!”

 

“เจ้าเดินทางข้ามผ่านภูเขาแห่งดาบและทะเลเพลิง? มันเป็นไปได้ยังไงกัน?!”

 

ตาของโจวเหรินหลงเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ เขาเคยเข้าไปดินแดนลึกลับไปแล้วและรู้ดีว่าภูเขาแห่งดาบและทะเลแห่งเพลิง ในตอนนั้นเขาก็ได้พยายามที่จะก้าวข้ามไปแล้ว แต่เขาเดินไปได้เพียงสิบเมตรและก็ไม่สามารถที่จะทนต่อไหว เขาจึงทำได้เพียงถอยกลับไปเท่านั้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากรุ่นที่สองแล้ว เจ้าสำนักเกือบทั้งหมดต่างเห็นภูเขาแห่งดาบและทะเลเพลิงกันทั้งหมด แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถเคลื่อนตัวข้ามผ่านมันไปได้

 

แต่จางเฉินได้ก้าวข้ามมันไปแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าจางเฉินแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักส่วนใหญ่ในรุ่นก่อน?

 

เฉินเฉินส่ายหัวอย่างเชื่องช้าและพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “ในความเป็นจริงแล้ว ข้าไม่ได้ก้าวข้ามผ่านมันไปได้ครับ ข้ากำลังสิ้นลมหายใจบนทะเลเพลิงและเมื่อข้าก้าวไปถึงรูปปั้นหินแล้ว ร่างกายเกือบทุกส่วนบนร่างกายของข้าก็ไหม้ไปแล้ว!”

 

“ในตอนนั้นข้าคิดว่าข้าตายไปแล้ว ข้ายังเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นไปบนฟ้าและเห็นร่างที่ไหม้เกรียมของข้าบนทะเลเพลิงอีก! ข้าไม่ยินยอมกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก!”

 

“ยังไงก็ตามในตอนนั้นเอง ฝนทองตกลงมาจากผืนฟ้าและแสงและเงาของเซียนเทพอสูรได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าข้า เขาพูดว่าเขาสัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของข้าและตัดสินใจที่จะรับข้าไปเป็นลูกศิษย์ หลังจากฝนทองหยดลงบนตัวของข้าแล้ว ร่างกายของข้าก็ฟื้นตัวและข้าก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง!”

 

เฉินเฉินพูดอย่างจริงจังและเมื่อเขาพูดถึงสภาพอันน่าอนาถใจแล้ว น้ำตาของเขานั้นรื้อขึ้นมาบนขอบตา

 

เขาได้คิดสิ่งที่เขาจะพูดออกมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่จะเดินออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาอะไรเลยกับคำพูดเหล่านั้น

 

ยังไงก็ตาม จนถึงบัดนี้มันไม่มีใครในสำนักอสูรได้รับมรดกเทพอสูรและโจวเหรินหลงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อคำพูดครึ่งจริงครึ่งเท็จของเขา

 

เมื่อได้ฟังมันแล้ว ร่างกายของโจวเหรินหลงสั่นสะท้านและเขาก็ดูเหมือนจะตรัสรู้

 

“หลังจากความตาย…ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกกัน? มันเป็นเรื่องปกติที่เซียนเทพอสูรจะมีบททดสอบแบบนั้น…”

 

หลังจากพึมพำออกมาเบาๆ โจวเหรินหลงจ้องไปที่เฉินเฉิน สายตาของเขาดูส่องประกายออกมา

 

“เด็กน้อย เจ้าไม่กลัวตายหรือยังไง?”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว สีหน้าของเฉินเฉินดูเคร่งขรึมมากขึ้นและเขาพูดอย่างหนักแน่น “ข้าได้สาบานว่าจะทำลายสำนักอู๋ซิ่นในเวลาสิบปีและมันมีทางเดียวที่จะทำได้คือการมีพละกำลังอันมากมาย! ด้วยเหตุนี้นี่เองข้าจึงตัดสินใจที่จะรับมรดกของเซียนเทพอสูรตั้งแต่ตอนเริ่มแรก! แทนที่จะถูกสาปโดยเทพอสูรในอีกสิบปีให้หลัง มันควรที่จะสู้ตอนนี้ไปเลยจะดีกว่า แม้ว่าข้าจะตายไป ข้าก็จะไม่มีอะไรให้เสียใจอีก!”

 

คำพูดของเฉินเฉินดังก้องและเต็มไปด้วยความฮึกเหิม มันดังก้องไปทั่วภูเขาที่ว่างเปล่า มันได้ทำให้โจวเหรินหลงตื้นตันใจ

 

แม้ว่าใครก็ตามจะมีความตั้งใจที่จะกลายเป็นเซียนอสูรตั้งแต่เริ่มแรก มันจะมีใครมากแค่ไหนกันที่กล้าพนันชีวิตตัวเองแบบนี้?

 

แต่จางเฉินกล้าที่จะทำมัน

 

‘เขามีความกล้ามากมายอะไรถึงเพียงนี้กัน? ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าบรรพบุรุษด้านขัดเกลาร่างกายจะรับลูกศิษย์ที่มีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้’

 

“เซียนเทพอสูรนั้นสมกับเป็นเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักอสูร แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วกว่าแปดพันปี เขายังคงมีความสามารถที่จะเปลี่ยนคนธรรมดากลายเป็นคนที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานได้ ข้านั้นอ่อนแอกว่าเขาเสียจริง…”

 

โจวเหรินหลงพูดออกมาอย่างชื่นชม สายตาของเขาเหลือบไปมองยังกระเป๋าใบใหญ่ด้านหลังเฉินเฉิน

 

เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เฉินเฉินรีบอธิบาย “หลังจากที่ข้าได้รับความแข็งแกร่งนี้แล้ว ข้าคิดว่าผู้สืบทอดของสาขาขัดเกลาร่างกายของสำนักอสูรอาจจะต้องการวิชาการบ่มเพาะลมปราณ ข้าจึงไปรับมรดกมาอีกสองคน…”

 

พูดตามตรงแล้ว เฉินเฉินคงไม่พูดว่าเขารับมรดกมา 28 มรดกหรอก ไม่งั้นเขาคงจะโดนกระทืบตายต่อหน้าแล้วละ

 

ในความเป็นจริงแล้วเขาเอาออกมาเพียงแค่สองมรดกจริงๆ

 

เขาได้จดจำคัมภีร์ลับและมรดกไว้ก่อนที่จะเก็บมันกลับไปยังที่เดิม

 

สมบัติที่อยู่ในมรดกนั้นถูกดูดกลืนไปทั้งหมดแล้วและเขาไม่อยากที่จะโยนของเหล่านั้นกลับไป ดังนั้นเขาจึงเก็บกลับมา

 

ถ้าลูกศิษย์สำนักอสูรพยายามที่จะเข้าไปยังดินแดนลึกลับในอนาคตและไม่สามารถที่จะซ่อมแซ่มร่างกายของเขาได้หลังจากพยายามอย่างหนักหน่วงในการได้รับมรดกแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาใส่ใจอะไร…

 

“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างโลภเสียจริง”

 

โจวเหรินหลงมองเห็นความคิดของเฉินเฉิน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งที่ละโมภอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โลภมากเกินไป

 

เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักไม่ได้โกรธอะไร เฉินเฉินโล่งใจ เขารีบหยิบหน้ากากที่น่ารังเกียจออกมาจากกระเป๋าและสวมมันเข้าไป

 

โดยปราศจากการรอให้โจวเหรินหลงถาม เขาจึงเริ่มอธิบายขึ้นมาก่อน “เจ้าสำนักครับ ข้านั้นหล่อเหลามากเกินไปและข้าก็ดูไม่ดุดันมากเท่าไหร่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่ข้าจะสวมหน้ากากนี้”

 

แน่นอนว่าเฉินเฉินพูดจาไร้สาระอยู่

 

หลังจากที่เรียนรู้ว่าเจ้าสำนักอสูรที่สืบทอดกันมานั้นต่างอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณกันทั้งหมด เฉินเฉินก็กังวลว่าใครบางคนอาจจะมองเห็นผ่านหน้ากากเปลี่ยนหน้าของเขา ดังนั้นเขาจึงใส่เพิ่มอีกอันเพื่อความปลอดภัย

 

โจวเหรินหลงพยักหน้าโดยที่ไม่ได้สงสัยอะไร

 

จางเฉินนั้นค่อนข้างหล่อจริงและดูไม่เหมือนกับสมาชิกของสำนักอสูร เขาดูไม่ได้ดุดันมากพอที่จะสร้างแรงกดดันอะไรได้ด้วยเช่นกัน

 

“เจ้าสำนักครับ ทำไมเทพอสูรถึงได้ตายลงกันครับ? พลังของเขานั้นน่าหวาดหวั่นมาก เขาน่าจะเลื่อนขั้นได้นะครับ!”

 

โจวเหรินหลงไม่ได้สนใจอะไร เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อ

 

เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของโจวเหรินหลงจึงดูเหม่อลอย

 

“แปดพันปีก่อน สงครามครั้งที่สองระหว่างมนุษย์และอสูรได้ถือกำเนิดขึ้น สำนักอสูรนั้นอยู่เป็นเผ่ามนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงเข้าร่วมสงคราม”

 

“เมื่อตอนนั้น เซียนเทพอสูรและผู้ฝึกตนที่น่าหวาดกลัวจากสำนักเซียนอสูรฟีนิกส์นั้นต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่กันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน สำนักเซียนอสูรฟีนิกส์ได้ตายลง ส่วนเซียนเทพอสูรตายไปถึงแปดครั้งและเมื่อเขากลับมายังสำนักอสูร เขาเหลืออายุขัยเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่พยายามอะไรนอกจากเข้าไปในดินแดนลึกลับเพื่อทิ้งมรดกด้วยพลังที่เหลืออยู่ของเขา”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก มันมีข้อมูลมากเกินไปและเขาไม่สามารถที่จะซึมซับมันได้ทัน

 

ในช่วงสงครามครั้งที่สองแล้วเขาตายถึงแปดครั้งในตอนจุดเดือดสุดของการต่อสู้

 

คำพูดเหล่านี้ดังก้องในหัวของเขา

 

ในเวลานี้เองประตูของภูเขาเปิดออกอีกครั้งหนึ่งและผู้อาวุโสอันเฉินที่พาเฉินเฉินเข้ามาในสำนักอสูรเดินเข้ามา

 

เขาไม่ได้มองเฉินเฉินเลยสักนิด มันเห็นได้ชัดว่าเขาจำเฉินเฉินไม่ได้

 

“เจ้าสำนักครับ ลูกศิษย์สาขาสอง หยวนฉิงเทียนพร้อมที่จะรับการท้าชิงจากนายน้อยของสาขาอื่นแล้วครับ!”

 

“ข้ารู้แล้ว เริ่มได้เลย” โจวเหรินหลงพูดอย่างเฉยเมย

 

เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้อาวุโสอันเฉินโค้งตัวและถอยกลับไป

 

เฉินเฉินตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

 

‘หยวนฉิงเตียนฟื้นตัวไวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เขาต้องการที่จะท้าชิงนายน้อยคนอื่นอีก?!’

 

“หยวนฉิงเตียน น่าเสียดายจริง”

 

หลังจากที่อันเฉินจากไป โจวเหรินหลงถอนหายใจออกมาและมองไปที่เฉินเฉิน

 

“เจ้าพึ่งจะเข้าร่วมสำนักอสูรจึงไม่รู้กฏ ถ้าลูกศิษย์คนใดอยากที่จะเป็นเจ้าชายรัชทายาทของรัฐโจวและเป็นนายน้อยของสำนักอสูร มันมีหนทางเดียวคือการท้าชิงนายน้อยของ 35 สาขาโดยที่ไม่ล้มเหลวสักครั้ง”

 

“เพื่อที่จะมีโอกาสในการทดสอบแบบนั้นแล้ว เจ้าต้องทำผลงานให้กับสำนักของเราก่อน ซึ่งเจ้าสำนักจะรวมนายน้อยของแต่ละสาขามา”

 

“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้สืบทอดสำนักถึงยึดครองสำนักได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากว่าพวกเขามาจากแบบนี้กันทั้งหมด ในด้านพละกำลังและอำนาจแล้ว พวกเขาได้ทำให้ลูกศิษย์ทั้งหมดเชื่อว่าเขามีค่ามากพอและนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นเจ้าสำนักอสูร”

 

“เจ้าเด็กหยวนฉิงเตียนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจากสาขาสอง หลังจากสังหารราชาองค์ใหม่ของรัฐจิน เขาได้รับโอกาสในการท้าชิงและมีความหวังอยู่ แต่โชคร้ายที่ทะเลจิตวิญญาณของเขาถูกสร้างขึ้นมาใหม่และความทรงจำของเขาถูกลบทิ้งไป ข้าเกรงว่าเขาจะไม่ผ่านบททดสอบเนี่ยสิ”

 

เฉินเฉินพยักหน้า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม 36 สาขาถึงสามัคคีกัน

 

ระบบนี้สมเหตุสมผลและมันดูยุติธรรมกว่าของรัฐจินเสียอีก

 

นอกจากสาขาแรกแล้ว ลูกศิษย์ของสาขาอื่นต่างได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ตราบเท่าที่พวกเขาแข็งแกร่งมากพอและสนับสนุนสำนักอสูร พวกเขาต่างมีโอกาสกันทั้งนั้น

 

“จางเฉิน เจ้าควรไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว หยวนฉิงเตียนต้องเอาชนะเจ้าด้วย” โจวเหรินหลงพูดอย่างใจเย็น

 

“หื้อ? ข้าพึ่งจะเข้าสำนักมาไม่นานเองนะ! ไม่ใช่มันมีศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงไปแทนงั้นเหรอ?”

 

เฉินเฉินพูดไม่ออก

 

“เจ้าเป็นลูกศิษย์คนเดียวของสาขาแรก สาขาขัดเกลาร่างกาย”